เมื่อพบหน้าหลังจากกันมานานก็ยากที่จะคุยกันเพียงสองสามคำ พวกเขาคุยไปคุยมาก็ล่วงเลยเข้าสู่ยามบ่ายโดยไม่รู้ตัวแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่งเจียนคุ้มกันขบวนรถตามลำพัง ต้องกลับไปรายงานภารกิจในรัฐฉู่ ไม่สามารถอยู่ในเสียนหยางได้นาน ซ่งชูอีจึงให้เขาพำนักคืนหนึ่ง
หนิงยาไปเร่งให้คนใช้เตรียมอาหารค่ำ เพิ่งจะออกมาจากห้องก็เห็นเว่ยเต้าจื่อกลับมาพอดี “ศิษย์พี่ใหญ่กลับมาแล้วรึ นายท่านอยากจะคุยกับท่านน่ะ ข้าจะเข้าไปบอกนายท่าน”
“ไม่ต้องหรอก” สีหน้าเว่ยเต้าจื่อขึงขัง เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้เย้านางเล่น “ข้าเข้าไปเองดีกว่า”
หนิงยามองเว่ยเต้าจื่อด้วยความสงสัย ในใจก็กลัวว่าพระวรกายของฝ่าบาทไม่สู้ดีนัก นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางสามารถก้าวก่ายได้ ดังนั้นจึงไม่ได้ถามมาก ยืนอยู่หน้าประตูรอซ่งเจียนออกมา
เป็นไปตามคาด เว่ยเต้าจื่อเพิ่งจะเข้าไป ซ่งเจียนก็หลบออกมาแล้ว
“อาเจียน ไปห้องครัวด้วยกันเถิด” หนิงยาเอ่ย
ซ่งเจียนเดินไปกับนางโดยไม่ได้พูดอะไร
ภายในห้อง เว่ยเต้าจื่อทอดถอนหายใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ฝ่าบาทมีโรคที่อวัยวะภายใน ไม่มีทางรักษาให้หายขาด กินดื่มตามปกติดูแลสุขภาพให้ดีก็ไม่มีอะไรน่าห่วงในตอนนี้ ทว่ายากที่จะมีชีวิตยืนยาว”
มือของซ่งชูอีที่ถือถ้วยชาสั่นเทิ้ม น้ำร้อนครึ่งถ้วยหกใส่เสื้อคลุมแต่กลับไม่รู้สึกตัวเลย “เหลือเวลาอีกนานแค่ไหน?”
“การเปลี่ยนแปลงของโรคนี้ยากจะควบคุม อย่างมากสุดก็สิบกว่าปี สั้นสุดก็ปีครึ่ง” เว่ยเต้าจื่อเห็นว่าสีหน้าของนางไม่ใคร่ดี ก็เอ่ยปลอบประโลมว่า “ได้ยินว่าเซี่ยวกงก็ประชวรด้วยโรคนี้ อายุสี่สิบสามโรคถึงจะกำเริบ ยิ่งไปกว่านั้นดูจากรูปลักษณ์ของฝ่าบาทแล้วใช่ว่าจะมีอายุสั้น”
ในสมัยนี้การมีชีวิตผ่านวัยสี่สิบได้ถือว่าเป็นเรื่องปกติมาก ทว่าซ่งชูอีก็ยังคงทอดถอนใจ “กษัตริย์ผู้กล้าหาญยากที่จะพานพบ หนึ่งร้อยปีก็ยังสั้นไป!”
นับประสาอะไรกับสี่สิบปีเล่า?!
เว่ยเต้าจื่อกล่าวว่า “ฝ่าบาทพระวรกายแข็งแรง หากกินดื่มอย่างดีในวันธรรมดา อาการก็จะไม่แย่ลงอย่างรวดเร็วจนทำให้อาเจียนออกมาเป็นเลือดเช่นนี้ ช่างเถิด หนึ่งคนก็ต้องรักษา สองคนก็ต้องรักษา น่าสงสารที่ข้าต้องถูกขังอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านพูดความจริงมาเถิดว่าเหตุใดถึงมาหาข้า?” ซ่งชูอีเข้าใจเว่ยเต้าจื่อดีที่สุด นอกจากเรื่องผู้หญิงแล้วเขาไม่มีความสนใจเรื่องอื่นเลย แม้ว่าอาจารย์จะตัดนิ้วเพื่อนาง เป็นไปได้มากว่าเขาก็คงจะไม่รีบตั้งใจมาเยี่ยม อีกทั้งเขาก็เป็นคนที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ด้วยนิสัยเช่นนี้จะใส่ใจว่านางจะเก็บลูกไว้หรือนางจะตายหรือไม่เช่นนั้นหรือ?
