ตอนที่ 115 ตามอกตามใจ คุณพอใจก็ดีแล้ว
อวี๋กานกานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สะกดอารมณ์ที่ตีกันปั่นป่วนอยู่ภายในใจ กล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่งปกติ “คุณฟังท่านนี้ ขณะนี้ไม่อยู่ในเวลางาน หากคุณอยากตรวจโรคกับฉันกรุณาไปที่คลินิก โปรดอย่ารบกวนเวลาพักผ่อนของดิฉัน” ตอบแบบนี้ดีที่สุด เธอไม่อยากถูกเขาตราหน้าว่าเป็นโรคจิตน้อยอีก
ฟังจือหันนิ่งเงียบไม่พูดจาเอาแต่มองเธอ สายตาราบเรียบ แต่ก็เหมือนแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้
เมื่ออวี๋กานกานเห็นว่าฟังจือหันไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ ทั้งยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ความรู้สึกตื่นตระหนกในใจของเธอก็ยิ่งทวีคูณความรุนแรงขึ้น เสียงของเธอเบาเหมือนเสียงยุงบินหึ่งๆ “ยังจะไปกินข้าวอยู่ไหม…”
“อือ” ฟังจือหันตอบรับเบาๆ มีความแหบพร่าแทรกอยู่ในน้ำเสียงอันนุ่มละมุม สายตาจดจ้องอยู่ที่ฟันขาวสวยที่กำลังขบริมฝีปากแดงระเรื่อของเธอ จากนั้นค่อยๆ โน้มตัวลงมา…
อวี๋กานกานรู้สึกชาไปทั้งตัว กะพริบตาปริบๆ สายตาจ้องไปที่ริมฝีปากของฟังจือหันที่กำลังใกล้เข้ามา ในตอนที่เธอกำลังสติหลุดไม่รู้จะทำอย่างไรดี ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นเยียบดังผ่านเข้ามาในโสตประสาท “กานกาน”
หลินจยาอวี่ออกมาจากห้องเห็นแผ่นหลังของอวี๋กานกานจึงเรียกทักทายตามมารยาท แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้เพิ่งจะพบว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองเร่าร้อนดุจเปลวไฟ เหมือนว่ากำลังจะจูบกันอย่างดูดดื่ม หลินจยาอวี่รีบหันหลังกลับทันที “ขอโทษทีที่ขัดจังหวะ พวกคุณต่อเลย…”
“ไม่ใช่เป็นแบบที่เธอคิด…” อวี๋กานกานผลักฟังจือหันออกทันที อยากจะอธิบายให้หลินจยาอวี่ฟัง
“อ่าฮะ” หลินจยาอวี่ไม่เข้าใจ พวกเขาไม่ได้เป็นสามีภรรยากันหรอกเหรอ ทำไมถึงได้ดูเขินอายยิ่งกว่าคนหนุ่มสาวที่เพิ่งมีความรักครั้งแรก ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดแก้ตัวอะไรเลยนี่
อวี๋กานกานเดินไปใกล้ๆ จากนั้นถามเสียงเบา “เอ่อคือ เธอกินแล้วยัง”
หลินจยาอวี่วันๆ เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ออกไปไหน เมื่อก่อนเป็นเพราะอาการป่วย ไม่อยากให้ใครเห็นใบหน้าที่เหมือนกับจะเสียโฉม ถึงแม้ตอนนี้ใบหน้าของเธอจะไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไปแล้ว แต่ยังคงไม่ชอบออกไปไหนมาไหน
“ยัง”
“ไปด้วยกันสิ” อวี๋กานกานรู้สึกว่าอาการป่วยตอนนี้ของหลินจยาอวี่คืออาการป่วยทางใจ กล้ามเนื้อและเส้นประสาทที่มุมปากของหลินจยาอวี่ไม่ได้เสียหาย ไม่ใช่ว่าไม่สามารถยิ้มได้แต่เป็นเพราะเธอไม่ยอมยิ้มเองต่างหาก คาดว่านี่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากกับสาเหตุที่เธอไม่ยอมรับการรักษาในตอนนั้น แต่ในเมื่อหลินจยาอวี่ไม่เต็มใจจะเล่า เธอก็ช่วยอะไรมากไม่ได้ ทำได้เพียงหวังว่าหลินจยาอวี่จะออกไปพบปะผู้คนมากๆ มีความสุขสดใสร่าเริงมากกว่านี้สักหน่อย
