ตอนที่ 707 เมฆเปิดเห็นตะวัน! น้ำลดหินผุด (7)
เจียงป๋อซื่อกลับไม่รู้ว่าระหว่างนั้นมีสาเหตุ เอาความผิดพลาดทุกอย่างโยนกลับมาไว้ที่ตัวเอง ไม่เพียงหยุดโครงการวิจัย ถึงขั้นซึมเศร้าเป็นเวลานาน
แต่ว่าเจียงซื่อเซิ่งรู้สาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิตของคนเหล่านี้ และรู้ว่าตำรับยาของเจียงป๋อซื่อนั้นมีประสิทธิภาพ เพียงแต่จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาและค่อยดำเนินการปรับเปลี่ยนขึ้นไปอีก
ดังนั้นหลังจากที่เจียงป๋อซื่อหยุดโครงการนี้เอาไว้ชั่วคราว เจียงซื่อเซิ่งจึงแอบเอาบันทึกของเจียงป๋อซื่อไป ตั้งห้องทดลองแล้ววิจัยต่อ หวังว่าจะสามารถทำให้ยาต้านมะเร็งสำเร็จออกมา
แต่ว่าบุคคลสำคัญของโครงการนี้คือเจียงป๋อซื่อ ไม่มีเจียงป๋อซื่อวางรากฐานก็ไม่มีความคืบหน้า
เจียงซื่อเซิ่งใช้กำลังคนไปมาก แต่ว่าก็ไม่ได้ทำให้ตำรับยาสมบูรณ์ได้
ในโลกนี้หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง เจียงซื่อเซิ่งนึกว่าตนปิดบังได้ดีมาก ไม่คาดคิดเลยว่ายังถูกเจียงป๋อซื่อมาล่วงรู้เข้า
ตอนแรกเจียงป๋อซื่อนึกว่าเจียงซื่อเซิ่งแค่ไม่ยอมล้มเลิกโครงการนี้ เขาก็เปิดตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่ง แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าโครงการนี้ยังดำเนินต่อไป นอกจากนั้นยังแอบให้ความช่วยเหลืออย่างลับๆ หวังว่าโครงการนี้จะสำเร็จไปได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนเหล่านั้นที่ตายไปก็ถือว่ามีคำอธิบายให้
แต่ว่าหลังจากนั้นเขาก็พบว่าไม่ใช่ปัญหาของเขา แต่เป็นปัญหาจากสูตรยา เจียงซื่อเซิ่งมีพฤติกรรมปลอมแปลงในด้านการผลิตยา
ด้วยเหตุนี้ที่ผู้ป่วยเหล่านั้นเกิดอาการไม่พึงประสงค์หลังการทดลองยา ยิ่งกว่านั้นคือเสียชีวิตในเวลาไม่กี่วัน ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเจียงซื่อเซิ่ง
หลังจากที่เจียงป๋อซื่อรู้ก็โมโหมาก มีปากเสียงกับเจียงซื่อเซิ่ง
ทั้งสองทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดง เจียงซื่อเซิ่งพลั้งมือฆ่าเจียงป๋อซื่อไปในชั่วขณะ
ประจวบกับที่เรือยอชท์เกิดระเบิดขนาดย่อม ด้วยเหตุนี้จึงอำพรางสาเหตุการตายที่แท้จริงของเจียงป๋อซื่อ ให้ทุกคนต่างก็คิดว่าเจียงป๋อซื่อเสียชีวิตจากระเบิด
เจียงซื่อเซิ่งเล่าถึงตรงนี้ น้ำตานองหน้า “ฉันก็ไม่ได้อยากฆ่าพ่อของแก เขาเป็นพี่ใหญ่ของฉัน หลังจากพลั้งมือฆ่าเขา ฉันก็เจ็บปวดมาก ฉันเองก็โทษตัวเอง และฉันก็อยากชดใช้ให้พวกแก ดังนั้นฉันจึงรับปากปู่แก ต่อไปให้เจียงซื่อคอปอร์เรชั่นเป็นของแก ฉันตำหนิไป๋อัน กำชับแล้วกำชับอีกให้เขากับแกอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ให้เขาเชื่อฟังแกทุกอย่าง ฉันตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าจะช่วยแกดูแลเจียงซื่อคอปอร์เรชั่นด้วยกัน แต่ทำไม…”
ฟังจือหันพูดเสียงเย็น “ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยให้โอกาสเขา เป็นเขาที่ดึงดันไม่ยอมรับผิด เอาแต่จะสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับผม”
เจียงซื่อเซิ่งปิดใบหน้า ร้องไห้คร่ำครวญออกมา เสียใจ สำนึกผิดและรู้สึกผิดพร้อมกับเศร้าใจ
เขาเกลียดฟังจือหันแต่กลับเกลียดตัวเองยิ่งกว่า
ลูกชายของตนเองนิสัยเป็นอย่างไรทำไมจะไม่รู้ แต่ว่าในท้ายที่สุดก็เป็นลูกชายของเขา พ่ายแพ้และน่าเวทนาเช่นนี้ นอนนิ่งอยู่ที่โรงพยาบาล ตายไปก็เพียงเท่านั้น
ในฐานะพ่อ จะเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะไม่ทำอะไรเลย
ถ้าตอนแรกไม่ได้เป็นเพราะเขาที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์จากการปลอมแปลง บางทียาต้านมะเร็งตอนนี้อาจจะสำเร็จไปแล้ว
เป็นเช่นนั้นพี่ใหญ่ของเขาก็คงไม่ตาย ฟังจือหันก็คงไม่ได้เป็นคนรับช่วงต่อเจียงซื่อคอปอร์เรชั่น ไป๋อันของเขาก็คงไม่รุนแรงเช่นนี้
เสียงร้องไห้โหยหวนดังยิ่งขึ้น ร้องคร่ำครวญไปก็เพียงเท่านั้น
ฟังจือหันไม่พูดอะไรอีก เขาลุกขึ้นแล้วออกไปอย่างเงียบๆ
เจียงซื่อเซิ่งถูกศาลตุลาการอนุมัติการจับกุมอย่างเป็นทางการด้วยความผิดทางอาญาและห้ามผลิตยาที่ไม่ได้คุณภาพ
หลังจากข่าวนี้เผยแพร่ออกไป ทำให้ทุกคนต่างตกใจกันหมด เพราะว่าตามข่าวที่ปล่อยออกมาปรากฏ เจียงซื่อเซิ่งมอบตัวด้วยตัวเอง
เนื่องด้วยเขามอบตัว ตอนที่ศาลพิจารณาคดีจึงให้ลดหย่อนผ่อนโทษอย่างเหมาะสม
ตอนที่อวี๋กานกานได้ยินก็มั่นใจในทันทีว่าเป็นฟังจือหันที่ช่วยเหลือ เธอถามฟังจือหันด้วยความสงสัยว่าทำไมต้องช่วยเจียงซื่อเซิ่ง
ตอนที่ 708 เมฆเปิดเห็นตะวัน! น้ำลดหินผุด (8)
ฟังจือหันตอบเธอว่าเพราะเมื่อก่อนตอนพ่อกับแม่เขาทะเลาะ หย่ากัน ลุงรองคอยปลอบใจเขา ให้ความอบอุ่นกับเขาอยู่ตลอด เขากำลังคืนบุญคุณให้เจียงซื่อเซิ่ง นับแต่นี้เป็นต้นไปเขาก็จะไม่ติดค้างสิ่งใดกับเจียงซื่อเซิ่งอีกแล้ว
อวี๋กานกานคิดว่ามันเป็นเพียงข้ออ้าง
ผู้ชายที่ดูเหมือนเย็นชา เฉยเมย แท้ที่จริงมีความเมตตาและความเป็นธรรมมาก
หลังจากเหอสือกุยฟื้นแล้ว การฟื้นตัวก็ดีมาก อีกสองวันก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว
เขามองอวี๋กานกานซึ่งยกชามมาเตรียมจะป้อนข้าวให้ก็รีบยกมือรับมา “พอแล้ว ยายหนู อาจารย์เธอแค่บาดเจ็บ ไม่ได้พิการเสียหน่อย”
เขารับชามไว้แล้วรีบกินเองทันที
ก่อนหน้าที่ตอนที่เพิ่งตื่นขึ้น รู้สึกวิงเวียนไปทั้งตัว อ่อนแอ ไม่มีแรง ให้เธอมาป้อนข้าวก็พอแล้ว สองวันนี้เขาฟื้นตัวได้พอประมาณหนึ่งแล้ว แน่นอนว่าควรทำด้วยตัวเอง
อวี๋กานกานนั่งลงด้านข้าง มือเท้าคางแล้วพูดกับเหอสือกุย “เจียงซื่อเซิ่งสารภาพผิดแล้ว โทษประหารคาดว่าคงจะเป็นไปไม่ได้ หวังว่าต่อไปเขาจะปรับปรุงตัวให้ดีอยู่ในคุก”
เหอสือกุยตอบเสียงเรียบ “เขาจะเป็นยังไงก็ไม่สน ฉันแค่หวังว่าต่อไปจะไม่มีใครมาทำร้ายเธออีก”
อวี๋กานกานรับรู้เพียงแค่ความอบอุ่นดุจพระอาทิตย์หน้าหนาวอยู่ภายในใจ “อาจารย์เหม่ยเหรินคะ ฉันจำได้ว่าฉันส่งข้อความให้คุณ เคยบอกคุณว่าฉันหาพ่อเจอแล้ว ตอนนี้ฉันเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลกู้เชียว ต่อไปใครยังจะกล้ามารังแกฉันอีกล่ะคะ”
“ฉันรู้” เหอสือกุยยิ้มครู่หนึ่ง หลังจากที่เขาเคี้ยวอาหารในปากเสร็จแล้วก็เอ่ย “ตอนนั้นอยากจะโทรไปแสดงความยินดีกับเธอมาก เพียงแต่ว่าในเวลานั้นไม่สามารถติดต่อกับเธอได้ ฉันคิดว่าฟังจือหันก็น่าจะบอกเธอแล้ว เพื่อเข้าใกล้เจียงซื่อเซิ่ง ดังนั้นพวกเราจำเป็นต้องเล่นละครสักหน่อย เพื่อให้เล่นละครได้สมจริงไปบ้างจึงทำได้เพียงแค่ไม่สนใจเธอ ไม่งั้นก็ไม่มีทางหลอกอีกฝ่ายได้”
อวี๋กานกานทำแก้มพองลมแล้วเอ่ยอย่างน้อยใจ “พวกคุณเล่นละครได้ดีจริงๆ เลย ทำให้ฉันเสียใจแทบตาย ฉันนึกว่าพวกคุณสองคนเป็นอะไรกัน ต้องมาลงมือสู้กัน ฉันกระวนกระวาย ร้อนใจแทบตายแล้ว กังวลจนนอนไม่หลับอยู่ทุกคืน ผลปรากฏว่าพวกคุณเล่นละครกัน เกินไปแล้ว ไม่บอกกันล่วงหน้าสักหน่อยเลยเหรอคะ”
ฟังเธอต่อว่า เหอสือกุยก็พูดอย่างไม่มีทางเลือก “อาจารย์ผิดไปแล้ว อาจารย์ไม่ควรปิดบังเธอ รอให้อาจารย์ออกจากโรงพยาบาลจะทำอาหารอร่อยๆ สักมื้อให้ดีไหม”
“นี่ก็ถือว่าพอได้” อวี๋กานกานพูดพลางดันอาหารบนโต๊ะกินข้าวไปตรงหน้า “อันนี้อร่อยมาก เป็นจานเด็ดของป้าหู คุณอย่ากินแต่ข้าว ต้องกินกับหน่อยด้วย”
เหอสือกุยแย้มยิ้มอ่อนโยนให้อวี๋กานกาน จากนั้นก็คีบอาหารใส่ปาก และยังเอ่ยชมด้วย “อร่อยมากจริง มิน่าช่วงนี้เธอเลยอ้วนขึ้น”
อวี๋กานกานเบิกตาโต รีบลุกขึ้น “ฉันอ้วนเหรอ”
เด็กสาวได้ยินว่าอ้วนก็ตกใจจริงๆ รีบวิ่งเข้าไปส่องกระจกในห้องน้ำ บิดซ้ายบิดขวาเทียบดู สุดท้ายเธอก็พบว่าตนเองเหมือนจะอ้วนขึ้นนิดหน่อยจริงด้วย
ไม่ได้ ไม่ได้แล้ว ช่วงนี้เธอต้องกินให้น้อยหน่อย ห้ามตามใจพุงอีกเด็ดขาด ที่บอกว่ากินไม่อ้วนนั่นล้วนเป็นเรื่องโกหก
อวี๋กานกานนั่งลงข้างเตียงผู้ป่วย มองเหอสือกุยกินข้าว พลันนึกถึงข้ออ้างที่พวกเขาเล่นละคร ในใจก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่
แต่ก่อนฟังจือหันแกล้งหึงไม่รู้จริงหรือปลอม ยังมีเกี่ยวกับความรักและเอ็นดูตนจากอาจารย์เหม่ยเหรินอีก อาจารย์เหม่ยเหรินจะชอบเธอจริงไหมนะ?
ช่วงนี้ความคิดนี้มักจะโผล่ขึ้นมาในหัวเธอโดยอัตโนมัติ
เธอไม่เชื่อแน่นอนอยู่แล้ว รู้จักกันมาหลายปีขนาดนั้น อาจารย์เหม่ยเหรินปฏิบัติกับเธอเหมือนคนในครอบครัว แต่ว่าบางครั้งก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างอีก
ส่วนลึกในจิตใจเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างที่บอกไม่ถูก
แต่ถ้าเป็นคนอื่น งั้นก็ช่างมันแล้ว แกล้งโง่ต่อไป ไม่ต้องใส่ใจ