หากคำพูดของอิ๋งซื่อสามารถปลุกสติได้ ซ่งชูอีก็รู้แล้วว่ามันคือเจตนารมณ์ของจวงจื่อ เพียงแต่นางต้องการฟังจากปากของเว่ยเต้าจื่อเอง
“ก็ไม่มีอะไรน่าปิดบังหรอก ข้าได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้ปกป้องชีวิตของเจ้า อาจารย์บอกว่าพลังชี่ของเจ้าไม่เพียงพอแต่กำเนิด ชะตาชีวิตก็กลับเต็มไปด้วยการเข่นฆ่า คนที่อยู่ข้างกายล้วนแปดเปื้อนไปด้วยฆ่าผลาญ เกรงว่าจะไม่ส่งผลดีต่อเจ้า” เว่ยเต้าจื่อมองเจ้าอี่โหลวอย่างมีนัยยะ พูดแล้วก็อดที่จะตัดพ้อไม่ได้ “เขาท่องไปไกลทั่วหล้า แต่กลับให้ข้าเข้ามาแปดเปื้อนกับความเป็นไปของโลก”
เจ้าอี่โหลวสนใจสายตาของเขามาก รีบถามทันที “ความหมายของศิษย์พี่คือ ชะตาของข้าที่เปี่ยมไปด้วยการเข่นฆ่าจะทำร้ายหวยจินรึ?”
เว่ยเต้าจื่อเอ่ยอย่างหัวเสีย “ในราชสำนักมีใครบ้างที่ไม่มีจิตใจแห่งการเข่นฆ่า? หากสามารถหลบเลี่ยงได้อย่างง่ายดายแล้วจะให้ข้ามาทำไม!”
ซ่งชูอีกลับเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์พี่ใหญ่เคยไม่ยุ่งเกี่ยวกับความเป็นไปของโลกด้วยหรือ? เลื่อมใส เลื่อมใส!”
คำพูดนี้ทำเอาเว้ยเต้าจื่อพูดไม่ออก รูปแบบของเขาเหมือนหนุ่มเจ้าสำราญเสียมากกว่า
เจ้าอี่โหลวเอ่ยด้วยความจริงใจ “ศิษย์พี่ใหญ่ชอบหญิงงาม พรุ่งนี้ข้าจะไปซื้อมาบางส่วน”
“มารดาเจ้าเถอะ อยากทำให้ข้าอกแตกตายรึไง!” เว่ยเต้าจื่อลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อจากไป
เจ้าอี่โหลวมองซ่งชูอีอย่างงุนงง
ซ่งชูอีเอ่ย “ศิษย์พี่ใหญ่ชอบความดิบๆ ทั้งชอบหญิงบ้านคนอื่นด้วย ไม่ชอบเชลยที่เป็นของตัวเอง นี่คือเหตุผลที่เขายังไม่แต่งงานจนบัดนี้”
“อย่างนี้นี่เอง” เจ้าอี่โหลวพยักหน้า
“ท่านเจ้าคะ ท่านเจินขอพบเจ้าค่ะ” สาวใช้รายงาน
ซ่งชูอีจัดแจงเสื้อผ้า ก่อนเอ่ยว่า “ให้เขาเข้ามาเถิด”
ไม่ช้า เจินจวิ้นก็เข้ามาในห้องตามการนำทางของสาวใช้
“คำนับท่าน!”