“ไม่ใช่มีแค่พวกเราสองคนนะ มีเพื่อนของเขาด้วยอีกคน ไปด้วยกันเถอะ ก่อนหน้าที่เธอสัญญากับฉันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะพาฉันไปหาของอร่อยๆ กิน”
อวี๋กานกานมองหลินจยาอวี่อย่างเฝ้ารอคอยคำตอบ เธอหวังว่าหลินจยาอวี่จะยอมก้าวเท้าก้าวแรกออกมา เมื่อมีก้าวแรกแล้วก้าวที่สองก็จะตามมาเอง ออกไปเข้าสังคมให้มากขึ้นหน่อย ทำความรู้จักหาเพื่อนใหม่ๆ บางทีอาจทำให้หลินจยาอวี่ไม่นึกถึงเรื่องเป็นทุกข์เหล่านั้นอีก สามารถกลับมายิ้มอย่างมีความสุขได้อีกครั้ง
หลินจยาอวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “อือ งั้นฉันเป็นเจ้ามือเอง” เธอให้อวี๋กานกานรอเธอสักครู่ เธอขอตัวไปเอาเสื้อโค้ตและกระเป๋าสตางค์ในห้องก่อน
อวี๋กานกานหันไปมองฟังจือหัน “เพิ่มคนหนึ่งคงไม่เป็นไรหรอกเนอะ”
“คุณมีความสุขก็ดีแล้ว” เป็นน้ำเสียงที่ให้อภัยและตามอกตามใจ
อวี๋กานกานรู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนขึ้นมาอีกแล้ว คนคนนี้ปากหวานเสียยิ่งกว่าพวกผู้ชายที่เคยจีบเธอ ปัญหาอยู่ที่เป้าหมายของคนอื่นดูชัดเจน แต่ฟังจือหันให้ความรู้สึกเหมือนว่ากำลังรำไทเก๊ก[1]
ทั้งสามลงมายังล็อบบี้ ลู่เสวี่ยเฉินขับรถจี๊ปสีดำคันนั้นของฟังจือหันมาจอดรอที่หน้าประตูอยู่ก่อนแล้ว
อวี๋กานกานแนะนำพวกเขาให้รู้จักกัน
ลู่เสวี่ยเฉินหน้าตาดี ย่อมต้องชอบผู้หญิงที่หน้าตาสละสลวย แต่ดีแค่หน้าตาอย่างเดียวไม่ได้ ทรวดทรงองเอวต้องดุเด็ดเผ็ดร้อนด้วย ผู้หญิงตรงหน้าไม่ว่าจะรูปโฉมหรือสรีระเหมือนกับถูกสร้างมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ ช่างมีเสน่ห์เกินจะต้านทานไหว ลู่เสวี่ยเฉินนัยน์ตาลุกวาว โบกมือทักทาย “สวัสดีครับ คนสวย”
——
[1] รำไทเก๊ก ในที่นี้หมายถึงทีท่าคลุมเครือไม่ชัดเจน อุปมากับท่ารำไทเก๊กที่ม้วนเข้าม้วนออก แขนขาพัลวันกันไปมา
ตอนที่ 116 งานเลี้ยงรวมตัว ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยความรัก
“สวัสดีค่ะ” หลินจยาอวี่มองผู้ชายคนนี้ที่หน้าสวยยิ่งกว่าผู้หญิงด้วยสายตาเย็นชา เธอทักทายกลับเสียงเรียบจากนั้นเบือนหน้าไปทางอื่นทันที ท่าทางหมางเมินไม่สนใจ
คิ้วของลู่เสวี่ยเฉินเลิกขึ้นเลิกน้อย ค่อนข้างประหลาดใจ ถามต่อ “คนสวย เพิ่งมาถึงเหรอครับ ทำไมผมไม่เห็นคุณเดินขึ้นไปด้านบนเลย”
หลินจยาอวี่สีหน้าเย็นเยียบไม่ตอบคำถาม สายตาจดจ้องไปยังด้านหน้า เหมือนว่าจะค่อนข้างรำคาญ
อวี๋กานกานยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ตอบแทนหลินจยาอวี่ “เธออยู่ข้างห้องของฉันเป็นเพื่อนบ้านฉันเอง”
ลู่เสวี่ยเฉิน “อือ” ออกมาเบาๆ จากนั้นเหยียบคันเร่งออกเดินทาง ผู้หญิงคนนี้สวยสดงดงาม หุ่นก็เซ็กซี่เย้ายวน เรียกได้ว่าเป็นสาวพราวเสน่ห์คนหนึ่ง แต่นิสัยเย็นชาจนเกินไป สายตาที่สบกันเมื่อครู่ก็เย็นยะเยือก เขาชอบผู้หญิงสวย ชอบผู้หญิงเซ็กซี่ยั่วยวน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเร่าร้อนเหมือนเปลวไฟ ผู้หญิงเย็นชาแบบนี้ จืดชืดไร้สีสันเมื่ออยู่บนเตียง
ร้านอาหารหลินจยาอวี่เป็นคนเลือก เป็นภัตตาคารชั้นสูงอันเลื่องชื่อของเมืองไป๋หยาง ภัตตาคารซื่อจี้หวงจู๋ ซึ่งใช้ระบบสมาชิกวีไอพี
บรรยากาศภายในภัตตาคารงดงามและเงียบสงบ มีกลิ่นอายของความโบราณ พวกเขาไม่ได้จองโต๊ะล่วงหน้า ห้องวีไอพีเต็มหมดแล้ว พนักงานนำทางพวกเขาไปยังโต๊ะที่ติดกับหน้าต่าง เก้าอี้และโต๊ะทำจากไม้จันทน์ ฉลุเป็นลวดลายดอกไม้ เมื่อมองออกไปด้านนอกก็จะเห็นเป็นน้ำตกจำลอง มีศาลาริมน้ำ ดอกไม้ใบหญ้าประดับประดาเต็มไปหมด ให้ความรู้สึกว่าเหมือนได้ออกจากเมืองใหญ่อันแสนวุ่นวาย กลับมาอยู่ในชนบทอันรื่นรมย์กับครอบครัว
สิ่งที่อวี๋กานกานกลัวที่สุดก็คือเดดแอร์ อวี๋กานกานอ้ำๆ อึ้งๆ อยากจะพูดอะไรสักอย่างให้บรรยายครื้นเครงขึ้น
ฟังจือหันรายนั้นไม่พูดอะไรอยู่แล้ว หลินจยาอวี่เองก็เป็นคนไม่ค่อยพูด ก่อนหน้านี้ลู่เสวี่ยเฉินชอบพูดติดตลก แต่หลังจากที่หลินจยาอวี่หักหน้าลู่เสวี่ยเฉินไปหลายครั้ง เขาก็ดูหมดอารมณ์ไม่พูดอะไรต่ออีก ทีนี้ก็ลำบากอวี๋กานกานแล้ว เธอเองก็ไม่ใช่เป็นคนคุยเก่ง แต่ในเมื่อเธอเป็นคนจับคนพวกนี้มารวมกัน จะปล่อยให้บรรยากาศอึมครึมแบบนี้ก็คงไม่ได้
เธอพยายามหาหัวข้อสนทนา ยิ้มแล้วถามหลินจยาอวี่ “จยาอวี่ ครั้งก่อนประธานหลินบอกว่าเธอรู้จักทางในเมืองจิงเป็นอย่างดี เดือนหน้าฉันจะไปเมืองจิง เมืองจิงมีที่ไหนน่าเที่ยวบ้างแนะนำให้หน่อยสิ ถึงตอนนั้นฉันจะได้ไปเดินเที่ยวเล่น” คลาสฝึกอบรมของสมาคมแพทย์แผนจีนที่ผู้อำนวยการเฉินให้เธอเข้าร่วม เริ่มเข้าชั้นเรียนตอนต้นเดือนหน้า
ไม่ต้องรอให้หลินจยาอวี่ตอบ ลู่เสวี่ยเฉินพูดขึ้นมา “เมืองจิง คุณควรจะถามคนท้องถิ่นอย่างผมนะ คุณอยากจะไปเที่ยวที่ไหนอยากกินอะไรขอแค่คุณเอ่ยปากออกมา ผมจะเป็นคนขับรถเป็นไกด์นำเที่ยวให้คุณทันที บริการอย่างดีจนคุณไม่มีวันลืมได้อย่างแน่นอน”
“คุณเป็นคนเมืองจิง?” อวี๋กานกานค่อนข้างประหลาดใจ เธอเหลือบไปมองฟังจือหันแวบหนึ่ง ลู่เสวี่ยเฉินเป็นคนเมืองจิง งั้นฟังจือหันใช่คนเมืองจิงด้วยหรือเปล่า
ฟังจือหันสบตาอวี๋กานกาน นิ้วมือลูบแก้วชา เอ่ยเสียงราบเรียบ “แม้ว่าสามีคุณจะเป็นคนเมืองจิงเหมือนกัน แต่คุณจะให้เขาเป็นคนขับรถให้พวกเราเหมือนเดิมก็ได้นะ ผมไม่ติดอะไร”
ลู่เสวี่ยเฉินแค่นเสียงขึ้นจมูกดังเหอะ “แซ่ฟัง ฉันไม่ได้อยากเป็นคนขับรถให้นาย ฉันอยากเป็นคนขับรถให้แค่น้องกานกาน”
อวี๋กานกานยิ้ม “ขอบคุณนะคะ คุณลู่”
ลู่เสวี่ยเฉินคลี่ยิ้มอบอุ่น กล่าวแบบสุภาพบุรุษ “น้องกานกาน คุณลงคุณลู่อะไรกันอย่าเรียกแบบนั้น มันดูห่างเหินกันเกินไป ผมเคยบอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ ผมชื่อลู่เสวี่ยเฉิน”
เมื่อได้ยินชื่อแซ่นี้ หลินจยาอวี่ที่นั่งนิ่งมาตลอด พลันเหลือบสายตาขึ้นมามองลู่เสวี่ยเฉินแวบหนึ่ง จากนั้นเลื่อนสายตาหันไปมองฟังจือหัน นัยน์ตาของหลินจยาอวี่เต็มไปด้วยความสงสัย
ฟังจือหันสัมผัสได้ถึงสายตาที่ผิดปกติ เขาสบตากับหลินจยาอวี่อยู่ครู่หนึ่ง แววตาเย็นเยียบและแหลมคม แฝงไว้ด้วยคำเตือน
หลินจยาอวี่หัวคิ้วมุ่นเข้าหากัน ฟังจือหันกำลังเตือนอะไรเธอ เขาไม่อยากให้อวี๋กานกานรู้ว่าตัวเองเป็นใคร? แต่สำหรับหลินจยาอวี่ อวี๋กานกานเองก็เป็นเพื่อนคนหนึ่งที่เธอรักมาก