ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ – ตอนที่ 279 น้ำส้มสายชูเปรี้ยว อย่ากินมั่วซั้ว / ตอนที่ 280 โรคนี้มีความเกี่ยวโยงกับอารมณ์

ตอนที่ 279 น้ำส้มสายชูเปรี้ยว อย่ากินมั่วซั้ว  

 

 

ฟังจือหันสงบนิ่งไม่ไหวติง เขาชำเลืองมองสีหน้าท่าทางตกตะลึงของอวี๋กานกาน ส่งสายตา ‘ก็ใช่น่ะสิ คุณคิดว่าเป็นอะไรล่ะ’ ให้เธอ  

 

 

อวี๋กานกานสีหน้าอิหลักอิเหลื่อ รีบหันสายตาไปมองทางอื่น พูดกับผู้อาวุโสหวง “หว่านเป้ย[1] เองก็นึกวิธีนี้ขึ้นได้เมื่อครู่ ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่า คิดเพียงแค่ว่าผักป่าไม่ใช่ยา นำมาใช้เป็นอาหารได้”  

 

 

ผู้อาวุโสหวงเป็นผู้ฟังที่ดี เขาพยักหน้าน้อยๆ “ผักป่าไม่ใช่ยา แต่มีฤทธิ์ทางยาอยู่ ถ้าอย่างงั้นก็ลองใช้วิธีของหนูดู ไม่แน่ว่าอาจจะได้ผลดีจนน่าทึ้งก็เป็นได้”  

 

 

นายแพทย์หยวนไม่เชื่อใจอวี๋กานกาน แต่เชื่อผู้อาวุโสหวง อย่างไรเสียชื่อเสียงของผู้อาวุโสหวงเองก็ถูกเดิมพันไว้เช่นกัน เขาจึงไม่พูดอะไรต่อ ทว่าคิ้วยังคงขมวดแน่นเป็นปม  

 

 

อวี๋กานกานจดรายชื่อผักป่าชนิดต่างๆ ออกมา ทั้งยังกำชับว่าไม่เอาแบบที่ปลูกในโรงเพาะชำ ต้องเก็บจากข้างทางตามชนบทเท่านั้น  

 

 

ตอนที่ผู้อาวุโสหวงกำลังจะกลับ เขาหันมามองอวี๋กานกานแวบหนึ่ง “เสี่ยวอวี๋ กลับพร้อมกันไหม”  

 

 

อวี๋กานกานพลันตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ลังเลไม่รู้จะตอบอย่างไรดี กระเป๋าสัมภาระของเธอยังอยู่บนรถฟังจือหัน ตอบติดๆ ขัดๆ “คือหนู อะ อะ เอ่อ…”  

 

 

ไม่สุขุมเยือกเย็นเหมือนตอนตรวจคนไข้ เผชิญกับเรื่องความรู้สึกเธอกลับประหม่าและลนลาน แค่คำแก้ตัวก็ยังนึกไม่ออก  

 

 

“เดี๋ยวผมไปส่งเธอเองครับ ผู้อาวุโสหวงเชิญทางนี้” ฟังจือหันพูดขึ้นมาได้อย่างเหมาะเหม็ง ช่วยแก้หน้าให้อวี๋กานกานไปได้  

 

 

อวี๋กานกานฉีกยิ้มอย่างยากเย็น ใบหน้าหน้าแดงจากความเขินอาย ผู้อาวุโสหวงเข้าใจในทันที ลูบเคราสลับมองฟังจือหันทีอวี๋กานกานที ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับผู้ช่วยที่ถือกระเป๋าอุปกรณ์  

 

 

เก็บผักป่า นำมาล้างให้สะอาดและต้ม เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา ฟังจือหันพาอวี๋กานกานไปพักผ่อนที่ห้องนอนห้องหนึ่ง  

 

 

อวี๋กานกานมองดูรอบๆ ภายในห้องตกแต่งเป็นแนวยุโรป ขาวดำเรียบง่าย มองปราดเดียวก็รู้ได้เลยว่าเป็นสไตล์ของฟังจือหัน  

 

 