สองพี่น้องโค้งคำนับพร้อมกัน
ซ่งชูอีสำรวจสองสามรอบ ก็เห็นว่าเขาผอมกว่าก่อนหน้านี้ลงไปมาก แทบจะมองไม่เห็นลักษณะอ้วนกลมที่ดูร่าเริงเหมือนในช่วงแรกๆ มีเด็กสาวสวยที่มีรูปร่างเพรียวบางและขาวผ่องอยู่เคียงข้างซึ่งก็คือเจินอวี๋ บัดนี้นางได้ละทิ้งความเป็นเด็กไปแล้ว ดูมีมารยาท เงียบขรึมและอ่อนโยน ท่าทางสงบนิ่งกว่าเมื่อก่อนมาก
“เชิญนั่ง” ซ่งชูอีเอ่ย
หลังจากเจินจวิ้นนั่งลงแล้วก็เงยหน้าขึ้น ยิ้มจนดวงตาโก่งงอ ยังดูใจดี “บัดนี้เห็นว่าท่านสบายดี ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ”
“ครั้งนี้หวยจินหายตัวไปกว่าสามเดือน โชคดีที่ท่านเจินมีเครือข่ายกว้างขวาง หาศิษย์พี่ใหญ่จนเจอ” เจ้าอี่โหลวเอ่ย
ในเวลานั้นเจ้าอี่โหลวถูกไป๋เริ่นลากไปที่สุสานของเซี่ยวกง ช่องระบายอากาศถูกขุดกว้างหนึ่งฉื่อแล้ว ทว่ากลับไม่ลึก ในเวลานั้นตู้เหิงได้สั่งให้ปิดช่องระบายอากาศทั้งหมดแล้ว ซึ่งแตกต่างจากที่เจ้าอี่โหลวกับไป๋เริ่นเห็นก่อนหน้านี้ มองไม่เห็นทางเข้าออกภายในสุสานเลย
เพื่อซ่งชูอีแล้ว ต่อให้เจ้าอี่โหลวต้องขึ้นสวรรค์ลงนรกก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย แต่ผู้ที่ขุดสุสานของเซี่ยวกงก็จะถูกกองทหารรักษาการณ์เห็นได้โดยง่าย อีกทั้งเขาก็ไม่รู้ว่าต้องขุดนานเท่าใด ในใจร้อนรนจนแทบทนไม่ไหว ทว่าเรื่องนี้มีโทษถึงประหารเก้าชั่วโคตร แต่จะไม่ขอความช่วยเหลือจากใครเลยก็ไม่ได้! โชคดีที่เจินจวิ้นตามหาอย่างสุดความสามารถก็พบเว่ยเต้าจื่อ
เว่ยเต้าจื่อรู้จักวิชาเวทย์ เข้าใจประเพณีการทำนายแบบโบราณ โครงสร้างสุสานบรรพบุรุษก็หนีไม่พ้นเรื่องเหล่านี้ เขาคำนวณไม่นานก็ค้นพบทางเข้าสุสาน
เจินจวิ้นกล่าวว่า “การติดตามนายท่านเป็นหน้าที่ของข้า”
เจ้าอี่โหลวยากที่จะพูดจาดีๆ กับคนอื่น เรื่องนี้ซ่งชูอีต้องไว้หน้าอยู่แล้ว
“บุญคุณนี้ ข้าจะจดจำไว้ในใจ” นางตระหนักเรื่องที่เจินจวิ้นร้อนใจมากที่สุด ดังนั้นจึงทำเหมือนคุยเรื่องธรรมดาทั่วไปพลางมองไปที่เจินอวี๋ “น้องเจินกลายเป็นแม่นางเต็มตัวไปแล้ว มีคนที่ถูกใจแล้วหรือยัง?”
ชื่อเสียงของเจินอวี๋เป็นเพราะซ่งชูอี ทันทีที่มันโด่งดังขึ้นมาซ่งชูอีก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องของนางอีก และนางก็กลัวซ่งชูอีมาก เจินจวิ้นพยายามชักชวนให้นางมาเยี่ยมเยียนที่จวนกั๋วเว่ยบ่อยๆ ทว่าเป็นตายอย่างไรนางก็ไม่ยินยอมมา ผลปรากฏว่าหลายปีมานี้นางสูงไปก็รับไม่ไหวต่ำไปก็ไม่เอา จนย่างเข้าอายุสิบเก้าแล้วก็ยังไม่ออกเรือนสักที
บรรดาผู้หญิงสูงศักดิ์ที่เจินอวี๋รู้จักในตอนนั้นต่างออกเรือนและมีบุตรกันไปหมดแล้ว นางกลัวว่าตัวเองจะขายหน้า จึงค่อยๆ ตัดขาดการติดต่อไป
“เดิมทีข้าพบคนที่ไม่เลวเลยทีเดียว เพียงแต่ไม่อยู่ในรัฐฉิน” ซ่งชูอีเอ่ย
เจินจวิ้นพูดด้วยความตื่นเต้น “ท่านก็รู้จักน้องสาวคนนี้ของข้า นางเป็นคนขี้กลัว หากแต่งไกลบ้าน…”
“หึหึ ไม่ต้องตื่นเต้น นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการจะพูด” ซ่งชูอีหัวเราะ สวีจ่างหนิงได้ส่งจดหมายด่วนเมื่อไม่นานมานี้ กล่าวว่าองค์ชายซื่อเห็นคุณค่าของเขายิ่ง จะให้เขาแต่งงานกับน้องสาวให้ได้
แม้ว่าองค์ชายซื่อจะโดดเด่นทว่าดีเลวอย่างไรก็เป็นองค์หญิงแห่งรัฐเว่ย ทั้งยังมีพี่ชายที่โปรดปรานเป็นผู้หนุนหลัง จึงสูงส่งกว่าองค์หญิงทั่วไปเล็กน้อย บวกกับช่วงนี้ซ่งชูอีประสบกับเหตุไม่คาดคิด หลังจากสวีจ่างหนิงรู้เรื่องแล้วก็รีบแต่งงานกับองค์หญิงด้วยความรีบร้อน เช่นนี้ต่อให้ซ่งชูอีตายไป “ความเหน็ดเหนื่อย” ในภายหลังของเขาก็ยังมีให้กินให้ดื่ม
ซ่งชูอีครุ่นคิดเล็กน้อย “ข้าเห็นว่ารูปลักษณ์และอุปนิสัยขององค์ชายชางก็ไม่เลว”
เจินจวิ้นหัวใจเต้นรัว ยับยั้งความปีติยินดีไว้ในใจ “เขาเป็นลูกหลานของราชสำนัก ข้าเกรงว่าสกุลเจินที่เป็นครอบครัวพ่อค้าจะไม่คู่ควร!”
