หิมะเบาโปรยปราย
จี๋อวี่ยืนเป็นเพื่อนซ่งชูอีเงียบๆ ครู่หนึ่ง เห็นว่าผ่านไปเนิ่นนานนางไม่มีความเคลื่อนไหวใด ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ท่านมีเรื่องในใจหรือ?”
“เรื่องในใจ…” ซ่งชูอีมีเรื่องในใจมามากกว่าวันสองวันแล้ว ทว่าเรื่องในใจเหล่านี้ใช่ว่าเอ่ยออกมาแล้วจะรู้สึกผ่อนคลายได้ เอ่ยยิ้มจางๆ “นอนเถิด ความกลัดกลุ้มในความฝันมิใช่ความกลัดกลุ้มที่แท้จริง”
จี๋อวี่มองดูแผ่นหลังของนาง คิดทบทวนคำพูดของนางอยู่ในใจ เขามิได้พิจารณาความหมายในคำพูดนี้อย่างลึกซึ้ง เพียงแต่รู้สึกว่าที่จริงซ่งชูอีมิได้เป็นคนอิสระเสรีโดยแท้จริง ในใจของนางคงมีอารมณ์ล้ำลึกที่ยากจะอธิบายและความกดดันที่ยากจะบรรเทา
นอนหลับสนิทตลอดทั้งคืน
จนกระทั่งท้องฟ้าส่องแสงรำไร จี๋อวี่แต่งตัวเสร็จแล้วก็ออกไปข้างนอก เห็นว่าหิมะหยุดตกนานแล้วดังที่ซ่งชูอีกล่าว บนพื้นเหมือนถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งชั้นหนา
ครั้นจัดแจงขบวนรถม้าเรียบร้อยแล้ว จี๋อวี่เรียกซ่งชูอีอยู่ครู่ใหญ่ก็ไร้เสียงตอบรับ จึงสั่งให้คนงัดประตูเปิด ห่อนางพร้อมกับผ้านวมโยนขึ้นรถไปแล้ว
ไป๋เริ่นเห็นดังนี้ก็วิ่งขึ้นรถไปด้วย หมอบตัวลงนอนต่อข้างเท้าของนาง
รถม้าเคลื่อนไหวโงนเงนไม่รู้ว่านานแค่ไหน จนเมื่อแสงอาทิตย์แรกผ่านข้างมาในช่องว่างของหน้าต่างรถ ซ่งชูอีจึงตื่นขึ้นท่ามกลางความสะลึมสะลือ
“อาจารย์” เสียงตื่นเต้นของหลงกู่ปู้วั่งดังมาจากนอกรถ
ซ่งชูอีพลิกตัว ตอบรับด้วยความคลุมเครือ
“อาจารย์ ทัศนียภาพสวยงามยิ่ง รีบออกมาดูเถิด!” หลงกู่ปู้วั่งร้องตะโกน จากนั้นเสียงหัวเราะร่าเริงดังขึ้น
ซ่งชูอีเอนตัวอยู่ครู่หนึ่ง ความง่วงจางหายไป นางลุกขึ้นมาสวมเสื้อ หลังจากใช้เกลือบ้วนปากล้างหน้าแล้วจึงเปิดหน้าต่างออก
หลงกู่ปู้วั่งเพิ่งควบม้าผ่านไปท่ามกลางแสงของรุ่งอรุณ เกือกม้าทำให้หิมะบนพื้นฟุ้งกระจาย เสื้อคลุมตัวใหญ่พริ้วไหว เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาของเด็กหนุ่ม
ซ่งชูอีสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ ตบๆ ไป๋เริ่น “ไป พวกเราก็ลงไปเถิด”
ไป๋เหริ่นโตเร็วมาก ผ่านไปเพียงสามเดือน รูปร่างก็โตราวๆ ครึ่งจั้งแล้ว เกือบเทียบเท่าหมาป่าภูเขาตัวเต็มวัยทั่วไป
ช่วงหลังมานี้อาจเป็นเพราะไป๋เริ่นรู้สึกได้ถึงความเมตตาของซ่งชูอีที่ปลดปล่อยให้มันเป็นอิสระ ซ่งชูอีไม่เคยล่ามมันไว้ แต่มันกลับไม่เคยหลบหนี
“ไป๋เริ่น ให้ข้านั่งสักหน่อยเถิด” ซ่งชูอีลูบขนของไป๋เริ่น หย่อนก้นลงบนหลังของมัน
ทว่าหมาป่าหิมะผู้เย่อหยิ่งจะยอมให้ผู้อื่นขี่หลังของตนได้เยี่ยงไร ไป๋เริ่นมิได้สลัดนางทิ้ง เพียงแต่หมอบลงไปกับพื้นเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ลุกขึ้น
หลงกู่ปู้วั่งควบม้าปรี่เข้ามาราวกับสายลม หัวร่อเสียงดัง “อาจารย์ ท่านอยากชื่นชมทิวทัศน์อยู่บนพื้นงั้นหรือ?”