ฟังจือหันลูบศีรษะของเธออย่างเบามือ “คุณพักผ่อนอยู่ที่นี่ไปก่อน สายๆ ผมจะมาตาม”  

 

 

อวี๋กานกานปัดมือของเขาออก “นี่บ้านนาย ผู้เฒ่าประหลาดที่อยู่ชั้นบนนั่นก็ปู่นาย ทำไมไม่รีบบอก”  

 

 

“ไม่ใช่ปู่ผมแล้วคุณนึกว่าเป็นใคร” แววตาของฟังจือหันแฝงความหยอกเย้า  

 

 

อวี๋กานกานใจเต้นตึกตักจนหัวใจเต้นผิดไปหนึ่งจังหวะ กลัวว่าความคิดประหลาดของตัวเองก่อนหน้าจะหลุดลอดออกไป เธอคลี่ยิ้มบาง ท่าทีสบายๆ “ไม่ได้นึกว่าเป็นใครนี่ ก็แค่นายไม่พูดอะไรเลย เพื่อนกันถามอะไรแบบนี้ก็ไม่เห็นแปลก”  

 

 

ฟังจือหันยกยิ้มมุมปาก ตอบกลับอย่างเอื่อยเฉื่อย “อ้อ”  

 

 

เหมือนตอบแต่ก็เหมือนไม่ตอบ อวี๋กานกานโมโห ผินหน้าหนี รู้สึกเหมือนกับตัวเองเป็นแมวที่กำลังโดนแกล้ง  

 

 

ฟังจือหันโน้มตัวลงมาข้างแก้มเธอจากทางด้านหลัง “โกรธเหรอ”  

 

 

อวี๋กานกานโต้กลับอัตโนมัติ “เปล่า!” พร้อมกับเบือนหน้าหนี ยื่นมือมาดันหน้าใบหน้าหล่อเหลาของฟังจือหันออก “ยืนพูดดีๆ”  

 

 

ฟังจือหันกอดเอวเธอจากทางด้านหลัง พูดอธิบายอย่างจริงจังข้างใบหู “เขาขี้โมโห ถ้าให้คุณรู้ว่าเขาเป็นใคร ผมกลัวว่าคุณจะระวังตัว ผมไม่ชอบตอนที่คุณระวังตัว”  

 

 

ลมหายใจร้อนผ่าวข้างใบหูให้ความรู้สึกซาบซ่าน หัวใจของอวี๋กานกานบีบเกร็ง  

 

 

ก็บอกให้ยืนพูดดีๆ แล้วทำไมมากอดเธออีกแล้วเนี่ย  

 

 

อวี๋กานกานผลักฟังจือหันออกอย่างลนลาน ถอยอย่างจนตรอกไปหลายก้าว “นะนะนาย…อย่ามือปลาหมึกนักได้ไหม ถ้ายังทำแบบนี้อีกฉันจะไม่สนใจปู่ของนายแล้วนะ”  

 

 

ฟังจือหันเอียงศีรษะมองเธอ แววตาเรียบนิ่งแฝงไว้ด้วยความเย้าหยอก ชวนให้อวี๋กานกานรู้สึกเหมือนไฟกำลังลุกไปทั่วร่างกาย  

 

 

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] หว่านเป้ย  สรรพนามเรียกแทนตัวเองของคนรุ่นหลัง

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 280 โรคนี้มีความเกี่ยวโยงกับอารมณ์  

 

 

ฟังจือหันเอียงศีรษะมองเธอ แววตาเรียบนิ่งแฝงไว้ด้วยความเย้าหยอก ชวนให้อวี๋กานกานรู้สึกเหมือนไฟกำลังลุกไปทั่วร่างกาย  

 

 

อวี๋กานกานรู้สึกอึดอัดไปทั่วทั้งตัว กลืนน้ำลาย เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เอ่อ นายก็รู้นี่ว่าปู่ตัวเองขี้โมโห โรคของเขาคนอารมณ์ดีไม่มีใครเป็นหรอก”          

 

 

“โรคนี้เกี่ยวกับอารมณ์ด้วยเหรอ”  

 

 