ซ่งชูอีคิดในใจ เจ้าคิดเช่นนี้แต่เกรงว่าน้องสาวเจ้าไม่ได้คิดเช่นนี้น่ะสิ ตอนนั้นนางยังรู้สึกว่าตัวเองคู่ควรกับชูหลี่จี๋อยู่เลย!
“เป็นถึงน้องสาวของกั๋วเว่ย เหตุใดถึงไม่คู่ควรกับเขาเล่า?” ซ่งชูอีเอ่ย
เจินจวิ้นดีใจยิ่ง รีบดึงเจินอวี๋มาคำนับขอบคุณ “ขอบคุณท่าน!”
คุยกันครู่หนึ่ง เจินจวิ้นเห็นว่าซ่งชูอีมีสีหน้าเหนื่อยล้า ก็รีบกล่าวคำอำลาพร้อมกับเจินอวี๋อย่างรู้กาลเทศะ
เจินอวี๋ตามไปอย่างเงียบๆ ตลอดทาง ขณะที่กำลังขึ้นรถม้าก็เหลือบมองเจินจวิ้นที่สีหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม กระซิบเสียงเบา “เหตุใดพี่ใหญ่ถึงไม่เอ่ยถึงพี่ใหญ่จี๋เล่า?”
“เด็กโง่!” เจินจวิ้นลูบศีรษะของนาง “ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ถ้านายท่านเอ่ยปากเรื่องงานแต่งนี้อีก ไม่เป็นการดูถูกเขาหรอกหรือ? ข้าจะกล้าทำให้นายท่านลำบากใจได้อย่างไร?”
เจินอวี๋เงียบ ตอนนั้นซ่งชูอีปล่อยให้นางตัดสินใจเอง ทว่าตอนนั้นนางยังไม่รู้ประสา มีความหยิ่งผยอง ไม่สมัครใจที่จะแต่งกับพ่อหม้ายจึงพลาดผู้ชายดีๆ ไป บัดนี้เขาก็ยังไม่ได้แต่งงานใหม่ ทว่ากลับอยู่ไกลเกินเอื้อม
เจินจวิ้นกล่าวด้วยความตื่นเต้น “องค์ชายชางเป็นหลานชายขององค์ชายจื๋อ ยังหนุ่มและกล้าหาญ ปีนี้อายุเท่ากับเจ้าแต่ได้เป็นถึงเซี่ยวเว่ยแห่งทหารองครักษ์แล้ว เขาล้วนทำทุกอย่างด้วยความสามารถของตัวเอง มิได้พึ่งพาบรรพบุรุษ อนาคตภายภาคหน้าไร้ขีดจำกัด ทั้งยังไม่เจ้าชู้ ไม่มีนางบำเรอข้างกาย เป็นคู่สมรสที่ยอดเยี่ยมนัก”
“องค์ชายจื๋อ ก็คือถิงเว่ยคนใหม่เช่นนั้นหรือ?” เจินอวี๋เอ่ย
“ถูกต้อง”
ถิงเว่ยคนก่อนจวีหรังเนื่องจากกั๋วเว่ยถูกลักพาตัวจึงฆ่าตัวตาย ถิงเว่ยที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ก็คืออิ๋งจื๋อ