ตอนที่ 205 นี่แม่ เรียกแม่สิ
ฟังจือหันเดินมาหยุดตรงหน้าอวี๋กานกาน ใช้นิ้วมือแตะเบาๆ ลงไปที่ปลายจมูกของเธอ เหมือนกับที่อวี๋กานกานทำกับเจ้าเหมียวเมื่อสักครู่ไม่มีผิด
หนุ่มหล่อสาวสวยยืนสบตากันบนพื้นหิมะ พร้อมกับแมวเหมียวน่ารักน่าชังที่กำลังเอียงศีรษะน้อยๆ ของมัน บริเวณโดยรอบรายล้อมไปด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์ บรรยากาศโดยรวมช่างงดงามราวกับรูปวาดชิ้นเอก
อวี๋กานกานย่นจมูก “คุณตัวแทนบริษัทผู้สนับสนุนมาทำอะไรที่นี่หรือคะ”
ฟังจือหันตอบพร้อมกันเลื่อนสายตามองไปยังสิ่งที่อยู่ในอ้อมอกของอวี๋กานกาน “หาแมว”
อวี๋กานกานนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง หลุบสายตาลงมองไปยังเจ้าเหมียวที่อยู่ในอ้อมอกของตนเอง เอ่ยปากถามอย่างไม่แน่ใจ “แมวนาย?”
ฟังจือหันพยักหน้า “อืม”
“นะ นาย เลี้ยงแมวเป็นด้วยเหรอ”
อวี๋กานกานแปลกใจถึงขีดสุด เธอนึกว่าคนอย่างฟังจือหันที่เลือกสรรแต่บุปผาบนภูเขาหิมะ[1] จะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงก็น่าจะเลือกจำพวกดุร้ายไร้เทียมทามอย่างทิเบตัน มาสทิฟฟ์[2] ปรากฏว่าเขากลับเลี้ยงแมวลายเสือสีเงินน่ารักน่าชังเสียอย่างงั้น ซึ่งว่าไม่จะมองอย่างไรก็ดูไม่เข้ากันเสียเลย
“นายเลี้ยงมานานแค่ไหนแล้ว” คงไม่ใช่ว่าเพิ่งไปซื้อมาเพื่อหลอกล่อเธอหรอกนะ
“สิบห้าปีแล้ว”
คำตอบของฟังจือหันทำให้อวี๋กานกานต้องตะลึงงันไปอีกครั้ง เธอก้มลงมองเจ้าเหมียวที่อยู่ในอ้อมอก “นายว่าไงนะ เจ้าเหมียวนี่อายุสิบห้าปีแล้วเหรอ”
แสงแดดอ่อนๆ ตกกระทบลงบนร่างกายของฟังจือหันเกิดเป็นแสงเรือนรอง ชายหนุ่มรูปงามราวกับภาพวาดยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ ทุกสัดส่วนบนใบหน้าอันหมดจดปานประหนึ่งหิมะกำลังบอกกับเธออย่างจริงจังว่าเขาไม่ได้พูดโกหก
อวี๋กานกานถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “มันชื่ออะไรเหรอ”
ฟังจือหันกระตุกยิ้ม หยอกเย้า “อวี๋กานกาน”
อวี๋กานกาน “…”
โกหกกันชัดๆ
เธอพองแก้ม “หลอกใครมิทราบ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก”
ฟังจือหันยืนแขนออกมาโอบไหล่ของอวี๋กานกาน จากนั้นเดินไปทางรถยนต์ที่จอดอยู่
อวี๋กานกานขัดขืน “จะลากฉันไปไหนอีกเนี่ย”
“กินข้าว?”
