เรื่องมาถึงขั้นนี้ หากปฏิเสธอีกก็จะดูเสแสร้งอย่างเด่นชัด ซ่งชูอีประสานมือขอบคุณ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…หากหวยจินปฏิเสธก็จะเป็นการเสียมารยาทแล้ว”
“ท่านจะใช้เส้นทางใดเดินทางไปรัฐฉิน?” หลงกู่ชิ่งเอ่ยถาม
ซ่งชูอีตอบโดยไม่ลังเล “ผ่านรัฐเว่ยหานสองรัฐ”
“ว่าไงนะ?” หลงกู่ชิ่งตกใจ เอ่ยว่า “หากเรื่องนี้เล็ดลอดออกไปแม้แต่นิดเดียว ไม่เพียงจะดำเนินกลยุทธ์ต่อไปได้ยาก ท่านก็จะตกอยู่ในอันตรายด้วย!”
“ท่านแม่ทัพคิดว่าหากผ่านรัฐฉีเจ้าจะมีอันตรายหรือไม่?” ซ่งชูอีกล่าว
สามนครรัฐ เว่ย เจ้า และหาน ร่วมเป็นพันธมิตรต่อกันเพื่อโจมตีรัฐอื่นอยู่บ่อยครั้ง และแยกย้ายกันไปเพราะความเห็นไม่ลงรอยอยู่เสมอ ประเดี๋ยวสานสัมพันธ์ประเดี๋ยวแยกย้ายจนกลายเป็นเรื่องสามัญ ยิ่งไปกว่านั้นบัดนี้รัฐเจ้ามีสงครามภายในซึ่งเป็นโอกาสที่ดี หากเว่ยอ๋องทราบข่าวนี้ เขาจะต้องดึงกองกำลังเพื่อปล้นสะดม โดยใช้เหตุผลในการส่งกองทหารมาช่วยช่วงชิงรัฐเป็นแน่
ในเมื่อไปทางไหนก็ไม่ปลอดภัย ใยต้องอ้อมไปทางอันตรายด้วยเล่า!
หลงกู่ชิ่งไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน รู้สึกว่าถึงอย่างไรเดินไปทางรัฐเว่ยน่าจะดีกว่าบ้าง “เยี่ยม ได้โปรดท่านวางใจ เรื่องนี้จะไม่แพร่งพรายออกไปแน่นอน”
ซ่งชูอีประสานมือคำนับ มิได้กล่าวคำสุภาพเพื่อเอาใจกระไรอีก หลงกู่ชิ่งลงแรงถึงเพียงนี้ก็เพื่อรัฐเว่ย์ มิใช่เพื่อนาง
ทั้งสองคนคุยกันครู่หนึ่ง ซ่งชูอีก็ไปจากห้องน้ำชา และกลับไปยังลาน
พี่น้องกงซุนถูกซ่งชูอีตะคอกใส่ บัดนี้ก็หยุดร้องไห้แล้ว
จื๋อหย่ากับจื่อเฉายืนรอซ่งชูอีกลับมาอยู่ที่เฉลียง
เดิมทีนางรู้สึกว่าไม่มีหน้าจะพบซ่งชูอีอีก และกลัวที่จะเผชิญกับความเย็นชาจึงไร้ความที่จะกล้าพบ ทว่าจื่อเฉายืนกรานว่าจะรอซ่งชูอีที่เฉลียง จื๋อหย่าจึงได้แต่ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยความจำยอม
แม้นในใจนางจะเข้าใจแล้ว ทว่าก็ยังทำตัวเหมือนเด็กที่โตมาอย่างมีชนชั้นวรรณะ มิอาจสวมชุดชนชั้นสูงแต่กลับมีท่าทียโสโอหัง ยังไม่สามารถมองเห็นตัวเองในฐานะสาวใช้จริงๆ ในเวลาเพียงชั่วขณะ เกียรติยศจะว่าหนักก็ไม่หนัก ทว่าผู้ที่มีทิฐิสูงนั้นยากที่จะปล่อยวาง
“นายท่าน” ทั้งสองคนคุกเข่าคำนับ
ซ่งชูอีกล่าว “ลุกขึ้นเถิด พวกเจ้าไปเก็บของ อีกสองวันไปกับข้า”
“เร็วจริงเชียว…” จื๋อหย่าอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมา
ซ่งชูอีเหลือบมองนางอย่างเฉยเมย “เจ้าเลือกที่จะไม่ไปก็ได้ วันนี้ข้าได้กล่าวมาสองรอบแล้ว ไม่ต้องการกล่าวเป็นครั้งที่สาม”
ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ “ด้วยรูปโฉมอันงดงามของพวกเจ้า โดยเฉพาะจื่อเฉา ตราบใดที่ไร้ซึ่งที่พักพิงอย่างมั่นคง ไม่ว่าจะไปที่ใดล้วนมีชะตากรรมไม่แตกต่าง ข้าเพียงต้องการร่วมมือกับพวกเจ้า ข้าจะหานายท่านให้กับพวกเจ้า และจำต้องเป็นนายท่านผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งหาได้ยากยิ่งในใต้หล้า ทว่าจะสามารถกุมหัวใจของเขาได้หรือไม่ ก็ต้องพึ่งฝีมือของพวกเจ้าแต่ละคนแล้ว”
ซ่งชูอีมองพวกนางด้วยความสงบนิ่ง เอ่ยขึ้นเชื่องช้า “ข้ากล่าวทุกอย่างหมดแล้ว ตอนนี้ก็ตัดสินใจเถิดว่าจะอยู่หรือไป หากไป ข้าก็จะไม่ว่ากระไรและปล่อยพวกเจ้า หากอยู่ต่อ ก็หยุดคิดฟุ้งซ่านและเชื่อฟังข้าทุกอย่าง หากมีความสามารถที่ใช้ได้ก็จงนำออกมาใช้ ทว่าหากใช้แล้วไม่สำเร็จ บทลงเอยจะน่าอนาจเพียงใดนั้น มีแต่สิ่งที่พวกเจ้าคิดไม่ถึง แต่ไม่มีสิ่งที่ข้าซ่งชูอีทำไม่ได้”
จื๋อหย่าและจื่อเฉ่าได้ปรึกษากันแล้ว จึงตอบเป็นเสียงเดียวกัน “พวกบ่าวยินดีอยู่ต่อเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปเก็บของเถิด” ซ่งชูอีก็จดจำคำพูดของจี๋อวี่ได้เช่นกัน จากการสำรวจมาระยะหนึ่ง สองคนนี้ไม่น่าจะเป็นสายสืบของรัฐเว่ย
เนื่องด้วยการเป็นราชทูตรัฐฉินเป็นความลับ ดังนั้นซ่งชูอีจึงมิได้กล่าวอำลากับผู้ใด ได้แต่ออกเดินทางกลางดึกวันที่สองท่ามกลางลมหนาวอันโหดร้ายแล้ว
สิ่งแรกที่ซ่งชูอีทำคืออธิบายกับผู้เดินทางด้วยถ้อยคำเดียวกัน การเดินทางครานี้พวกเขาคือกลุ่มพ่อค้ารัฐฉีที่ทำการค้าขายทาส โดยมีรัฐหานเป็นจุดหมายปลายทาง และเนื่องด้วยสภาพอากาศที่หนาวจัด แม่น้ำกลายเป็นน้ำแข็งจึงไม่สะดวกที่จะใช้เส้นทางน้ำ
ยิ่งเดินทางสู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ สภาพอากาศก็ยิ่งหนาวเหน็บ แม้แต่แม่น้ำเหลืองเชี่ยวกรากก็ยังกลายเป็นชั้นน้ำแข็งหนา หากอยู่นอกเหนือฤดูกาล การใช้เส้นทางน้ำจะสามารถเข้ารัฐฉินได้โดยตรง หากเดินทางโดยไม่หยุดพัก ทุกอย่างราบรื่น ก็สามารถถึงที่หมายภายในครึ่งเดือน
อย่างไรก็ดีการเดินทางบกก็มีข้อดี เพราะมันจะไม่ดึงดูดสายตาผู้คน
แน่นอนว่าการเดินทางไกลไม่อาจผูกเรือลำเล็กได้ บัดนี้เรือที่รัฐเยวี่ย ฉี ฉู่นั้นมีมาก หากข้ามไปทางหล่งซี จำนวนเรือก็จะยิ่งลดลงเรื่อยๆ และการเดินทางโดยน้ำจะถูกคนสังเกตได้ง่าย ฉะนั้นต่อให้แม่น้ำเหลืองมิได้กลายเป็นน้ำแข็ง ซ่งชูอีก็มิอาจเลือกเส้นทางน้ำ สถานการณ์ในตอนนี้นับว่าดีแล้ว