“เมื่อครู่ผู้อาวุโสหวงก็พูดแล้ว ผู้เฒ่าไม่อยากอาหาร นอกจากกระเพาะไม่ดียังมีม้ามด้วย แพทย์แผนจีนเชื่อว่าอวัยวะตันทั้งห้ากลวงทั้งหกน้าวนำให้เกิดอารมณ์ทั้งเจ็ดและกิเลศทั้งหก[1]ของมนุษย์ อาการกินอาหารไม่ลงจึงมีความเกี่ยวโยงอย่างมีนัยยะสำคัญกับอารมณ์”  

 

 

ฟังจือหันหรี่ตาเล็กน้อย “คุณหมายถึงอาการป่วยของปู่มาจากตัวเขาเอง?”  

 

 

ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อวี๋กานกานผงกศีรษะเบาๆ “อืม ปกติผู้เฒ่าดื้อด้านอยู่แล้วก็ยังไม่เท่าไร แต่นี่ประจวบเหมาะกับหลังพาตัด ร่างกายอ่อนแอ นิสัยของเขาแปลกประหลาด เอาแต่ใจไม่ฟังคนอื่น…”  

 

 

ฟังจือหันพูดแทรกขึ้นมา มองอวี๋กานกานด้วยแววตาสงสัย “คุณรู้ได้ยังไงว่านิสัยเขาแปลก เอาแต่ใจไม่ฟังคนอื่น?”  

 

 

อวี๋กานกานตอบ “รู้จากตอนตรวจน่ะสิ ไฟตับลุกโชน เกิดจากอารมณ์ทั้งเจ็ดพลุกพล่านทำให้หยางตับแปรสภาพเป็นไฟ ตอนที่เข้าประตูไปฉันเห็นผู้เฒ่านั่งอยู่ในห้องหนังสือ อายุก็มากแล้วยังป่วยหนักอีก สีหน้าของหลานสาวเขา เอ่อก็น้องสาวนายนั่นแหละมีแต่ความกังวล เครียดจะตายอยู่แล้ว แต่ปู่นายกลับทำเหมือนคนสบายดี ไม่ยอมนอนพักผ่อน ต้องลุกขึ้นมาอ่านเอกสารที่ห้องหนังสือให้ได้”  

 

 

ฟังจือหันตอบกลับเสียงเรียบ “ตระกูลเจียงเกิดปัญหาขึ้น”  

 

 

อวี๋กานกานกล่าวต่อ “อืม เพื่องานก็เข้าใจได้อยู่ แต่น้องสาวนายเป็นห่วงปู่มาก แต่กลับกล้าถามแค่ประโยคเดียว ‘คุณปู่ทำไมลุกขึ้นมาอีกแล้ว’ น้ำเสียงก็ยังระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง กลัวจะไปทำให้เขาโมโหจึงไม่กล้าถามเยอะ ไม่กล้าเข้าไปยุ่มย่าม ส่วนปู่นายก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะยอมพักผ่อนเลย ถ้าเป็นฉันนะ ถ้าปู่ป่วยแล้วยังดื้อด้านจะไปตรวจคนไข้ ฉันต้องโกรธแน่ ฉันจะลากเขาให้ไปนอนที่เตียงดีๆ เห็นได้ชัดว่าปกติแล้วน้องสาวนายกลัวปู่มาก อะไรๆ ก็ฟังปู่หมด ส่วนปู่นายรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ถูกต้องแล้ว รู้ได้ในทันทีเลยว่าปกติเขาต้องเป็นคนที่ตัดสินใจโดยพลการ ทำตามความคิดของตัวเองไม่สนใจคนอื่นจนเคยชิน”  

 

 

อวี๋กานกานเว้นจังหวะก่อนจะกล่าวต่อ “แล้วก็ตอนที่ฉันจับชีพจร เขายังจงใจหาเรื่องฉันอีก ด่าฉันว่าทักษะอ่อนด้อยอย่างไหลลื่นเชียวล่ะ เห็นได้ชัดว่าวันๆ หนึ่งเขาคงด่าคนไม่น้อย สายตาที่มองฉันก็ดูถูกดูแคลน แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันถูกมองด้วยสายตาแบบนี้ แต่ปกติมักจะเป็นสายตาจากคนในครอบครัวผู้ป่วย ส่วนผู้ป่วยแม้ว่าในใจจะรู้สึกหมดหวัง แต่ถึงอย่างไรก็มักจะแสดงออกว่ายังมีหวังไม่มากก็น้อย ปู่นายนี่ทิฐิสูงจริงๆ”  