“แต่ฉันต้องไปถ่ายแผ่นผับโฆษณา”
“กี่โมง”
“บ่ายสองครึ่ง”
ฟังจือหันเข้าสู่ความเงียบ เขายัดเธอเข้าไปในรถตรงที่นั่งข้างคนขับ จากนั้นจึงขึ้นรถนั่งประจำที่แล้วเอ่ยปากถาม “ถ่ายที่ไหน”
อวี๋กานกานคาดเข็มขัดนิรภัยพร้อมกับบอกสถานที่ถ่ายทำไปด้วย “นี่ก็จะบ่ายสองแล้ว เลยเวลามื้อเที่ยงมาตั้งนานแล้ว ทำไมนายยังไม่กินข้าว”
ฟังจือหันไม่ได้ขับรถออกไปทันที ร่างกายสูงใหญ่เอนเข้าหาเบาะรถ เอียงศีรษะเล็กน้อย ถาม “คุณชอบแมวตัวนี้เหรอ”
อวี๋กานกานก้มลงมองเจ้าเหมียวที่อยู่ในอ้อมกอด เจ้าเหมียวส่งเสียงร้องอันแสนน่ารักทันที “เมี๊ยว~”
อวี๋กานกานยิ้มแล้วตอบ “ก็มันน่ารักมากนี่นา แล้วตกลงมันชื่ออะไรกันแน่”
ฟังจือหันถาม “ถ้าเป็นคุณ คุณจะตั้งชื่อมันว่าอะไรล่ะ”
อวี๋กานกานใช้สองมือจับเจ้าเหมียวแล้วชูขึ้นเพื่อสำรวจดู “นายดูลายเสือสีขาวสลับเทาบนร่างมันสิ เป็นขดส๊วยสวย แถมยังเหมือนกับยาจุดกันยุง ถ้าเป็นฉัน ฉันจะตั้งชื่อมันว่าเจ้ายาจุดกันยุง”
ฟังจือหันตอบกลับมาหนึ่งพยางค์ด้วยท่าทีที่เรียบนิ่ง “อือ”
“แล้วสรุปมันชื่ออะไร”
“ยาจุดกันยุง”
อวี๋กานกานดวงตาเบิกโต อ้าปากพะงาบๆ เป็นอีกครั้งที่เธอรู้สึกเหลือเชื่อ เธอมองหน้าฟังจือหัน ถามด้วยความตกใจ “เรื่องจริงไหมเนี่ย”
ฟังจือหันพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “จริง”
เขายืนมือออกมาลูบไปตรงศีรษะของเจ้ายาจุดกันยุง จากนั้นกำชับ “นี่แม่แก เรียกแม่สิ”
ยาจุดกันยุงเชื่องมาก มันหันหน้ามาทางอวี๋กานกานจากนั้นส่งเสียงร้อง “เมี๊ยว”
ไม่รู้เหมือนกันว่ามันกำลังร้องว่าแม่หรือเปล่า
อวี๋กานกานรู้สึกว่าหัวใจพองโต หัวเราะออกมา
“ผมดูแลมันมาสิบห้าปีแล้ว ตอนนี้ถึงคราวคนเป็นแม่อย่างคุณต้องดูแลมันบ้าง” น้ำเสียงของฟังจือหันผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง เหมือนว่าได้โยนเรื่องวุ่นวายอะไรบางอย่างทิ้งไป
——
[1] บุปผาบนภูเขาหิมะ อุปมาถึง ของหายาก
[2] ทิเบตัน มาสทิฟฟ์ (Tibetan Mastiff) เป็นสุนัขพันธุ์เก่าแก่ มีขนาดตัวที่ใหญ่โต ขนยาวหนาโดยเฉพาะตรงบริเวณลำคอจึงทำให้ดูคล้ายกับสิงโต นิสัยฉลาดและดุร้าย มักเลี้ยงไว้เพื่อดูแลฝูงสัตว์หรือเฝ้ายาม เคยเป็นสุนัขที่มีราคาแพงที่สุดในโลก
ตอนที่ 206 ทำใจไม่ได้ รอคุณห้าม
โดนจู่โจมแบบไม่ทันคาดคิดอย่างต่อเนื่อง อวี๋กานกานจ้องฟังจือหันตาค้าง นึกว่าตัวเองฟังผิด
ฟังจือหันพูดอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน “อาหารและบ้านของมันอยู่กระโปรงหลัง อย่าลืมหยิบล่ะ”
ฟังจือหันพูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉยราวกับกำลังพูดประโยคบอกเล่าทั่วไป อวี๋กานกานถลึงตาใส่ “แมวนาย ทำไมฉันต้องเป็นคนเลี้ยงด้วย ฉันไม่เอาด้วยหรอก”
“คุณไม่อยากเลี้ยง งั้นมันก็กำพร้าแม่ซะแล้วสิ โยนทิ้งไปเถอะ” น้ำเสียงของฟังจือหันจู่ๆ ก็เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งในทันควัน
ฟังจือหันพูดพลางยื่นมือไปกดปุ่มลดกระจก จากนั้นยื่นมือมาอุ้มแมวออกจากอ้อมกอดของอวี๋กานกาน ทั้งยังตั้งท่าชูเจ้าเหมียวขึ้น เหมือนว่ากำลังจะโยนมันออกไปจริงๆ
เจ้าเหมียวส่งเสียงร้องอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง “เมี๊ยว~”
อ้อมอกว่างเปล่าอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว รวมทั้งไออุ่นที่ถูกพรากจากไป ในใจของอวี๋กานกานรู้สึกว่างเปล่าโหรงเหรง บวกกับได้ยินเสียงร้องบอกเจ้าเหมียว เธอรู้สึกเวทนาสงสารเป็นอย่างยิ่ง อวี๋กานกานไม่คิดอะไรทั้งนั้น รีบคว้ามือห้ามฟังจือหันทันที “อย่านะ”
สีหน้าของฟังจือหันเรียงนิ่งไร้อารมณ์ประหนึ่งน้ำธารน้ำใสสะอาด “ขนาดคนเป็นแม่ยังไม่ต้องการแกแล้ว…”
เส้นขีดสีดำพาดไปทั่วบริเวณศีรษะของอวี๋กานกาน “ฉันเลี้ยง!”