ด้วยการร้องขอจากซ่งชูอี ผู้นำอารักขาที่มาส่งพวกเขาเข้ารัฐฉินในครานี้จึงเป็นจี๋อวี่ เขาเป็นผู้ดูแลทุกอย่างในขบวนรถ จี้ฮ่วนกับอวิ่นรั่วก็ตามมาด้วยเช่นกัน
พื้นที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา บนนภาแสงจันทร์ส่องสว่างไร้หมู่ดาว
ลมหนาวอันขมขื่นเสียดแทงกระดูก ต้นหญ้าสูงเท่าเอวในพื้นที่รกร้างโอนเอนเป็นระลอกคลื่นดำทมึน กิ่งก้านและใบไม้เหี่ยวเฉาก็เป็นทิวทัศน์ที่เปิดโล่งสวยงามประเภทหนึ่ง ทว่าซ่งชูอีง่วงนอนมากจนไม่มีเวลาชื่นชม หลังจากกำชับงานเสร็จแล้วก็กลับเข้าขบวนรถไป นางผล็อยหลับไปพร้อมผ้านวมในมือ
หลับจนฟ้ามืด ไม่รู้วันรู้คืน ขณะที่ซ่งชูอีพอจะได้สตินั้น ก็ได้ยินเสียงชายชราร้องเพลงอยู่ข้างนอกเลือนราง น้ำเสียงนั้นแหบแห้ง ไม่ใคร่มั่นคงเนื่องจากลมพัดแรง บางคราวแจ่มชัด บางคราวแตกซ่าน
“บุรุษฉลาดสร้างนคร กลับสั่นคลอนด้วยสตรี ส่งเสียงดังคล้ายปักษี ยามราตรีออกโบยบิน ครั้นสตรีพ่นวาจา คำว่าร้ายเป็นอาจิณ หาใช่เหล่าเทวินทร์ ที่มนทินนั้นนำพา ครั้นตักเตือนมิอาจฟัง ล้มลงพังเพราะสเน่หา……”
เสียงเพลงลอยมากระจัดกระจาย มันคือหนึ่งบทในต้าหย่า[1]มีคนร้องบทต้าหย่าในที่รกร้างก็ช่างประไร ทว่าจุดสำคัญก็คือเนื้อหาของเพลงบทนี้ที่ทำให้ซ่งชูอีรู้สึกไม่ชอบมาพากล
บุรุษผู้เฉลียวมีความสามารถในการริเริ่ม สตรีผู้ความฉลาดสร้างความสับสนวุ่นวาย สตรีแสนฉลาดนางนั้นเอ๋ย ส่งเสียงประหลาดราวกับนกฮูก นางเป็นคนปากสว่าง ดีแต่สร้างความร้าวฉาน ก่อความชั่วร้ายจนหยั่งรากลึก ความโกลาหาได้เกิดจากสรวงสวรรค์ไม่ หากแต่เป็นผลงานของสตรีผู้นี้ องค์จักรพรรดิไม่ฟังแม้แต่คำตักเตือนแต่กลับเชื่อคำสาวงามอย่างสนิทใจ
ต้าหย่าบทนี้กล่าวถึงความมักมากในกามของโจวโยวอ๋อง เชื่อในคำพูดของสตรี นางซ่งชูอีก็เป็นสตรีเช่นกัน!
ครั้นบทเพลงนี้ค่อยๆ เข้ามาใกล้ ซ่งชูอีรีบจัดแต่งผมเผ้าให้เรียบร้อย ผลักเปิดหน้าต่างออก มองไปยังด้านนอก
ทุ่งหิมะไม่มีจุดสิ้นสุดบรรจบเส้นขอบฟ้า สีครามของท้าฟ้าตัดกับสีขาวของหิมะ บริสุทธิ์ไร้ฝุ่นเจือปน อากาศทั้งสดชื่นและเย็นยะเยือก ซ่งชูอีไอหนึ่งที หรี่ตามองไปยังทิศเหนือลม
ชายชราในชุดผ้าป่านแขนกว้างสีน้ำตาลอมเทาเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้าอยู่บนหลังวัว ศีรษะของเขาขาวโพลน ดวงหน้าผอมบาง มือสอดอยู่ในแขนเสื้อ กอดไม้เท้าอันหนึ่งอยู่ในอ้อมอก
ขณะที่กำลังเข้ามาใกล้ ซ่งชูอียกระดับเสียงถาม “เหตุใดท่านผู้เฒ่าจึงร้องเพลงนี้?”
ชายชรามองซ่งชูอี แล้วกวาดตามองขบวนรถเชื่องช้า ยิ้มหึหึตอบมิตรงคำถาม “เด็กน้อยมีใบหน้ากำเนิดมาดีจริง!”
“หรือว่าจะเป็นสำนักหยินหยาง?” ซ่งชูอีพึมพำกับตัวเอง
หลายคนเคยกล่าวว่าซ่งชูอีมีใบหน้าที่กำเนิดมาดี หน้าผากของนางอวบอิ่ม จมูกเป็นสันตรง เมื่อเห็นครั้งแรกก็ยังขาดความอ่อนโยนของสตรีไปบ้าง สิ่งที่เรียกว่า “กำเนิดมาดี” นั้นหมายความว่านางเป็นผู้ที่รวบรวมวิญญาณแห่งสวรรค์และโลกได้ง่าย นับว่าเป็นโหงวเฮ้งที่ดี
เมื่อชาติที่แล้ว ทุกขทรมานที่ซ่งชูอีได้รับนั้นมิได้ด้อยไปกว่าเหล่าบ่าวสาวใช้เลย และยังเคยด่าทอสำนักหยินหยางที่เคยชมว่านางมีหน้าตากำเนิดมาดี ทว่าหลังจากที่กลับมาเกิดใหม่แล้ว นางรู้สึกว่าการที่ตนได้รับทุกขทรมานมากเพียงนั้นก็เพื่อที่จะสามารถสั่งสมพรจากสวรรค์ ฉะนั้นบัดนี้นางจึงค่อนข้างสนใจในสำนักหยินหยาง
คนแปลกหน้าพบกันโดยบังเอิญ ซ่งชูอียังมีเรื่องสำคัญต้องทำ ทุกอย่างต้องดำเนินไปด้วยความระมัดระวัง จึงไม่คิดที่จะตามไปเสวนากับชายชราผู้นั้นอีก
ครั้นพลบค่ำ ลมยิ่งพัดรุนแรง หิมะลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง ม้าดูกระสับกระส่ายเล็กน้อย พ่นเกล็ดหิมะออกจากปากและจมูก รถแทบไม่สามารถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้ท่ามกลางพายุหิมะ
ปังปังปัง!
เสียงเคาะดังขึ้นที่หน้าต่างรถซ่งชูอี เสียงที่เปล่งออกมาอย่างยากลำบากของจี้ฮ่วนลอยเข้ามา “ท่านหวยจิน นายพลจี๋ถามว่าต้องการหาที่ตั้งค่ายหรือไม่? หากฝืนต่อไป ม้าอาจจะแข็งตายได้”
ซ่งชูอีเปิดหน้าต่างพรวด มองออกไปด้านนอก “เจ้าจำไว้ ไม่มีนายพลจี๋อะไรทั้งนั้น! เรื่องเช่นนี้ให้เขาเป็นคนตัดสินใจ”
จี๋อวี่ก็นำทัพออกศึกหลายต่อหลายครั้งแล้ว อีกทั้งเมื่อเห็นความสามารถในการเอาตัวรอดของเขาในรัฐซ่งก็นับว่าไม่เลว เรื่องเล็กเช่นนี้เขาจะต้องสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องแน่นอน หากสามารถออมกำลังของตนได้ก็ต้องออมให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ นี่คือหนึ่งในหลักเกณฑ์แห่งการเป็นมนุษย์ของซ่งชูอี
จี๋อวี่เห็นว่ามีเนินเขาอยู่ข้างหน้า จึงส่งคนไปถาม ครั้นได้รับคำตอบของซ่งชูอีเช่นนี้ เขาก็ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดที่จะลงไปยังเนินเขา ภูเขาละแวกนี้ไม่สูงนัก ทว่าดีเลวอย่างไรลมใต้เนินเขาก็จะพัดช้าลงบ้าง
วันหิมะตก ท้องฟ้ามืดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่กำลังเข้าใกล้เนินเขา จี๋อวี่ก็พบว่ามีเปลวไฟลอยจางๆ อยู่ที่นั่น จึงยกมือขึ้นพร้อมตะโกนว่า “หยุด”
“จี้ฮ่วน พาสองสามคนลงไปดู หากมีอันตรายให้ส่งสัญญาณทันที” จี๋อวี่หยิบขลุ่ยสั้นขนาดสามนิ้วออกมาจากหน้าอกแล้วโยนให้เขา
“ขอรับ!” จี้ฮ่วนรับขลุ่ยมา เลือกสองสามคน ขี่ม้าไปยังทิศทางนั้น
ไม่นาน สองสามคนนั้นก็กลับมา “เป็นนายพรานห้าคน พบกับหมาป่าหิมะเข้า บาดเจ็บสาหัสสองคน กำลังจะหมดลมขอรับ”
……………………………..
[1] ต้าหย่า หนึ่งในสามส่วนหลักของคัมภีร์กวี