ซ่งชูอีไม่สามารถทำให้ไป๋เริ่นขยับเขยื้อนได้ ครั้นได้ยินคำพูดเยาะเย้ยของหลงกู่ปู้วั่ง ก็คำรามอย่างไม่ลังเล “ชื่นชมน้องชายของเจ้านะสิ!”
“ฮ่าๆๆ!”
เสียงระเบิดหัวเราะดังขึ้นรอบทิศ มันก็โทษไม่ได้หากพวกเขาจะกลั้นไว้ไม่อยู่ คำพูดของซ่งชูอีคลุมเครือเกินไปแล้ว!
หลงกู่ปู้วั่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากจะด่ากลับเป็นที่สุด ทว่าแม้เขาจะเป็นคนมุทะลุ แต่ก็ได้รับการอบรมด้วยคำสอนของขงจื้อตั้งแต่เด็ก มารยาท การให้เกียรติและการเคารพครูบาอาจารย์นั้นได้ถูกสลักเข้าไว้ในกระดูกแล้ว ไม่อาจจะด่าออกมาได้
ซ่งชูอีเอียงตัวไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จี๋อวี่จูงม้าตัวหนึ่งเข้ามาหานาง “ท่านขี่ม้าเถิด หมาป่าหิมะนิสัยดื้อรั้น ถึงอย่างไรก็มิได้มีไว้ขี่”
“พรุ่งนี้ข้าจะฆ่าเจ้า!” ซ่งชูอีจ้องไป๋เริ่นด้วยความโกรธเคือง
ไป๋เริ่นจะไปเข้าใจที่นางพูดได้อย่างไรกัน มันเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นอย่างสบายใจ ลุกขึ้นมาแล้วพุ่งตัวออกไปราวกับลูกศร ทำเอาบรรดาพ่อค้าและม้าตกใจจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ส่งเสียงร้องพร้อมๆ กัน
“ท่านดูแลไป๋เริ่นให้ดีเถิด” จี๋อวี่กล่าว
ดูแล? ดูแลเยี่ยงไร? ซ่งชูอีไอแห้งๆ สองสามที ยิ้มเอ่ย “ข้าชอบความไร้เดียงสาและไร้พิษสงของมัน มันยังเด็ก นายพลจี๋คงไม่ฆ่ามันอย่างโหดเหี้ยมดอกกระมัง?”
สีหน้าหนักแน่นของจี๋อวี่เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำเล็กน้อย “มันไร้เดียงสาและไร้พิษสงก็จริง ทว่าขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าหนึ่งเดือนพวกเราก็ยังไม่ถึงเสียนหยาง!”
ซ่งชูอีพยักหน้าค่อนข้างเห็นด้วย เรียกเสียงสูง “ไป๋เริ่น!”
