ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ – ตอนที่ 131 คนไข้พิลึก / ตอนที่ 132 นอนไม่หลับก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง

ตอนที่ 131 คนไข้พิลึก

 

 

“ลุงหวังไม่ต้องเป็นกังวลไป คลินิกไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ” อวี๋กานกานยิ้มมุมปากออกมาบางๆ

 

 

“หนูเนี่ยนะ…” ลุงหวังส่ายศีรษะเบาๆ สีหน้าไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี เขาทำงานอยู่ที่คลินิกนี้มาหลายปี มีหรือจะไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นคนใจใหญ่ หลังจากเรียนจบก็มาประจำอยู่ที่คลินิก วันๆ เอาแต่ก้มหน้างกๆ รักษาคนไข้ ไม่รู้ว่าจิตใจมนุษย์นั้นแสนจะเ**้ยมโหด

 

 

“ลุงหวังคะ ไม่มีคนไข้แล้วอีกทั้งอากาศก็หนาวมาก วันนี้ลุงเลิกงานไวหน่อยก็ได้นะคะ” อวี๋กานกานรู้ว่าลุงหวังเป็นห่วงเธอ ที่จริงไม่ใช่ว่าเธอไม่เป็นกังวล เพียงแต่ว่าการที่ร้อนใจและเป็นกังวลจนเกินเหตุมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดอยู่วันยังค่ำ

 

 

ตอนยังเด็กเธอร้องไห้งอแงบ่อยมาก เนื่องจากเด็กคนอื่นมีทั้งพ่อและแม่แต่เธอกลับไม่มี ตอนนั้นคุณปู่มักจะเล่าเรื่องของเด็กกำพร้า เด็กที่ถูกหลอกไปขาย เด็กที่ยากจนแร้นแค้นว่าพวกเข้าต้องใช้ชีวิตอย่างตกระกำลำบากถึงเพียงใด เด็กเหล่านั้นไม่มีอะไรเลย แต่เธอยังมีคุณปู่ มีอาจารย์ มีครอบครัวของลุงใหญ่และเพื่อนบ้านใกล้เคียงในถนนหนานเจิ้น ไม่ว่าจะดีหรือร้าย อย่างไรเสียเธอก็ยังมีครอบครัว คลินิกนี้คือบ้านของเธอ เธอไม่มีทางยอมขาย…เธอจะรักษามันไว้ให้ถึงที่สุด

 

 

ลุงหวังกล่าว “หนูยังมีคนไข้ที่นัดไว้อีกคนนี่”

 

 

อวี๋กานกานยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูจัดยาแทนเอง”

 

 

ลุงหวังเองก็ไม่ขัดอวี๋กานกานอีก เก็บข้าวเก็บของเลิกงาน เวลาเดินไปอย่างรวดเร็วเหมือนกระแสน้ำ นี่ก็เลยเวลาที่นัดไว้แล้วทว่าคนไข้กลับยังไม่มา ผ่านไปแล้วกว่าครึ่งชั่วโมง อวี๋กานกานคาดว่าคนไข้คนนั้นคงไม่มาแล้ว เพราะถ้าจะมาเขาต้องโทรศัพท์มาแจ้งก่อนแน่

 

 

เธอถอดชุดกาวน์สีขาวแขวนไว้ ในตอนที่กำลังเก็บข้าวของเตรียมจะเลิกงาน ประตูคลินิกก็ถูกเปิดออก คนที่เดินนำเข้ามาเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ แม้ว่าจะสวมใส่เสื้อแจ็กเกตกับกางเกงสแล็ก ทว่าท่าทางดูเคร่งขรึมน่าเกรงขาม เสียงเดินจากรองเท้าคอมแบทกระทบพื้นดังทึกทึก เขาเปิดประตูออกกว้างจากนั้นยืนตรงอยู่ตรงข้างประตู ตามมาด้วยผู้สูงอายุผมขาวโพลนคนหนึ่งเดินเข้ามา สวมชุดถังจวง[1] รองเท้าผ้าแบบโบราณ ในมือถือไปป์หนึ่งตัว ค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า

 

 

อวี๋กานกานหยิบเสื้อกาวน์ที่เพิ่งถอดขึ้นมาสวมอีกครั้ง ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม ถามอย่างมีมารยาท “สวัสดีค่ะ ใช่คุณเฉินเจิ้งเหอที่นัดไว้หรือเปล่าคะ”

 

 

