อิ๋งซื่อหยุดเดินและมองกลับไป
ซ่งชูอีสะบัดแขนเสื้อคำนับ
“เดินพลางพูดพลาง” อิ๋งซื่อเอ่ย
ซ่งชูอีรับคำแล้วเดินตามหลังเขา เด็กในวังถอยห่างออกไปสองจั้งอย่างรู้หน้าที่
จนกระทั่งเดินไกลออกมาจากพระตำหนักแล้ว ซ่งชูอีเอ่ยถาม “กระหม่อมอยากลองกองทัพใหม่”
“ได้” อิ๋งซื่อตอบง่ายๆ ตามคาด “เจ้าจะไปกำกับด้วยตัวเองก็ได้ เรื่องเสบียงก็ยกให้มหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัดการเถิด”
ซ่งชูอีกล่าว “เช่นนั้นภาระหน้าที่ของมหาเสนาบดีฝ่ายขวาไม่หนักเกินไปหรอกหรือ? กระหม่อมเห็นว่าสามารถใช้อิ๋งจื๋อได้”
อิ๋งซื่อครุ่นคิด ซ่งชูอีตามติดเขาและไม่รู้ว่าเลี้ยวมุมตั้งกี่ครั้งก่อนที่จะได้ยินเขากล่าวว่า “ข้าไหว้วานให้อิ๋งจื๋อทำภาระเรื่องอื่น ยกให้มหาเสนาบดีฝ่ายขวา ก็ตัดสินใจอย่างมีความสุขเช่นนี้เถิด”
มี…ความสุข?
ซ่งชูอีไม่เห็นว่ามันจะมีความสุขตรงไหน ชูหลี่จี๋เป็นพี่ชายร่วมสาบานของนาง และก็เป็นน้องชายแท้ๆ ของอิ๋งซื่อเชียวนะ! หรือว่าการรังแกพี่น้องแท้ๆ มีความสุขยิ่งกว่า?
“ช่วงนี้ฝ่าบาทมีเรื่องอะไรน่ายินดีหรือ?” แม้ว่าการแสดงออกของอิ๋งซื่อจะละเอียดอ่อนมาก แต่ซ่งชูอีมักจะรู้สึกได้ว่าระยะหลังนี้เขามีอารมณ์ดีจนน่าประหลาด
“มี” อิ๋งซื่อกล่าว
ดีงั้นรึ! เรื่องแค่นี้จะแบ่งปันหน่อยไม่ได้เชียวหรือ! ซ่งชูอีเหลือบมองท้ายทอยของเขา ใบหน้าผุดรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าสะดวกเปิดเผยหรือไม่ บอกกระหม่อมให้มีความสุขบ้าง”
สิ่งที่ทำให้อิ๋งซื่อมีความสุขได้มีมากเหลือเกิน ตัวอย่างเช่นการคิดแผนการที่จะโค่นล้มรัฐเว่ย หมี่จีตั้งครรภ์ ทางออกที่สามารถแก้ปัญหาการยอมจำนนของปาสู่ได้ การจัดตั้งกองกำลังรักษามณฑลในอี้ฉวีที่เป็นไปด้วยดี หรือแม้แต่การเตรียมการเบื้องต้นสำหรับ “ลูกกำพร้า”…ทว่าเขาคุยเรื่องสัพเพเหระไม่ค่อยเป็น ฉะนั้นจึงไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากเรื่องไหนดี
“เสด็จพ่อกลับมาแล้ว!” เสียงใสของเด็กน้อยขัดจังหวะความอึดอัดชั่วครู่
ซ่งชูอีหันไปตามเสียง เห็นอิ๋งตั้งอยู่ในเสื้อคลุมขนแกะสีขาวราวกับกระต่าย วิ่งเข้ามากอดขาของอิ๋งซื่อ
อิ๋งซื่อไม่ได้กอดเขา กล่าวด้วยความเย็นชาตามปกติ “ไปคำนับอาจารย์”
อิ๋งตั้งเบะปาก เดินไปหาซ่งชูอีอย่างไม่เต็มใจ ประสานมือเอ่ย “ตั้งเอ๋อร์คำนับอาจารย์”
“องค์ชายได้โปรดลุกขึ้น” ซ่งชูอีพยุงเขา
เด็กน้อยขี้หลงขี้ลืม อิ๋งตั้งลืมซ่งชูอีคนนี้ไปเสียแล้ว วันนี้ได้พบกันอีกครั้งก็ราวกับจะคิดถึงนางขึ้นมาจึงยิ้มกว้าง
ซ่งชูอีมองไปรอบๆ พบว่าที่นี่เป็นสะพานโค้ง จึงนั่งยองและถามด้วยความอ่อนโยน “องค์ชายมาที่นี่ได้อย่างไร?”
