ตอนที่ 259 แจกความหวานรายวัน ชอบเธอนะ
ฟางจือหันมองเธอเงียบๆ ช่วยลูบผมที่ยุ่งเหยิงจากการวิ่งเมื่อครู่ไปทางด้านหลัง และสะกิดปลายจมูกของเธอเบาๆ ยามที่ดึงมือกลับ
อวี๋กานกานก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวโดยอัตโนมัติ เพื่อหลบการกระทำของเขา
“หลบทำไม” ฟางจือหันหรี่ตาลง ยื่นแขนออกมาโอบไหล่ ดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอด ก่อนจะเปิดประตูรถ และดันตัวเธอเข้าไป
อวี๋กานกานเอ่ยถาม ขณะที่คาดเข็มขัดนิรภัย “ไปไหนคะ”
“กินข้าว” ฟางจือหันตอบ
“แค่เราสองคนเหรอ”
“คิดว่าฉันจะเรียกใครมาอีก”
“จยาอวี่หรือไม่ก็ลู่เสวี่ยเฉิน”
“ไม่”
“คนเยอะๆ ครึกครื้นดีออก” อาหารอร่อยขึ้นด้วย
ฟางจือหันหันมองเธอ นัยน์ตาดำลึกราวกับมหาสมุทร “ฉันอยากไปด้วยกันกับเธอ”
อวี๋กานกานรู้สึกร้อนวูบที่ศีรษะทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
ดะดะด้วยกัน…กินข้าว? ก็กินข้าวด้วยกัน ทำไมต้องประหยัดคำ พูดให้ฟังดูคลุมเครือด้วย
รถจอดเทียบที่หน้าตึกสูง ชั้นบนสุดของตึกมีคลับส่วนตัวแบบ VIP และร้านอาหารแบบส่วนตัวชื่อดัง
พนักงานเดินนำพวกเขาไปยังห้อง VIP ที่เงียบสงบห้องหนึ่ง ห้องห้องนี้ตกแต่งอย่างหรูหรา สามารถมองเห็นวิวทั่วทั้งเมืองแบบ 360 องศา
หน้าต่างด้านข้างมีขนาดใหญ่มาก ทำให้เมื่อมองออกไปแล้วอวี๋กานกานรู้สึกเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ
ฟางจือหันมองเธอแบบกึ่งยิ้มกึ่งนิ่ง ยามที่ถือเมนูขึ้นและเอ่ยถาม “เธอชอบกินอะไร”
อวี๋กานกานตอบ “อะไรก็ได้ ฉันกินได้หมด”
ฟางจือหันถามเสียงเรียบ “ชอบดอกบัวเจ้าแม่กวนอิม[1]ไหม”
อวี๋กานกานมองวัตถุดิบของอาหารจานนั้น เมื่อเห็นว่าทำจากผักกาดขาวกับปลาและกุ้ง เธอจึงพยักหน้ารับ “ชอบค่ะ”
แม้จะยังไม่เคยกิน แต่ก็ทำมาจากวัตถุดิบที่เธอชอบ เพราะงั้นเธอจึงคิดว่ามันน่าจะอร่อย
“นกยูงแผ่หาง?”
“ชอบค่ะ” เอาหัวกับหางของปลาทรายแดงหวู่ชางมาแยกออกแล้ววางเป็นนกยูงแผ่หาง จากนั้นก็เอาไปนึ่ง เธอชอบกินปลามากที่สุด
“เต้าหู้ไข่มุก?”
“ชอบค่ะ” แค่มองรูปก็แทบน้ำลายไหลแล้ว
“ไห่ถังกรอบ?”