เดิมทีแค่ทำท่าทางไปอย่างนั้น มิได้มีความคาดหวังใด คิดไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวไป๋เริ่นจะวิ่งเข้ามาหานางจริงๆ นั่งมองนางน้ำลายย้อย
แม้แต่ม้าที่ซ่งชูอีกำลังขี่ก็ถอยหลังไปสองสามก้าว กล้ามเนื้อเกร็งไปทั้งตัว ราวกับเตรียมพร้อมวิ่งหนีเอาชีวิตรอดได้ทุกเมื่อ
ซ่งชูอีกำลังรู้สึกปวดหัว พลันได้ยินบางสิ่งพุ่งผ่านสายลม
ซ่งชูอีเหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อย ก็เห็นลูกธนูพุ่งตรงไปยังไป๋เริ่น นางอุทานด้วยความตกใจ จี๋อวี่เกร็งไปทั้งตัว ชักดาบรวดเร็วปานสายฟ้า—
ชิ้ง!
ดาบทองสัมฤทธิ์กับลูกธนูพบกันอย่างแม่นยำกลางอากาศจนก่อให้เกิดประกายไฟ ลูกธนูเด้งกระเด็นไปไกลหลายจั้ง ด้วยแรงนั้นทำให้ลูกธนูปักจมอยู่ในดินเสียครึ่งหนึ่ง
ไป๋เริ่นกระโดดขึ้นมากะทันหัน ทันใดนั้นขนบนตัวลุกซู่
จากนั้นก็เกิดการสั่นสะเทือนรุนแรงบนพื้นดิน เสียงของเกือกม้าดังกึกก้องราวกับเสียงกลองสงคราม ซ่งชูอีมองไปยังทิศทางของเสียง เห็นกลุ่มเมฆสีดำก้อนใหญ่รุดเข้ามาด้วยความเร็วสูง หิมะเบาบางที่ฟุ้งกระจายเพราะเกือกม้าตลบอบอวลกลายเป็นหมอกสีขาวจางๆ กลืนกินทุกอย่างราวกับฝนพายุกระหน่ำและเข้ามาถึงตรงหน้าในชั่วพริบตา
ทหารในชุดเกราะสีดำหยุดอยู่ไม่ไกลจากขบวนรถ มีมือธนูสิบกว่านาย ลูกธนูบนหน้าไม้เตรียมพร้อมจู่โจม
“หยุดก่อน!” ซ่งชูอีตะโกนทันที
ทหารในชุดเกราะสีดำยืนตัวตรงราวกับอนุสาวรีย์ แม้แต่ม้ารบที่ขี่อยู่ก็ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ลมหายใจแห่งความพร้อมสังหารแพร่กระจายท่วมท้น
ท่ามกลางความชะงักงันนั้น ซ่งชูอีกำลังจะพูดต่อ ท่านแม่ทัพรูปร่างกำยำในชุดเกราะสีดำขี่ม้าออกมาจากด้านข้างอย่างช้าๆ ขนสุนัขจิ้งจอกสีดำที่พันอยู่รอบคอบดบังใบหน้าของเขาเสียครึ่งหนึ่ง เห็นเพียงดวงตาที่เฉียบคมและเย็นยะเยือกคู่นั้น คิ้วดกดำสองข้างชี้เข้าไปในขมับแหลมคมราวกับดาบสองเล่ม
แววตาของท่านแม่ทัพเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่ไป๋เริ่นและซ่งชูอี เขายกมือขึ้นเล็กน้อย ห้ามปรามนายทหารข้างกายที่ต้องการจะเอ่ยกระไรบางอย่าง ในที่สุดสายตาเย็นเยียบก็มาหยุดอยู่ที่จี๋อวี่ เอ่ยชม “ทหารดี! เชิงดาบเยี่ยม!”
เสียงของเขาเยือกเย็นเหมือนกับแววตาทว่ามิทิ้งความห้าวหาญ
จี๋อวี่เก็บดาบ ประสานมือคารวะเขา
ผู้นั้นพยักหน้าให้จี๋อวี่ หวดแส้ม้าทีหนึ่ง แล้วจากไปอย่างรวดเร็วปานก้อนเมฆไหลลื่น เหล่าหทารในชุดดำที่อยู่ด้านหลังรีบตามไปทันที พวกเขาอ้อมผ่านด้านข้างของขบวนรถพ่อค้าอย่างรวดเร็วและเป็นระเบียบเรียบร้อย
“ช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก” หลงกู่ปู้วั่งมองดูเหล่าทหารในชุดดำที่ไกลออกไป ดวงตาเป็นประกาย
ซ่งชูอีถอนหายใจโล่งอก ลงจากม้าตบๆ หลังของไป๋เริ่นเป็นการปลอบใจ กองทหารในชุดดำเมื่อครู่คงคิดว่าขบวนรถถูกหมาป่าหิมะจู่โจม จึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ถึงอย่างไรบนโลกใบนี้คงมีไม่กี่คนที่นึกพิเรนทร์เลี้ยงหมาป่าไว้เป็นเพื่อนเล่น
หลงกู่ปู้วั่งขี่ม้าไปข้างหน้า สอบถามเหล่าทหารฉินผู้นำทางที่สวมชุดชาวบ้าน “พี่ชายทั้งหลาย ไม่ทราบว่าที่ผ่านไปเมื่อครู่คือกองทหารใด ท่านแม่ทัพที่นำทัพผู้นั้นคือผู้ใด?”
“คุณชายเกรงใจเกินไปแล้ว พวกข้าคนหยาบโลนไม่คู่ควรแก่การถูกเรียกเช่นนี้ ดูจากชุดเกราะแล้ว น่าจะเป็นกองทหารของเสียนหยาง ทว่าท่านแม่ทัพผู้นั้นยังดูหนุ่มแน่น พวกข้าเฝ้าด่านอู่มาสิบปี ไม่ทราบความเปลี่ยงแปลงภายใน” ทหารฉินผู้นำทางตอบด้วยสำเนียงฉินหนักหน่วง
ไป๋เริ่นค่อยๆ ใจเย็นลงจากการปลอบใจของซ่งชูอี ซ่งชูอีขึ้นม้าแล้วมองกลับไป ทิศทางที่กองทหารชุดดำจากไปยังคงมีฝุ่นจางๆ คลุ้งกระจาย นางก้มหน้าซ่อนเร้นกระแสคลื่นที่ก่อตัวขึ้นในแววตา
“ความเฉียบคมของทหารฉินช่างสมคำร่ำลือจริงๆ!” จี๋อวี่อุทาน ไม่ต้องเห็นพวกเขาเข่าฆ่ากันในสนามรบ เพียงเห็นบุคลิกเกรียงไกรเช่นนี้ก็พอจะสามารถจินตนาการได้บ้าง
ครั้นซ่งชูอีเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แววตาก็สงบนิ่งดังเช่นปกติ
“อาจารย์! ท่านเห็นหรือไม่!” หลงกู่ปู้วั่งข่มความตื่นเต้นไว้ในใจไม่ไหว
“ข้ามิได้ตาบอด” ซ่งชูอีตอบด้วยความหงุดหงิด ในใจคิดว่า ปู้วั่งเอ๋ยปู้วั่ง แม้นว่าทหารฉินจะไม่เลว พวกเราก็ยังเป็นราชทูตของรัฐเว่ย์ ดีเลวอย่างไรก็ควรสงบเสงี่ยมหน่อยกระมัง
หลงกู่ปู้วั่งมิได้ไตร่ตรองว่าจะเป็นราชทูตหรือไม่ เขาเพียงตรงไปตรงมา ในใจคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องน่าขายหน้าในเมื่อผู้อื่นคู่ควรแก่การชื่นชมจริงๆ
ซ่งชูอีมิได้ตำหนิ ข้อแรกนางไม่อาจทำร้ายความภาคภูมิใจในตนเองของหลงกู่ปู้วั่งต่อหน้าสาธารณชน ข้อสองชาว
หล่งซีส่วนใหญ่เป็นคนเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ครั้นเห็นเขาเช่นนี้บางทีอาจจะบังเกิดความภาคภูมิใจ ทว่าจะไม่ดูหมิ่นว่ารัฐเล็กๆ ของพวกเขาขาดความรู้
อย่างไรก็เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว แม้นซ่งชูอีจะไม่เห็นใบหน้าของท่านแม่ทัพในชุดเกราะสีดำอย่างชัดเจน ทว่าด้วยบุคลิกเยี่ยงนั้นก็มิอาจมองข้ามได้เลย
หลงกู่ปู้วั่งกำลังอยู่ในความกระตือรือร้นยิ่ง ไม่ใส่ใจน้ำเสียงของซ่งชูอีโดยสิ้นเชิง เอ่ยด้วยความปรารถนา “หากสักวันหนึ่งข้าสามารถบัญชาการกองทัพให้ทำสงครามเยี่ยงนี้ได้ ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่เสียใจแล้ว!”
ซ่งชูอีขมวดคิ้วเล็กน้อย พอจะเข้าใจเลือนรางว่าเหตุใดหลงกู่ปู้วั่งจึงเทิดทูนผังเจวียน
ผังเจวียนก็เหมือนมีดแหลมคมเล่มหนึ่ง ทั้งข้อดีและข้อด้อยล้วนโดดเด่นยิ่ง หนึ่งในนั้นไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายซึ่งก็คือความหลงใหลในกองกำลังที่แข็งแกร่งในระดับสุดขั้ว นี่ทำให้เขาฝึกฝนวิชาการทหารเว่ยเพื่อเป็นผู้ชนะสิบทิศ ครั้งหนึ่งเขานำกองกำลังของรัฐเว่ยมาถึงจุดสูงสุด ทว่ามันก็พาเขาไปสู่เส้นทางแห่งความตายเช่นกัน
หลงกู่ปู้วั่งเหมือนกับผังเจวียนในจุดนี้ไม่มีผิดเพี้ยน
ขบวนรถเดินทางต่อ ซ่งชูอีขี่ม้าเคียงข้างหลงกู่ปู้วั่ง “ปู้วั่งเจ้าเคยได้ยินเรื่องของเถียนจี้แข่งม้า[1]หรือไม่?”
หลงกู่ปู้วั่งพยักหน้า
“มุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ ข้อเสียก็สามารถกลายเป็นข้อได้เปรียบ” ซ่งชูอีเอ่ยพร้อมมองเขา
หลงกู่ปู้วั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่ช้าก็เข้าใจความหมายของซ่งชูอี กองกำลังอันแข็งแกร่งนั้นแน่นอนว่าสำคัญ ทว่าไม่ควรมุ่งเน้นไปที่กองกำลังแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว
“ปู้วั่งเข้าใจ แต่ว่าหากเถียนจี้แข่งม้ากับคู่แข่งที่มีม้าชั้นดีทั้งหมด ไม่ว่าซุนจื่อจะวางแผนกลยุทธ์แบบใด เกรงว่าไม่ทางชนะได้กระมัง” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ยถาม
ไม่แน่ว่าตอนนั้นผังเจวียนก็คิดเช่นนี้แหละ! ซ่งชูอีส่ายหน้า “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล ทว่าการทหารกับการแข่งม้านั้นไม่เหมือนกัน เหตุใดสำนักยุทธพิชัยจึงกล่าวว่าต้องดูห้าสิ่ง? ทั้งห้าสิ่งนี้คาดเดาไม่ได้แต่สามารถส่งผลต่อการสถานการณ์สงครามเป็นอย่างมาก ยังจำที่ข้าบอกเจ้าได้ไหมว่าเราสามารถหยิบยืมอำนาจของกฎแห่งธรรมชาติเพื่อแก้ไขสถานการณ์ได้?”
หลงกู่ปู้วั่งเอ่ย “ศิษย์จำได้”
ซ่งชูอีเอ่ย “ต่อให้กองกำลังแข็งแกร่งเพียงใดจะต่อต้านกฎแห่งธรรมชาติได้หรือ?”
นี่มันไม่ต้องสงสัยเลย หลงกู่ปู้วั่งตอบ “ไม่ได้”
“คำว่า ‘การทหาร’ มิได้หมายถึงตัวทหารเพียงอย่างเดียว กองกำลังที่แข็งแกร่งแน่นอนว่าเป็นข้อดี ทว่าไม่ใช่วิธีที่จะเอาชนะได้อย่างสมบูรณ์” ซ่งชูอีเห็นว่าหลงกู่ปู้วั่งแสดงอาการสับสนเล็กน้อย รู้ดีว่าเมื่อเขาเห็นบุคลิกน่าเกรงขามของทหารฉินในชุดเกราะสีดำแล้วก็ยากที่จะสงบจิตใจได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่กล่าวมากอีก ได้แต่เตือนสติในตอนท้าย “แม้นกองกำลังของรัฐฉีก็ไม่อ่อนแอ ทว่ากลับห่างไกลจากกองกำลังรัฐเว่ยมากนัก แล้วไฉนกองกำลังของผังเจวียนกลับพ่ายแพ้ให้กับทหารฉีของซุนปิ้นได้เล่า?”
จิตใจของหลงกู่ปู้สั่งค่อยๆ สงบลงมาบ้าง จมดิ่งอยู่ในความคิด
ในสมองของเขาต่อสู้กันไม่หยุด ด้านหนึ่งคือคำพูดของซ่งชูอี อีกด้านหนึ่งกลับเป็นบุคลิกเยี่ยงวีรบุรุษอันน่าทึ่งของท่านแม่ทัพที่นำกองทหารในชุดเกราะสีดำเมื่อครู่
ซ่งชูอีไม่พูดกระไรอีก ปล่อยให้เขาคิดด้วยตัวเอง
ขบวนรถค่อยๆ เข้าสู่เส้นทางภูเขาที่คับแคบและยากลำบาก หากเดินต่อไปตามเส้นทางภูเขาอีกยี่สิบลี้ ก็จะถึงซังอวี๋ อูตี้แล้ว ประมาณการวันที่ซางยางถูกฆ่าน่าจะใกล้เข้ามาแล้วกระมัง
………………………
[1] เถียนจี้แข่งม้า ในการแข่งม้า ซุนปิ้นช่วยวางแผนกลยุทธ์ให้เถียนจี้ผู้ไม่เคยชนะเพื่อเอาชนะองค์จักรพรรดิผู้ไม่เคยแพ้ โดยทั่วไปม้าที่เข้าร่วมในการแข่งขันแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นดี ชั้นปานกลางและชั้นต่ำ การแข่งขันใช้ระบบ 3 รอบชนะ 2 ตามกลยุทธ์ของซุนปิ้นนั้น เถียนจี้ได้นำอานม้าสำหรับม้าชั้นดีไปใส่ไว้ในม้าชั้นต่ำเพื่อปลอมตัวเป็นม้าชั้นดี เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น ม้าชั้นดีของพระจักรพรรดิวิ่งนำหน้าไป ส่วนม้าของเถียนจี้ถูกทิ้งไว้อยู่ข้างหลังและพ่ายแพ้ ครั้นการแข่งขันรอบที่ 2 เถียนจี้ใช้ม้าชั้นดีของตนไปแข่งกับม้าชั้นกลางของพระจักรพรรดิ คาดไม่ถึงว่าม้าของเถียนจี้จะนำหน้าม้าของพระจักรพรรดิได้ รอบสุดท้ายม้าชั้นกลางของเถียนจี้แข่งกับม้าชั้นต่ำของพระจักรพรรดิ เถียนจี้ชนะอีกครั้ง ผลการแข่งขันคือ 2 ต่อ 1 เถียนจี้ชนะพระจักรพรรดิ