หมอนี่เอาแต่ใจตัวเองทั้งยังเผด็จการขนานแท้
อวี๋กานกานบ่นพึมพำ “ฉันเลี้ยง แต่ว่าฉันมาที่นี่เพื่อสัมมนา ฉันจะเอาเวลาที่ไหนมาช่วยนายเลี้ยง นายก็รู้ว่าตอนนี้ฉันพักอยู่หอพัก เลี้ยงแมวไม่ได้”
ฟังจือหันอุ้มยาจุดกันยุงวางกลับลงบนอ้อมอกของอวี๋กานกานอย่างเบามือ จากนั้นกล่าวเสียงเบา “คุณจะพักที่บ้านก็ได้นะ”
อวี๋กานกานทำหน้าเหนื่อยหน่าย “ฉันกลับไป๋หยางต้องใช้เวลาตั้งเท่าไร นายไม่รู้หรือไง”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็แอบอดคิดถึงบ้านและคลินิกไม่ได้
รวมถึงอาจารย์ด้วย…
แม้ว่าอวี๋กานกานจะไม่ได้อยู่เมืองไป๋หยาง แต่เธอฝากซงฉาไป๋ให้ช่วยไปถามความคืบหน้าที่สถานีตำรวจอยู่ตลอด ทว่าทุกครั้งก็ยังคงหินจมมหาสมุทร ไร้เสียงตอบรับ[1]
ยาจุดกันยุงที่อยู่ในอ้อมอกไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามันเพิ่งรอดพ้นจากมหันตภัยมาหมาดๆ คลอเคลียออดอ้อนอวี๋กานกานอยู่ในอ้อมกอด มันติดเธอเป็นอย่างมาก เหมือนว่าอวี๋กานกานไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าสำหรับมันตั้งแต่แรก ทั้งยังดูเหมือนสนิทสนมคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เมื่อครุ่นคิดถึงจุดนี้ อวี๋กานกานขมวดคิ้วด้วยความสงสัย กำลังจะเอ่ยปากถามฟังจือหัน ทว่าฟังจือหันกลับพูดขึ้นมาก่อน “ผมหมายถึงบ้านของพวกเราที่ปักกิ่ง”
น้ำเสียงทุ่มต่ำแกมแหบเล็กน้อย นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นละมุมละไมของเขาจ้องมองเข้าไปยังส่วนลึกในดวงตาของอวี๋กานกาน ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย เสน่ห์ล้นทะลัก เนื่องจากอากาศหนาวฟังจือหันจึงติดกระดุดขึ้นไปจนถึงเม็ดสุดท้ายอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่นั้นกลับยิ่งขับให้ลำคอเรียวสวยของเขาดูโดดเด่นยิ่งขึ้น รอบกายแผ่กระจายออร่าของผู้สูงศักดิ์
ช่างยั่วยวนดึงดูดให้ติดกับ อวี๋กานกานจ้องไปจ้องมา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าหัวใจของเต้นเองค่อนข้างเต้นเร็ว ลำคอค่อนข้างแหบแห้ง ศีรษะรู้สึกร้อนผ่าว
เสน่ห์ของผู้ชายคือภัยร้าย
ขนตาของอวี๋กานกานกระพริบเบาๆ สองครั้งราวกับปีกของผีเสื้อ เธอกระแอมออกมาเบาๆ “จะถึงเวลานัดแล้ว นายไม่ยอมออกรถสักที งั้นฉันเดินไปเองแล้วกัน”
ฟังจือหันเหลือบไปดูเวลา บ่ายสองแล้ว เป็นเวลาที่อวี๋กานกานควรจะเริ่มออกเดินทางไปยังสถานที่ถ่ายทำ รถยนต์จึงเคลื่อนตัวไปยังด้านหน้า
อวี๋กานกานอุ้มยาจุดกันยุงไว้ในอ้อมอก บ่นพึมพำ “เมื่อกี้ถ้าฉันไม่ขวางนาย นายจะทิ้งยาจุดกันยุงจริงๆ เหรอ”
“คุณคิดยังไงล่ะ”
“เลี้ยงมาตั้งสิบห้าปี นายทำใจทิ้งลงเหรอ” อวี๋กานกานรู้สึกว่าเมื่อครู่เธอตื่นตระหนกไปหน่อย เห็นได้ชัดว่าฟังจือหันจงใจแกล้งให้เธอตกใจ มิหนำซ้ำเธอยังหลงกลอีก
ฟังจือหันยอมรับออกมาตรงๆ “ทำใจไม่ได้”
อวี๋กานกานเดี๋ยวหน้าแดงเดี๋ยวหน้าเขียว โวยวายด้วยความโกรธ “แล้วยังจะทิ้งอีกน่ะนะ?”
นัยน์ตาของฟังจือหันแฝงไว้ด้วยความเยาะเย้ยและเย้าหยอก “รอคุณห้ามไง”
อวี๋กานกาน “…”
——
[1] หินจมมหาสมุทร ไร้เสียงตอบรับ หมายถึง ไม่มีข่าวคราว ไร้วี่แวว