ตามปกติแล้วคนในวังไม่กล้าหายใจแรงต่อหน้าอิ๋งซื่อเลยด้วยซ้ำ ในที่สุดอิ๋งตั้งก็ได้พบกับคนที่ดูเหมือนว่าจะสามารถพูดคุยต่อหน้าพ่อของเขาได้แล้ว บ่นด้วยความน้อยอกน้อยใจทันที “อาจารย์ เมื่อวานเสด็จพ่อโบยตั้งเอ๋อร์”
ซ่งชูอีเหลือบมองอิ๋งซื่อที่สีหน้าไม่ใคร่สู้ดีนักด้วยหางตา อดหัวเราะมิได้ “งั้นรึ? เพราะเหตุใด?”
“เพราะว่าตั้งเอ๋อร์ไปพบเสด็จแม่ เสด็จพ่อไม่อนุญาต” อิ๋งตั้งตอบด้วยความจริงจัง “แต่ว่าตอนนี้ข้าไม่ได้เจอเสด็จแม่นานแล้ว”
“ตั้งเอ๋อร์” อิ๋งซื่ออุ้มเขาขึ้นมา “เสด็จแม่ของเจ้าทำผิด ฉะนั้นจะต้องถูกกักบริเวณสำนึกผิด รอพ้นช่วงนี้ไปค่อยพาเจ้าไปหานาง”
“ฝ่าบาท เด็กน้อยทำผิดใด?” ซ่งชูอีลุกขึ้นยืน มองดูใบหน้ากลมๆ ของอิ๋งตั้ง “ความผิดของหวังโฮ่วก็ผิดที่สถานะชาติกำเนิด ชั่วชีวิตนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ในอนาคตองค์ชายตั้งไม่อาจรับการสั่งสอนจากหวังโฮ่ว สู้อาศัยตอนนี้ที่เขายังเด็กอยู่กับมารดาตามความเหมาะสมก็ไม่ส่งผลร้ายแรงอะไร มันไม่ใช่ทางออกที่จะปล่อยให้พระราชวังวุ่นวายเพียงนี้”
อิ๋งซื่อทำงานอย่างหนัก เวลาที่สามารถอยู่กับลูกได้มีน้อยมาก ซ่งชูอีแค่คิดก็รู้แล้วว่าตามปกติอิ๋งตั้งจะถูกคนในวังเลี้ยง
“อืม” อิ๋งซื่อยื่นมือบีบๆ ใบหน้าน้อยๆ ของลูกแล้วส่งเขาให้แม่นม “พาเขาไปพบหวังโฮ่วเถิด”
อิ๋งตั้งฟังไม่เข้าใจว่าซ่งชูอีหมายความว่าอะไร ทว่าเมื่อได้ยินว่าจะได้พบกับเสด็จแม่ รอยยิ้มบนใบหน้าน้อยๆ ก็เบ่งบานราวกับดอกไม้ รบเร้าให้แม่นมรีบพาเขาไปทันที
ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้นก็เห็นอิ๋งซื่อมองไปยังเงาเล็กๆ ของอิ๋งตั้ง การแสดงออกที่เย็นชาอยู่เสมอเผยให้เห็นความนุ่มนวลเล็กน้อย
บางทีอาจเป็นเพราะมันยากเหลือเกินที่จะเห็นความอ่อนโยนในตัวเขา จึงทำให้ละสายตาไม่ได้
อิ๋งซื่อหันกลับมา ซ่งชูอีหลุบตาลง “เสร็จธุระแล้ว กระหม่อมขอตัว”
อิ๋งซื่อกล่าว “ยังมีอีกเรื่อง ไป…หอคอยเถิด”
อิ๋งซื่อมีพรสวรรค์และวิสัยทัศน์ในกิจการทหารที่คนธรรมดาไม่สามารถบรรลุได้ ซ่งชูอีต้องการที่จะฟังความเห็นของเขาอย่างมาก ดังนั้นจึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองเดินตามกันไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยว แสงพระอาทิตย์ตกทอประกายราวกับผ้าแพร คนหนึ่งรูปร่างกำยำสูงใหญ่ คนหนึ่งรูปร่างเพรียวบาง
เงียบงันตลอดทาง
เมื่อมาถึงหอคอย ต่างคนก็ต่างนั่งลง อิ่งซื่อเอ่ยขึ้น “กว่าเหรินมีแผนหนึ่ง อยากได้ยินความเห็นจากกั๋วเว่ย”
“ฝ่าบาทเชิญกล่าว” ซ่งชูอีเอ่ย
อิ๋งซื่อเอ่ย “กว่าเหรินต้องการยกราษฎรเว่ยและดินแดนเว่ยให้กับหาน”
ซ่งชูอีครุ่นคิดครู่หนึ่ง หัวใจก็พลันสดใสขึ้นมาทันที เอ่ยอย่างไร้กังวล “ฝ่าบาททรงพระปรีชา!”