 

 

มุมปากของฟังจือหันยกขึ้นเล็กน้อย เพราะว่าอวี๋กานกานพูดได้ถูกหมดทุกอย่าง ปู่ของเขาเป็นคนแบบนี้จริงๆ เป็นผู้นำที่อยู่บนจุดสูงสุด ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ตัดสินใจทำอะไรเอง ดื้อรันและมั่นใจในตัวเอง แต่ไหนแต่ไรก็ถือว่าสิ่งที่ตนทำถึงจะถูกต้อง ไม่เปิดรับฟังความเห็นของคนอื่น ขอเพียงแค่พวกเขายอมทำตามคำสั่งก็พอ  

 

 

อวี๋กานกานกล่าวต่อ “ตามปกติแล้วเขาอยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็ไม่กิน จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมาก แต่อายุปูนนี้แล้ว ทั้งยังเพิ่งเข้ารับการผ่าตัด การที่ดื้อรันไม่ยอมฟังคนอื่นทำให้กระเพาะไม่อยู่ในภาวะปกติ เกิดความปั่นป่วน อายุยิ่งมากชี่กระเพาะก็จะยิ่งลดลงเร็ว จากที่กระเพาะเป็นดินอุดมสมบูรณ์ก็กลายเป็นพื้นปูนซีเมนต์ที่รับอาหารอะไรเข้าไปไม่ได้”  

 

 

อวี๋กานกานแบมือทั้งสองออกไปด้านข้าง “กระเพาะมีหน้าที่รองรับ พื้นปูนซีเมนต์ว่างๆ ตรวจออกมาไม่พบความผิดปกติ แต่นั่นบอกอะไรไม่ได้ นายคิดดูสิมีใครที่ไหนปลูกข้าวบนพื้นปูนบ้าง”  

 

 

อธิบายได้อย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ฟังจือหันอยากฟังให้ไม่เข้าใจยังยาก เขาถาม “แล้วน้ำผักป่า คุณคิดว่าโอกาสที่เขาจะดื่มลงมีมากน้อยแค่ไหน”  

 

 

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] อารมณ์ทั้งเจ็ดกิเลศทั้งหก  อารมณ์ทั้งเจ็ดประกอบด้วย ความสุข ความโกรธ ความกังวล ความคิด ความเศร้า ความกลัวและความตกใจ กิเลศทั้งหกคือ ตา-รูป หู-เสียง จมูก-กลิ่น ลิ้น-รส กาย-สัมผัส ใจ-ความคิด

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

“ขอโทษนะคะ คุณคือ…” “ฟังจือหัน สามีเธอไง” นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย! นั่งในบ้านอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็มีสามีซะยังงั้น! อวี๋กานกาน เป็นแพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน เมื่อครึ่งเดือนก่อน เธอประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนเข้าจนหมดสติไป หลังจากฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล บาดแผลไม่ได้สาหัส แต่กลับต้องนอนพักฟื้นเป็นครึ่งค่อนเดือน หลังจากที่เธอฟื้น กลับมีผู้ชายคนหนึ่งดันมายืนตรงหน้าเธอ บอกว่าเธอความจำเสื่อม และยังบอกอีกว่าเขาเป็นสามีของเธอ! เธอคนที่ไม่เคยมีความรัก ไม่เคยมีแฟน จะไปมีสามีได้ยังไงกัน… “คุณเป็นใครกันแน่” “ฟังจือหัน สามีเธอไง!” เจ็ดพยางค์เหมือนเมื่อกี้เป๊ะ… สรุปแล้วมันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นระหว่างที่เธอหมดสติไปกันเนี่ย ในเมื่อเธอไม่รู้จักเขา แล้วเพราะอะไรทำไมเขาถึงต้องอ้างว่าเป็นสามีของเธอด้วย หรือเธอจะความจำเสื่อมเข้าแล้วจริงๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset