ฟังจือหัน กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ
อวี๋กานกานมองแผ่นหลังที่จากออกไปของฟังจือหัน ขยับริมฝีปากแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา
ฟังจือหันมองความคิดที่อยู่ในใจของอวี๋กานกานออกหมดแล้ว เขารู้ว่าต่อจากนี้เธอจะทำอะไร ดังนั้นจึงตัดสินใจล่วงหน้าไว้อยู่ก่อนแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอให้เธอพูดจนชัดเจน เธอไม่ได้อยากจะไล่เขาไปเดี๋ยวนี้ตอนนี้ อย่างไรเสียเขาก็ช่วยเธอไว้ แม้จะโกหกว่าเป็นสามี แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายเธอ
หากตอนนี้เขายังไม่มีที่ไหนให้ไป หรือติดปัญหาอะไร เขาสามารถพูดออกมาได้ ช่วยได้ก็จะช่วย ถือว่าเป็นการขอบคุณ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายถึง เธอจะยินยอมให้เขาอยู่ที่บ้านของเธอไปตลอด ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนล้วนไม่ควรปล่อยให้คนแปลกหน้าอาศัยอยู่ในบ้านเป็นระยะเวลานาน นี่เป็นความปลอดภัยของจิตใต้สำนึกขั้นพื้นฐาน
อวี๋กานกานกลับถึงห้อง กระเป๋าเดินทางของฟังจือหันยังคงอยู่ในห้องของเธอ แบบนี้นับว่าเขาจากไปตลอดกาลหรือเปล่า เราจะได้เจอกันอีก? หมายถึงสักวันหนึ่งจู่ๆ เขาก็จะปรากฏตัวอีกครั้ง? ยังไงซะเขาก็รู้จักรหัสประตูห้องของเธอ
หรือว่าจะเปลี่ยนรหัสอีกครั้งดี?
ช่างเถอะ อย่างไรเสียของของฟังจือหันก็ยังอยู่ในห้องเธอ ถ้าเกิดเขากลับมาเอาของ ผลปรากฏว่ารหัสประตูถูกฟังจือหันเจาะได้อีกครั้ง นั้นจะยิ่งแสดงให้เห็นว่าเธอทำเรื่องให้ยุ่งยากโดยเสียเวลาเปล่า
อวี๋กานกานรู้สึกว่าผ่านไปอีกสักสองวัน กระทั่งพรุ่งนี้ก็เป็นไปได้ ฟังจือหันจะต้องปรากฏตัวต่อหน้าเธอแน่ อย่างไรเสียเขาก็เป็นพวกเจ้าแผนการอยู่แล้ว
แต่ทว่าผ่านไปแล้ววัน ฟังจือหันกลับไม่ปรากฏตัวออกมาเลย ในห้องก็ไม่มีร่องรอยว่าเขาแวะกลับมา หากไม่ใช่เพราะกระเป๋าเดินทางของเขายังอยู่ในห้องของเธอ คงทำให้เธอสงสัยว่าเคยมีผู้ชายชื่อฟังจือหันปรากฏตัวอยู่ในชีวิตของเธอจริงๆ หรือเปล่า
หลินจยาอวี่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอารมณ์ของอวี๋กานกานค่อนข้างเซื่องซึม หลายวันมานี้ผ่านการฝังเข็ม มุมปากของหลินจยาอวี่คืนฟื้นสู่สภาพปกติกว่าครึ่งแล้ว ต่อให้ไม่สวมหน้ากาก ขอแค่หลินจยาอวี่ไม่พูดก็จะมองดูเหมือนคนปกติทั่วไป เพียงแต่ว่ามุมปากยังค่อนข้างแข็ง
ในมุมมองของหลินจยาอวี่ เธอหายกลับมาได้ถึงขนาดนี้นับว่าโชคดีมากแล้ว
“บางครั้งผู้ชายก็ต้องการให้ง้อ ถ้าคุณรู้สึกว่าเขาดีต่อคุณ คุณก็โทรศัพท์หาเขาสักหน่อยเถอะ” หลินจยาอวี่พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อวี๋กานกานมองเธอด้วยความสับสนงุนงง ไม่ค่อยเข้าใจว่าประโยคนี้เธอหมายถึงอะไร
อวี๋กานกานจ้องหน้าหลินจยาอวี่ ทันใดนั้นก็เข้าใจหลินจยาอวี่ทันทีว่าทำไมเธอถึงได้กังวลว่าคนอื่นจะเห็นปากอัมพาตของเธอ นั้นเป็นเพราะว่าเธอสวยมากจริงๆ
หญิงงามย่อมเอาใจใส่ในรูปลักษณ์ของตนเอง
อวี๋กานกานถามอย่างไม่เข้าใจ “ที่เธอพูดหมายถึงอะไร”
หลินจยาอวี่เอ่ยเสียงเย็น “ไม่เห็นสามีคุณมาหลายวันแล้ว พวกคุณไม่ได้ทะเลาะกันหรอกเหรอ”
เดิมทีริมฝีปากบางเฉียบของอวี๋กานกานปิดสนิทเป็นเส้นตรง พลันโค้งขึ้นปรากฏเป็นรอยยิ้ม ที่แท้หลินจยาอวี่ก็นึกว่าเธอกับฟังจือหันทะเลาะกัน ดังนั้นจึงให้เธอโทรศัพท์ไปหาฟังจือหันสักสาย
อวี๋กานกานส่ายหน้า “เปล่า เธอคิดมากไปแล้ว”
โทรศัพท์หาฟังจือหันสักสาย? จะโทรอย่างไร เธอไม่มีแม้แต่เบอร์โทรศัพท์ของฟังจือหันด้วยซ้ำ หากจะโทรก็น่าจะเป็นเขาที่โทรมา
ในขณะที่คิดอยู่ จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น อวี๋กานกานตะลึงไปเล็กน้อย มีความรู้สึกแปลกประหลาดสายหนึ่งแล่นผ่านอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ชั่วขณะหนึ่งเธอนึกว่าอาจจะเป็นที่ฟังจือหันที่โทรเข้ามาจริงๆ
ทว่าไม่ใช่ฟังจือหันเป็นสายเข้าจากทนายเฉิน ทนายเฉินเป็นอดีตทนายของคุณปู่ เขาเป็นผู้อ่านพินัยกรรมหลังจากที่คุณปู่เสียชีวิต
เธอรับโทรศัพท์ “สวัสดีค่ะ ทนายเฉิน”
ทนายเฉินที่อยู่อีกฝั่งของสาย พูดอย่างค่อนข้างจำใจ “คุณอวี๋ สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าบ่ายนี้คุณพอมีเวลาไหมครับ ทางนี้มีเรื่องต้องรบกวนให้คุณมาจัดการหน่อยน่ะครับ”
อวี๋กานกานพลันนึกถึงเรื่องที่ลุงใหญ่พูดในวันนั้น พินัยกรรมของคุณปู่ถูกเปิดอ่านไปตั้งแต่ตอนคุณปู่เสียแล้ว ที่ยังไม่ถูกเปิดอ่านน่าจะเป็นพินัยกรรมฉบับเสริม[1]
——
[1] พินัยกรรมฉบับเสริม คือ พินัยกรรมที่เขียนขึ้นภายหลังพินัยกรรมฉบับเดิม เพื่อเพิ่มเติม แก้ไข เนื้อหาหรือเงื่อนไขบางส่วนให้ครบถ้วนสมบูรณ์เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้เขียนมากยิ่งขึ้น