“ชอบค่ะ”
“แล้วฉันล่ะ”
“ชอบ…”
อวี๋กานกานหลุดปากตอบออกไป กระทั่งเมื่อรู้ว่าคำตอบของตัวเองมีปัญหา เธอจึงเงยหน้ามองฟางจือหันด้วยความตกใจ
แววตาของชายหนุ่มดูล้ำลึก มุมปากยกยิ้มเยาะ
ใบหน้าเล็กของอวี๋กานกานแดงก่ำ ใจก็กระสับกระส่ายเหมือนกวางน้อย เธอพูดด้วยความอายปนโมโห “คุณ…คุณเอาเปรียบฉันนี่”
ฟางจือหันมองเธออย่างใสซื่อ “นี่ก็เรียกเอาเปรียบเหรอ”
อวี๋กานกานพูดติดอ่างด้วยความโมโห “งะ…งั้นเรียกว่าอะไรล่ะ”
จู่ๆ ฟางจือหันที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามก็ลุกขึ้น เดินมานั่งข้างๆ อวี๋กานกาน
เขายื่นมือโอบเอวอวี๋กานกาน รั้งตัวเธอเข้ามากอด
อวี๋กานกานผงะตกใจ พยายามสะบัดออกโดยอัตโนมัติ แต่ก็สะบัดไม่หลุด ได้แต่วางมือลงบนไหล่ของเขาเท่านั้น “คะ คุณจะทำอะไร…”
มือของชายหนุ่มที่อยู่บริเวณเอวของเธอนั้นร้อนมาก ราวกับกำลังมีกระแสไฟฟ้าโจมตีร่างกายของเธอ
“ทำอะไร? ฉันกำลังสอนให้เธอรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเอาเปรียบ” พูดจบฟางจือหันก็จูบเธอ
ถึงจะเป็นแก้มไม่ใช่ริมฝีปาก แต่ก็มากพอที่จะทำให้ทั้งหน้าและหูของอวี๋กานกานแดงไปหมด
ขณะที่เธอทนไม่ไหวกำลังจะด่าออกไปว่าอันธพาล ก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเสียก่อน อวี๋กานกานรีบดันตัวฟางจือหันออก และย้ายไปนั่งด้านข้างทันที
เมื่อขยับมานั่งติดหน้าต่างบานใหญ่ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตกลงไปข้างล่าง
อวี๋กานกานปรายตามอง นึกกลัวจนขาหมดแรง ฝ่ามือก็ชื้นไปด้วยเหงื่อ ยามที่ขยับกลับมานั่งใกล้ๆ ฟางจือหัน
เธอดันตัวฟางจือหันออก “ไปนั่งที่คุณได้แล้ว”
——
[1] ดอกบัวเจ้าแม่กวนอิม เ ป็นอาหารที่ตั้งชื่อจากรูปลักษณ์ มีผักกาดขาวเป็นวัตถุดิบหลัก ทำเป็นรูปดอกบัวและพระหัตถ์พระพุทธเจ้า
ตอนที่ 260 วัตถุล้ำค่า
ฟังจือหันไม่ลุกขึ้น เอนหลังพิงโซฟา สีหน้าไร้ความอึดอัดและความอักอ่วนใดๆ ยื่นมือมาโอบไหล่อวี๋กานกาน จากนั้นตะโกนด้วยน้ำเสียงสุภาพว่าเชิญเข้ามาได้
พนักงานบริการเดินเข้ามา ตลอดขั้นตอนการสั่งอาหารอวี๋กานกานไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ รอจนกระทั่งพนักงานเดินออกไปแล้ว อวี๋กานกานถึงถลึงตาใส่ฟังจือหัน กล่าวกับเขาอย่างจริงจัง “นายรู้ไหมผู้ชายต้องใจกว้าง ซื่อสัตย์จริงใจ โอบอ้อมอารีจึงจะเรียกได้ว่าล้ำค่า”
ฟังจือหันจ้องมองมาที่อวี๋กานกาน สีหน้าไม่ชอบมาพากลเจือความชั่วร้ายไว้เล็กน้อย ริมฝีปากบางของเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหูของเธอ จากนั้นเอ่ยเสียงแผ่ว “ของผมล้ำค่ามากอยู่แล้ว”
อวี๋กานกานชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ถึงจะเข้าใจว่าประโยคที่ฟังจือหันพูดหมายถึงอะไร ใบหน้าทั้งดวงพลันขึ้นสีแดงแจ๋ “หยาบคาย!”
“ถ้าคุณไม่เชื่อจะลองทดสอบด้วยตัวเองดูก็ได้นะ”
“ใครพูดว่าอยากทดสอบกัน”
…
หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จแล้ว อวี๋กานกานให้ฟังจือหันไปส่งเธอที่บ้านของหลินจยาอวี่
ฟังจือหันถามอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก “เมื่อไรจะย้ายไปอยู่ที่บ้าน”
“ฉันไม่ไปอยู่บ้านนายหรอก” พักที่หอพักสมาคมจัดให้ แวะไปพักกับหลินจยาอวี่บ้าง ระยะเวลาเดือนนึงผ่านไปเร็วจะตาย เดี๋ยวเธอก็ต้องกลับไป๋หยางแล้ว
“วันมะรืนคุณมีสัมมนาตอนเช้า หลังจบผมจะไปรับคุณ” น้ำเสียงของฟังจือหันเย็นเยียบ ไม่อนุญาตให้คัดค้าน
“ฉันมาศึกษาหาความรู้นะ”
“หมอที่อยู่ปักกิ่งเขาก็กลับบ้านกันทั้งนั้น”
อวี๋กานกานกล่าว “นายต้องการจะทำอะไรกันแน่”
ฟังจือหันย้อนถาม “ถ้าผมบอกคุณว่าผมอยากทำอะไร คุณจะอนุญาตไหมละ”
แน่นอนว่าไม่อนุญาต!
หลังจากคุยกันอีกสองสามประโยค ในที่สุดอวี๋กานกานก็ยอมตอบตกลง
อย่างไรซะก็อยู่บ้านเดียวกันแต่แยกห้องนอน ที่ไป๋หยางเธอกับฟังจือหันก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยอยู่ร่วมกันแบบนี้ ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล อีกอย่างช่วงนี้เธอเองก็ไม่อยากอยู่หอพัก ต้องการเจอซูจิ่วซานให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
หลังจากที่ฟังจือหันขับรถมาส่งอวี๋กานกานที่บ้านของหลินจยาอวี่แล้วเขาก็กลับไปทันที
หลินจยาอวี่หยิบรูปถ่ายใบหนึ่งบนโต๊ะขึ้น ชูไปตรงหน้าอวี๋กานกาน “เธอว่าคนนี้เป็นไง”
อวี๋กานกานมองดูรูป พูดด้วยความงุนงง “นี่มันลู่เสวี่ยเฉินไม่ใช่เหรอ เธอมีรูปเขาได้ไงเนี่ย คงไม่ใช่ว่าเขาเป็นคู่นัดบอดของเธอหรอกนะ”
เธอเป็นเช่นนั้นจริง คู่นี้ดวงชะตาจะสมพงษ์กันเกินไปหน่อยแล้ว
หลินจยาอวี่ส่ายศีรษะ “วันนี้ลู่เสวี่ยเฉินมาหาฉัน ต้องการจะทำข้อสัญญาแต่งงานร่วมกัน เป็นบิดาในนามให้ลูกฉัน”
อวี๋กานกานตกตะลึงจนอ้าปากหวอดวงตาเบิกโต ครึ่งค่อนวันยังพูดอะไรไม่ออก
หลินจยาอวี่กล่าว “เธอว่าฉันตกลงทำดีไหม”
หลินจยาอวี่ไม่คาดหวังอะไรในความรักระหว่างชายหญิงอีกแล้ว และยิ่งไม่เคยคาดหวังการแต่งงานในอนาคตจะมีความรักแท้จริงอะไรบังเกิดขึ้น หลังจากนี้ต่อให้เธอต้องแต่งงาน เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูกและเหตุผลอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเหลียนอิน[1] ซึ่งเห็นได้ชัดว่าลู่เสวี่ยเฉินเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว เพราะชาติตระกูลของเขาและเธอเท่าเทียมกัน อีกอย่างลู่เสวี่ยเฉินก็หน้าตางดงาม แม้ว่าจะมีชื่อเสียงด้านความเจ้าชู้ แต่ผู้ชายในแวดวงของพวกเขามีใครบ้างที่ไม่เถลไถลนอกบ้าน
เธอไม่เคยตั้งความคาดหวังว่าเหลียนอินจะสามารถทำให้สามีภรรยาซื่อสัตย์จริงใจต่อกันได้ วิธีที่ดีที่สุดคือพวกเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวชีวิตของกันและกัน รักษาเพียงภาพลักษณ์ภายนอก แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือลู่เสวี่ยเฉินไม่ได้ชอบพอเธอ เขาจะไม่ล่วงเกินเธอ และยังยินดีที่จะเป็นบิดาในนามให้ลูกของเธอ ฉะนั้นเธอจึงกำลังไตร่ตรองอย่างระมัดระวังรอบคอบ
“ช่วงนี้เธอกำลังนัดบอด ลู่เสวี่ยเฉินเองก็นัดบอดอยู่บ่อยๆ ถ้าพวกเธอแต่งงานกัน แล้วเขายังยินดีที่จะเป็นบิดาในนามให้ก็ถือว่าน่าสนใจนะ…” อวี๋กานกานหัวเราะแหะๆ “แต่ว่าเป็นการแต่งงานแบบทำข้อสัญญา แบบนี้มันจะดีจริงเหรอ”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าดีไหม เธอมีความคิดเห็นว่าไง”
“ฉันเองก็ไม่รู้”
การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ อวี๋กานกานไม่กล้าให้คำแนะนำส่งเดช หลินจยาอวี่ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง
——
[1] เหลียนอิน หมายถึง แต่งงานกันเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง เช่น รวมสองตระกูลเข้าด้วยกันเพื่อความเข้มแข็งทางธุรกิจ