ตอนที่ 499 เล่นละครรัก
ลู่เสวี่ยเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วยกช้อนขึ้นมาเป่าที่ริมฝีปากเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยโทนเสียงทุ้มอบอุ่น “เดี๋ยวก็หายร้อนแล้วรีบกินสิ ไม่งั้นเย็นแล้วจะไม่ดีต่อกระเพาะนะ…”
ทุกอย่างที่เขาทำดูเป็นธรรมชาติขนาดนั้นจู่ๆ หลินจยาอวี่ก็ไม่อึดอัดและกดดันอีกแล้วสบตามองเขา อ้าปากงับช้อน
แม้ว่าจะเป็นสามีภรรยานิตินัยถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังเป็นเพื่อนกัน
อีกทั้งตั้งแต่ผ่านเมื่อคืนวานเธอก็มองลู่เสวี่ยเฉินเปลี่ยนไป ที่จริงแล้วลู่เสวี่ยเฉินก็เป็นผู้ชายที่ไม่เลวคนหนึ่ง
หลังจากทานโจ๊กรังนกหมดหลินจยาอวี่จึงเอ่ยกับเขายิ้มเบาๆ “ขอบคุณ”
ไม่เพียงแค่เพราะโจ๊กชามนี้เท่านั้นแต่ขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อคืนด้วย
ลู่เสวี่ยเฉินนำชามวางไว้ข้างๆ แล้วใช้นิ้วเช็ดเศษโจ๊กที่มุมปากของเธอ “ระว่างเรายังต้องขอบคุณอะไรอีก”
หลินจยาอวี่รู้สึกเกรงใจอยู่บ้างจึงเอื้อมมือไปแตะบริเวณที่เขาเช็ดเมื่อกี้ให้ “ถ้าหากคุณยินยอม ต่อจากนี้ไปลูกของฉันก็คือลูกของคุณด้วย”
ความหมายของหลินจยาอวี่คือต้องการขอบคุณที่เขาช่วยเหลือและดูแล อยากให้ลูกของตัวเองยอมรับเขาเป็นพ่อ
แต่ลู่เสวี่ยเฉินกลับโพล่งออกมา “ลูกของคุณก็ต้องเป็นลูกของผมอยู่แล้ว”
เขาชะงักไปครู่หนึ่งถึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ระวังหลุดพูดความจริง เขาจึงรีบพูดต่อ “แม่หวงอยู่ที่นี่ ต่อไปก็ไม่ต้องพูดคำนี้อีก”
หลินจยาอวี่ที่ยังกุมมือไว้ที่ริมฝีปากจึงพบว่ามุมปากของตัวเองยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
เธอยิ้มแล้ว?
ยิ้มไม่ได้เป็นเพียงการแสดงสีหน้าแต่เป็นการแสดงอารมณ์ด้วย มุมปากของเธอไม่มีความรู้สึกหากอยากแสดงสีหน้าจึงเป็นสิ่งที่ยากมาก
แต่อารมณ์ดีอยากยิ้มก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร
ดึกมากแล้วลู่เสวี่ยเฉินจึงหอบเอาผ้าห่มออกมาจากตู้เสื้อผ้าวางไว้บนโซฟาเตรียมคลี่ผ้าห่มนอนหลับ
หลินจยาอวี่มองเขาแล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “มานอนด้วยกันสิ”
นอนโซฟาคืนเดียวอาจจะโอเค หากต้องนอนทุกวันคงไม่ดีแน่ๆ อย่างไรเสียลู่เสวี่ยเฉินชอบผู้ชายนอนเตียงเดียวกับเขาก็เหมือนนอนเตียงเดียวกับอวี๋กานกานซึ่งไม่มีอะไรแตกต่าง
นอนเตียงเดียวกันอย่างนั้นเหรอ ลู่เสวี่ยเฉินแอบดีใจ
เขาเก็บซ่อนอารมณ์ดีใจของตัวเองแล้วแสดงสีหน้าลังเลก่อนจะเอ่ยขึ้น “มันจะดีเหรอ”
ความล่าถอยทำให้ปราการด่านสุดท้ายลึกๆ ในใจของหลินจยาอวี่หายไป “เตียงออกจะกว้างวางผ้าห่มได้ตั้งสองผืน เรานอนห่มผ้าคนละผืนก็แล้วกัน”
“นอนห่มผ้าคนละผืน นี่เป็นวิธีที่ดี” ลู่เสวี่ยเฉินเอ่ยชม “คุณนี่ฉลาดจริงๆ”
เขาไม่เกรงใจหอบผ้าห่มเข้าไปทันที
หลินจยาอวี่จึงพูดขึ้น “ควรเป็นฉันที่ต้องขอบคุณคุณมากกว่า ต่อไปช่วงนี้คงต้องขอรบกวนคุณมากๆ”
“รบกวนอะไร เราเป็นสามีภรรยากันยังไงช่วงนี้แม่หวงมาอยู่ด้วยบางครั้งเรายังต้องแสดงละครตบตา”
“แสดงละครอะไร”
“ละครรักยังไงล่ะ”
“…”
ทั้งสองนอนบนเตียงด้วยกัน หลินจยาอวี่ยังดีหน่อยเหมือนเวลาปกติ เธอนอนดูมือถือได้สักพักก็วางบนหัวเตียงปิดโคมไฟเตรียมเข้านอน
ส่วนลู่เสวี่ยเฉินกลับตื่นเต้นผิดปกติ
เห็นหลินจยาอวี่นอนหลับไปแล้วเขาเองก็ปิดโคมไฟฝั่งตัวเองเช่นกัน ร่างนอนเหยียดตรงจนแข็งทื่อไม่กล้าขยับเขยื้อนอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง
ไม่ใช่ว่าทั้งสองจะไม่เคยนอนเตียงเดียวกันสักหน่อย
หลังแต่งงานกันไม่กี่วันพวกเขายังนอนด้วยกันอยู่เลย
“คุณเห็นฟังจือหันกับอวี๋กานกานรักกัน อยู่ด้วยกันทุกวันคงเจ็บปวดมากสินะ” จู่ๆ เสียงพูดของหลิน
จยาอวี่ก็ดังขึ้นมาในความมืด
“ผมมีอะไรที่ต้องเจ็บปวดด้วยเหรอ”
ลู่เสวี่ยเฉินตอบกลับไปอย่างไม่ทันรู้ตัว
ตอนที่ 500 ฝันดี อบอุ่นไปทั่วทั้งใจ
หลินจยาอวี่หันข้างมองหน้าลู่เสวี่ยเฉินแล้วเอ่ยถาม “คนที่คุณชอบไปรักคนอื่น คุณเห็นแล้วไม่เจ็บปวดเสียใจบ้างเหรอ
เธอเคยเจอเรื่องแบบนี้จึงเข้าใจความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง
ลู่เสวี่ยเฉินเสียใจกับคำพูดเมื่อครู่นี้
เขารีบตอบ “แน่นอนว่าต้องมีเสียใจบ้าง แต่ชอบคนๆ หนึ่งไม่จำเป็นต้องครอบครองก็สามารถมีความสุขได้ ผมรู้ว่าเขาไม่ชอบผู้ชาย เขาสามารถหาผู้หญิงที่ตัวเองรักอย่างหมดใจใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขผมก็ดีใจกับเขาด้วย”
ทำไมประโยคนี้ช่างดูหน้าไหว้หลังหลอกชอบกลฟังอย่างไรก็ดูปลอมมากq
ดวงตาของหลินจยาอวี่สว่างสดใสเป็นพิเศษในค่ำคืนที่มืดมิดราวกับมองทะลุผ่านหัวใจคนได้ ลู่เสวี่ยเฉินเผยความรู้สึกผิดและกังวลใจออกมาโดยไม่รู้ตัว
“นอนถอะ” เขาหันหลังให้อย่างอึดอัดขมวดคิ้วมุ่นแล้วหลับตาลง
หลินจยาอวี่เผยสีหน้ารู้สึกผิดคิดว่าตัวเองพูดจาทำร้ายจิตใจลู่เสวี่ยเฉิน
ขยับปากอยากพูดอะไรบ้างเพื่อเป็นการปลอบใจแต่ก็คิดว่าตอนนี้วิธีการปลอบใจที่ดีที่สุดคือไม่ต้องพูดถึงมันอีก
เธอจึงตอบกลับไปเสียงเรียบ “กู้ดไนท์”
“กู้ดไนท์”
ลู่เสวี่ยเฉินนอนหันหลังให้หลินจยาอวี่ตลอดจนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอข้างหลังเขาจึงอดยิ้มมุมปากไม่ได้จากนั้นจึงค่อยๆ หันตัวไป
