“เจ้าทุ่มเทมากเหลือเกิน” จางอี๋เอ่ย แม้ว่าซ่งชูอีจะมีแผนมากมาย แต่กลับดึงตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมแล้ว นางจัดการเรื่องเผาสำนักได้อย่างแนบเนียนยิ่งโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ อย่างไรก็ดีทันทีที่ฝ่ายสำนักชวีกู้รู้เรื่องว่านางได้รับแผนภาพหน้าไม้กลจากฉู่เจาเสี่ยน นางจะต้องถูกตำหนิอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ครั้งนี้นางทำผิดต่อสำนักม่อทั้งสอง ย่อมเป็นผลเสียอย่างมากในระยะยาว
ซ่งชูอีจะไม่รู้ได้อย่างไร? แต่นางไม่อาจตอบแทนความใจกว้างและความไว้วางใจที่อิ๋งซื่อมอบให้นางได้ หากแม้แต่การวางแผนนางก็ยังทำไม่ได้อย่างเต็มที่ แล้วจะคู่ควรต่อโอกาสที่เขาให้ได้อย่างไร?
ซ่งชูอีเอ่ยด้วยความแน่วแน่ “อีกไม่นานพี่ใหญ่ก็จะเป็นเยี่ยงข้า”
นักกลยุทธ์และกุนซือเยี่ยงพวกเขา มีคนไหนบ้างที่ไร้จิตใจเจ้าเล่ห์? อย่างไรก็ดีบางคราวทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นวิถีแห่งจักรพรรดิของอิ๋งซื่อ แต่กลับอดที่จะซาบซึ้งและอดที่จะทุ่มเทความพยายามทั้งหมดมิได้
นี่คือหนึ่งในเสน่ห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอิ๋งซื่อในฐานะองค์จวิน
จางอี๋หัวเราะอย่างเหลือเชื่อ ในอนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นเขาไม่อาจตัดสิน ทว่าเขาท่องไปหลายรัฐ ในขณะนี้อิ๋งซื่อเป็นองค์จวินที่เขาเต็มใจรับใช้มากที่สุดในความคิดของเขา
“บัดนี้ก็ส่งข่าวแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน” จางอี๋รวบแบนเสื้อแล้วลุกขึ้นยืน
ซ่งชูอีเอ่ย “เที่ยงแล้ว พี่ใหญ่กินข้าวแล้วค่อยกลับเถิด”
จางอี๋เอื้อมหยิบรองเท้าพลางเอ่ยว่า “อยู่ข้างนอกจะไม่นั่งรถม้าของเจ้าและไม่กินข้าวของเจ้า นี่เป็นสองสิ่งสำคัญที่ข้าต้องจำไว้ในชีวิต”
ครั้งแรกก็ถูกฝูงหมาป่าไล่ล่าและสกัดกั้นขณะที่นั่งรถม้าคันเดียวกับซ่งชูอี อีกครั้งหนึ่งก็ถูกนางทิ้งไว้กลางทางท่ามกลางแสงแดดแผดเผา ทั้งที่พวกเขานั่งรถคันเดียวกันสองหรือสามครั้งเท่านั้น
“ข้าจำไม่ได้ว่าเคยเชิญท่านกินข้าวข้างนอกด้วย?” ซ่งชูอีเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
จางอี๋สวมรองเท้าเรียบร้อย จัดเครื่องกวน “ก็เพราะว่าไม่เคยน่ะสิ ฉะนั้นจึงต้องกันไว้ดีกว่าแก้”
“ฮ่า เช่นนั้นข้าก็รอดตัวแล้ว” ซ่งชูอีรู้ว่าเขาเย้าเล่น จึงลุกขึ้นประสานมือเอ่ย “พี่ใหญ่เดินทางระวังด้วย”
มองจางอี๋เดินลงไปชั้นล่าง ซ่งชูอีเพิ่งจะยกจอกสุราขึ้นจรดปาก ก็ได้ยินเสียงคนโหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างนอก “มีมือสังหาร!”
ซ่งชูอีหยุดชะงัก เห็นได้ชัดว่ามือสังหารจะไม่ฆ่าคนธรรมดา เช่นนั้นจางอี๋เจอมือสังหารรึ?
ห้องโถงหลักโกลาหลขึ้นทันใด ซ่งชูอีเลิกผ้าม่านมองออกไปข้างนอก สามารถมองเห็นมือสังหารที่ปกปิดใบหน้าสิบกว่าคนกำลังต่อสู้กับทหารอารักขาของจางอี๋ตรงหน้าประตูเลือนราง เพียงพริบตาเดียวก็สามารถฝ่าวงทหารอารักขามาได้แล้ว
“รีบไปคุ้มกันท่านมหาเสนาบดีเร็วเข้า!” ซ่งชูอีรีบเอ่ย
ผู้อารักขาลับที่อยู่ในห้องส่วนตัวหน้าหลังตอบรับ “ขอรับ!”
เงาของไม่กี่คนวูบผ่านจากคานตรงไปยังประตูใหญ่ เข้าร่วมวงต่อสู้ด้วยความเร็วสูงสุด
“คุ้มกันท่านมหาเสนาบดี!” ไม่รู้ว่าเสียงของใครดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน
คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าสังหารมหาเสนาบดีในนครเสียนหยางกลางวันแสกๆ! ความกระหายเลือดของชาวฉินถูกปลุกขึ้น มีผู้ชายบางคนยกเก้าอี้ยาวขึ้นมาแล้วทุ่มเข้าไป สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างมากในทันที ผู้อารักขาลับหลายคนต้องทนทุกข์ทรมานจากภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด
ข้างล่างต่อสู้กันอย่างอลหม่าน ซ่งชูอีกำลังแยกแยะเงาของจางอี๋อย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกแปลกไปเล็กน้อย นางกำลังจะอ้าปากเรียกคน จู่ๆ วิสัยทัศน์เบื้องหน้าก็พร่ามัว เปลือกตาหนักอึ้งขึ้นทุกที แสงสว่างตรงหน้ามืดลงอย่างรวดเร็ว “หนิง…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงเรียก ก็ล้มฟุบลงไปบนโต๊ะ
หนิงยาตกใจทิ้งกาสุราลง นางรู้ว่าแถวนี้ยังมีผู้อารักขาลับอยู่ จึงร้องเรียกเสียงดังทันที “ทหาร! ช่วยนายท่านด้วย!”
ครั้นได้ยินเสียงสวบสาบของผ้าม่าน หนิงยาก็เบาใจ เอื้อมมือจะไปประคองซ่งชูอี แต่ยังไม่ทันได้สัมผัสนาง เบาะที่นั่งก็ว่างเปล่ากะทันหันโดยไม่ทันได้ตั้งตัว จากนั้นก็ร่วงหล่นลงไปพร้อมกับเสียงกรีดร้อง
ขณะที่ผู้อารักขาลับทั้งสี่นายมาถึง ภายในห้องส่วนตัวก็ดูปกติ เพียงแต่ไม่มีใครอยู่เลย
“มีกลไก?” ผู้อารักขาลับคนหนึ่งสังเกตเห็นว่าไม่มีเบาะที่นั่ง ก็รีบยื่นมือเคาะๆ บนพื้น
ด้านล่างส่งเสียงกลวงๆ
พวกเขาคลำหาช่องว่างของกลไกและงัดมันด้วยดาบ
บ่อน้ำสี่เหลี่ยมสูงหนึ่งจั้ง รอบด้านไม่มีอะไรให้ปีนขึ้นลง หากกระโดดลงไปทั้งอย่างนี้จะต้องเหยียบคนที่อยู่ด้านล่างตายอย่างแน่นอน ด้วยการออกแบบเช่นนี้จะต้องมีประตูเพื่อเข้าสู่ชั้นล่างเป็นแน่
โครงสร้างอาคารของชมรมป๋ออี้แห่งนี้เป็นทรงเว้า ไม่เหมือนกับชมรมป๋ออี้ที่อื่นที่ยังมีทางเดินที่ชั้นหนึ่ง พื้นที่เล็กๆ นี้เป็นชั้นลอยที่เหลืออยู่ในห้อง และห้องที่มีชั้นลอยนี้ก็คือห้องเก็บของ
“เหตุใดจึงไม่พบกั๋วเว่ย?!” คนหนึ่งกล่าวด้วยความประหลาดใจ
ทั้งสี่คนมองดูอย่างละเอียด ในบ่อแห่งนี้มีเพียงหนิงยาที่นอนหมดสติอยู่ ไม่มีเงาของซ่งชูอีเลย
“หรือว่าจะถูกโยนออกไปแล้ว? รีบลงไปดู!”
คนหนึ่งรออยู่ข้างบน สามคนที่เหลือพุ่งลงไปชั้นล่าง
ภายในบ่อสี่เหลี่ยมมีเสื่อฟาง หนิงยาหมดสติเพียงครู่หนึ่งก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว นางอดทนต่อความเจ็บปวดทั่วร่างเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบนก็เห็นผู้อารักขาลับคนหนึ่ง “นายท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
ผู้อารักขาลับตอบว่า “คนอื่นกำลังลงไปช่วยเหลือ”
“ลงมา? ลงมาทำไมกัน!” หนิงยาเอ่ยด้วยความร้อนใจ “พวกท่านไม่เห็นนายท่านรึ? เขามิได้ตกลงมาพร้อมกับข้า! มีเพียงข้าที่ตกลงมาเพียงคนเดียว!”
“ว่าไงนะ?!” ผู้อารักขาลับตกใจ รีบอ้อมไปข้างราวแล้วยื่นศีรษะออกมา พบว่าหน้าต่างของทั้งสองห้องห่างกันเพียงประมาณหนึ่งจั้ง สามารถลากคนไปได้อย่างง่ายดายและสามารถทำสำเร็จได้เพียงไม่กี่อึดใจ อีกทั้งความสนใจของทุกคนต่างมุ่งเน้นไปที่ชั้นล่าง ต่อให้พบว่าที่นี่มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ในช่วงเวลาที่เร่งรีบเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
ทันใดนั้นก็มีเหงื่อซึมออกมาจากขมับทั้งสองข้างของผู้อารักขาลับ ความคิดต่างๆ วูบผ่าน เขาหมุนตัวกลับไปยังห้องข้างๆ มองหาบ่อลับแล้วใช้ดาบงัดพื้นออกมา ทว่าด้านล่างกลับว่างเปล่า
ในเวลานี้มือสังหารทั้งหมดที่ลอบสังหารจางอี๋ต่างถูกจัดการหมดแล้ว ไม่เหลือผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
จางอี๋มองดูกลุ่มคนเหล่านั้นที่รุดเข้ามาช่วยเหลือก่อน “พวกท่านคือ…”
ผู้อารักขาลับถูกฝึกฝนเป็นอย่างดี ไม่เหมือนกับจอมยุทธ์พเนจรทั่วไป ด้วยเหตุนี้แม้จางอี๋ไม่รู้จักพวกเขาก็สามารถเดาออกได้บ้าง
“พวกข้าเป็นผู้อารักขาลับของกั๋วเว่ยขอรับ” กู่อี้ประสานมือเอ่ย
จางอี๋ตื่นตระหนก “ให้ตายสิ! รีบกลับดูหวยจินเร็วเข้า!”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาก็กลับมาถึงในร้านแล้ว
ขณะที่เจอกับมือสังหาร เขาก็รู้สึกแล้วว่ามันแปลก ระยะหลังมานี้เขาก็มิได้ทำเรื่องผิดศีลธรรมใด จะมีใครที่คิดอยากให้เขาตายอย่างกะตือรือร้นเล่า ทั้งยังลงมือท่ามกลางคนหมู่มากในกลางวันแสกๆ ได้อย่างไร?
จะต้องเป็นแผนการหลอกล่อแน่!
“ข้าน้อยสมควรตาย!” เมื่อผู้อารักขาลับไม่กี่คนที่อยู่ชั้นบนเห็นจางอี๋กับกู่อี้ขึ้นมา ก็รีบคุกเข่าสำนึกผิด
จางอี๋ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเขาเห็นหลุมลับภายในห้องนั้นก็ออกคำสั่งว่า “ปิดล้อมชมรมป๋ออี้นี้ไว้ ห้ามปล่อยแม้กระทั่งพ่อค้าหรือคนรับใช้ออกไปแม้แต่คนเดียว”
เขาหยิบป้ายราชโองการออกมายื่นให้ทหารอารักขาข้างกาย “รีบไปโอนย้ายคนที่จวนตุลาการ!”
“ขอรับ!”
“ขอรับ!”
ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจ
จางอี๋มองไปที่กู่อี้ “เจ้านำคนไปถามดูว่ามีใครเป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงนี้หรือไม่”
“ขอรับ!” กู่อี้เอ่ย
จางอี๋เดินเข้ามานั่งในห้องส่วนตัว ไม่ช้าคนสองคนก็ประคองหนิงยาเดินเข้ามา
“ท่านมหาเสนาบดี” น้ำตาของหนิงยาไหลไม่หยุด ซ่งชูอีหายตัวไปต่อหน้าต่อตาของนางเชียวนะ!
จางอี๋เอ่ย “นั่งลงก่อน เกิดอะไรขึ้น? เจ้าเล่ามาให้ละเอียด”
“อืม” หนิงยาบาดเจ็บที่เข่าจึงทำได้เพียงนั่งเอี้ยวตัวอยู่บนเบาะ “หลังจากที่ท่านไปได้ไม่นาน ชั้นล่างก็มีคนตะโกนว่า “มีมือสังหาร” เมื่อนายท่านเห็นว่าท่านเจอกับคนลอบสังหาร อีกทั้งสถานการณ์คับขันจึงสั่งให้ผู้อารักขาลับไปช่วย ผู้อารักขาลับทั้งสองห้องซ้ายขวาก็รับคำสั่งและพุ่งออกไป นายท่านเป็นกังวลความปลอดภัยของท่านจึงเกาะราวดู ใครจะรู้ว่าไม่กี่อึดใจก็หมดสติกะทันหัน ข้าร้อนใจมากจึงเรียกผู้อารักขาลับที่เหลือ เพิ่งจะเรียกเท่านั้นก็รู้สึกว่าใต้ที่นั่งโล่งว่าง ข้าตกลงไปในหลุม ตอนนั้นข้ารู้สึกตื่นตระหนกและไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าข้ามั่นใจว่านายท่านมิได้ตกลงไปกับข้าด้วย”