อิ๋งซื่อยกถ้วยชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง ได้ยินเช่นนี้ก็รู้ว่านางเข้าใจความหมายของตนแล้ว
รัฐฉินเพิ่งจะกู้อี้ฉวีทางทิศเหนือคืนมาได้ ทางทิศใต้ก็เพิ่งยึดปาสู่มา สถานที่ทั้งสองนี้มีความสำคัญมากในแง่ของจุดยุทธศาสตร์ แต่มันไม่ใช่เรื่องหมูๆ เลยและต้องใช้เวลาพอสมควรในการรวมเข้ากับฉินอย่างแท้จริง ในเวลานี้ดินแดนของรัฐฉินมีขนาดใหญ่มากแต่ประชากรเบาบางเกินไป ราษฎรปาสู่และอี้ฉวีมิได้มีน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับต้าฉิน ไม่เอื้อต่อการพัฒนาอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้กำลังในการจัดการยังไม่เพียงพออีกด้วย หากเพียงเพราะความโลภชั่ววูบและจัดการได้ไม่ดี ในอนาคตฉินจะกลายเป็นหมูอ้วนที่ไม่สามารถขยับตัวได้ ทำได้แต่ปล่อยให้ผู้อื่นฆ่าเท่านั้น
ดังนั้นอิ๋งซื่อจึงวางแผนที่จะใช้โอกาสนี้ย้ายชาวเว่ยจากดินแดนนั้นไปยังรัฐฉินทั้งหมด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผนวกเข้ากับปาสู่ ทั้งยังไม่คิดที่จะส่งดินแดนที่เหลือกลับไปยังรัฐฉินแต่จะส่งไปยังรัฐหานแทน และแก้ไขพันธสัญญาระหว่างรัฐที่จะไม่ละเมิดซึ่งกันและกันภายในระยะเวลาสิบปี
ด้วยวิธีนี้รัฐหานก็จะได้ดินแดนมาเพื่อขยายพื้นที่ของรัฐ การเก็บเกี่ยวข้าวในแต่ละปีจะเพิ่มขึ้นและเมล็ดข้าวจะเพียงพอ แต่กองกำลังแห่งรัฐจะไม่เติบโตอย่างรวดเร็วจนเกินไป หลังจากรัฐเว่ยผ่านสงครามครั้งนี้แล้วก็จะไม่มีกำลังที่จะทำสงครามได้อีกระยะหนึ่ง ทว่าเมื่อสถานการณ์ชะลอตัวแล้วพวกเขาจะต้องกู้คืนดินแดนที่หายไปอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ก็จะปล่อยให้หานและเว่ยสู้จนตายกันไปข้างหนึ่ง ควบคุมการพัฒนากำลังรัฐของพวกเขา จนกระทั่งรัฐฉินกลืนกินอี้ฉวีและปาสู่อย่างสมบูรณ์แล้วค่อยหันกลับไปจัดการพวกเขา
“สายตาฝ่าบาทกว้างไกลยิ่งนัก กระหม่อมเลื่อมใส” ครั้งนี้ซ่งชูอีประจบประแจงด้วยความจริงใจ
ในยุคสมัยชุนชิวรัฐเล็กๆ ทั้งหมดต่างถูกผนวกเข้าด้วยกัน บัดนี้เจ็ดมหานครรัฐแยกตัวโดดเดี่ยว เป็นเรื่องยากมากที่จะยึดครองแผ่นดินทุกตารางนิ้ว มันคือ “หนึ่งแม่น้ำและภูเขามีค่าเท่ากับเลือดหนึ่งตารางนิ้ว” อย่างแท้จริง ใครบ้างที่จะยอมยกดินแดนที่อยู่ในมือไปให้คนอื่นเล่า?
ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง กษัตริย์ทุกพระองค์เข้าใจความจริงที่เรียบง่ายนี้ แต่คนเดียวที่สามารถปล่อยวางได้จริงๆ เกรงว่าจะมีเพียงอิ๋งซื่อเท่านั้น
อิ๋งซื่อยอมรับคำชมของนางอย่างใจเย็น “เกรงว่ารัฐหานก็มีความกังวลที่จะรับดินแดนผืนนี้เช่นกัน”
“ถูกต้อง” ซ่งชูอีเข้าใจเหตุผลว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนี้กับนาง “ฝ่าบาทโปรดวางใจ กระหม่อมจะถ่ายทอดเรื่องดังกล่าวให้กับท่านมหาเนาบดีฝ่ายซ้ายอย่างละเอียด”
เรื่องพันธมิตรระหว่างฉินและหานจะต้องเป็นจางอี๋ถึงจะเอาอยู่
อิ๋งซื่อพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยว่า “เรื่องลองฝึกกองทัพใหม่ เจ้ามีความเห็นเยี่ยงไร?”