ในค่ำคืนที่มืดมิดทำให้เขาเห็นได้เพียงภาพเงาของหญิงสาวแต่ทว่าเขาทำได้แค่จ้องมองอยู่อย่างนั้นแล้วขยับเข้าไปชิดหลินจยาอวี่อีกนิด
ทั้งสองร่างอิงแอบแนบชิด ลู่เสวี่ยเฉินจงใจวางมือบนตัวของหลินจยาอวี่เบาๆ อย่างนุ่มนวลเป็นท่วงท่าการครอบครองที่เอาแต่ใจ
ทันใดนั้นหัวใจก็สงบลงอย่างอธิบายไม่ถูก รู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งใจ
…
อาการพิษที่มือเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แพทย์ได้ฉีดเซรุ่มให้เธอหลายชนิดแต่ก็ไม่ได้แก้พิษกิ้งก่าพิษสายพันธุ์นี้เลย
คำแนะนำสุดท้ายจากแพทย์คือให้แพทย์แผนจีนรักษาซึ่งในแง่ของการล้างพิษยาจีนมักดีกว่ายาฝรั่ง
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเชิญแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงมาสักกี่คนหรือให้ทานยาเท่าไหร่ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถขับพิษออกให้หมดได้
แผลกัดกร่อนลุกลามขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อจนไม่สามารถประวิงเวลาไปมากกว่านี้ มิฉะนั้นจะต้องตัดแขนเพื่อป้องกันไม่ให้พิษแพร่กระจายจนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
แค่ถูกกิ้งก่าพิษกัดถึงกับต้องตัดแขนเลยเหรอ ทำไมถึงร้ายแรงจนต้องตัดแขน กู้ซูหลิงตกใจจนร้องไห้
กู้เชินหมดสิ้นหนทางจึงต้องเรียนเชิญหมอหวงอีกครั้งทั้งยังไปรับหมอหวงที่คลินิกด้วยตนเอง
หมอหวงไปบ้านตระกูลกู้ดูอาการที่มือของกู้ซูหลิงด้วยสีหน้าหนักใจเพราะมันผ่านช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการรักษาไปแล้วต้อนนี้เขาเองก็จนปัญญาเช่นกัน
แต่ก่อนจะกลับไปเขาจึงพูดกับกู้เชิน “อาจจะมีบางคน เธอสามารถขับพิษที่ข้อมือของลูกสาวคุณได้”
“ใคร” กู้เชินร้อนรนถาม “ผมจะรีบเชิญเขามาไม่ว่าต้องการค่าตอบแทนมากเท่าไหร่ขอเพียงยินยอมมารักษา”
“หมออวี๋ที่มาด้วยกันกับผมเมื่อวันนั้นไงครับ”
หมอหวงทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วออกไปทันที
ระหว่างทางกลับผู้ช่วยจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “หมอหวงครับ ผมรู้ว่าท่านให้ความสำคัญกับคุณหมออวี๋ แต่ท่านไม่ควร…” จงใจกดตัวเองต่ำเพื่อยกย่องอวี๋กานกานทั้งๆ ที่พิษนั้นหมอหวงสามารถรักษาได้
หมอหวงลูบเคราของตน “แกรู้ไหมว่าวันนั้นที่เรามาบ้านตระกูลกู้มันเกิดอะไรขึ้น”
ผู้ช่วยส่ายหน้ามึนงง “…”
หมอหวงพูดช้าๆ “เสี่ยวอวี๋ฝังเข็มให้หล่อน หล่อนไม่อยากฝังเข็มแล้วดึงออกก็ไม่มีใครว่าแต่นี่กลับปาเข็มใส่หน้าเสี่ยวอวี๋หากไม่ระวังแล้วเข็มทิ่มตาจะทำยังไง ลูกสาวตระกูลกู้นิสัยเสียเธอสมควรต้องได้รับความทุกข์ทรมานซะบ้าง”