ผู้ชายคนที่สวมรองเท้าคอมแบทก้าวเท้าออกมา “ผมชื่อเฉินเจิ้งเหอ ผมเป็นคนนัดแต่คนที่จะให้คุณตรวจคือท่านผู้เฒ่าท่านนี้”

 

 

อวี๋กานกานนั่งลงผายมือไปยังเก้าอี้ตรงหน้าเชิญท่านผู้เฒ่านั่ง ท่านผู้เฒ่าไม่ได้นั่งลงในทันที เขายืนเอามือไขว้หลังมองสำรวจไปทั่วทั้งคลินิกหนึ่งรอบ จากนั้นถึงจะนั่งลงตรงหน้าอวี๋กานกาน

 

 

แม้ว่าผู้เฒ่าท่านนี้จะมีอายุมากกว่าหกสิบปี แต่แววตายังคงดุดันและเฉียบแหลม ร่างกายล้อมรอบไปด้วยรัศมีอันองอาจผ่าเผย ดูๆ แล้วไม่เหมือนเป็นพ่อหรือปู่ของคุณเฉินเจิ้งเหอ เหมือนลูกน้องกับเจ้านายมากกว่า

 

 

อวี๋กานกานถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ารู้สึกไม่สบายตรงไหนเหรอคะ”

 

 

ผู้เฒ่าชักสีหน้าเล็กน้อย ตอกกลับด้วยสีหน้าถมึงทึง “ถ้าฉันรู้ว่าไม่สบายตรงไหน ฉันจะมาหาเธอทำไม”

 

 

อวี๋กานกาน “…” คนคนนี้ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าร่างกายไม่สบายถึงได้มาหาหมอหรอกเหรอ มีคนที่สุขภาพแข็งแรงไม่ได้เจ็บไม่ได้ป่วยตรงไหนมาหาหมอด้วยเหรอ คนไข้คนนี้ค่อนข้างพิลึกคน

 

 

อวี๋กานกานคลี่ยิ้ม ยื่นมือออกไปขยับเบาะรองแขนสำหรับตรวจชีพจรเชิงว่าให้ผู้เฒ่าวางมือลงมา “ฉันขอตรวจชีพจรดูสักหน่อยนะคะ”

 

 

ผู้เฒ่าวางแขนลงมา อวี๋กานกานตรวจชีพจรอย่างละเอียด ในตอนที่เธอจับชีพจรอยู่นั้น สายตาของเธอจ้องไปที่ใบหน้าของผู้เฒ่าตลอดเวลา ในระหว่างนั้นยังสั่งให้ผู้เฒ่าแลบลิ้นออกมาเพื่อที่เธอจะได้ตรวจดู  

 

 

 

 

——

 

 

[1] ชุดถังจวง ชุดในสมัยราชวงศ์ถัง เสื้อแขนยาว ปกตั้งตรงแบบคอจีน กระดุมใช้ผ้าถักเป็นปมร้อยเข้ากับรังดุม ผ้าที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นผ้าแพร

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 132 นอนไม่หลับก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง

 

 

หลังจากที่อวี๋กานกานตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว เธอชักแขนที่ตรวจชีพจรอยู่กลับ พูดอย่างนุ่มนวล “ผู้เฒ่าคะ อาการป่วยของคุณค่อนข้างรุนแรง…”

 

 

ผู้เฒ่าค่อนข้างแปลกใจ แม้ว่าสีหน้าจะไม่เปลี่ยนแต่แววตากลับปรากฏความประหลาดใจออกมาแวบหนึ่ง แต่ชายสวมคอมแบทที่ชื่อเฉินเจิ้งเหอ คิ้วดกดำราวกับขวานทั้งสองข้างของเขาเลิกขึ้นสูงทันที พูดแทรกอวี๋กานกานอย่างเดือดดาลเสียงดัง “เป็นไปได้ยังไง พูดจาเหลวไหล”

 

 

อวี๋กานกานมองเขาด้วยสีหน้าที่แปลกใจระคนตกใจ “…” เธอก็แค่พูดอาการที่เธอตรวจออกมาได้ อีกอย่างเธอยังพูดไม่จบด้วยซ้ำ ทำไมถึงต้องด่าว่าเธอพูดจาเหลวไหลด้วย ถ้าพวกเขาไม่ได้ป่วยเป็นอะไรแล้วจะมาคลินิกของเธอทำไม หรือกินอิ่มพุงกางแล้วไม่มีอะไรทำเลยมาทัวร์แวะชมคลินิกสักหน่อย?

 

 

ผู้เฒ่าปรายตาไปมองเฉินเจิ้งเหอแวบหนึ่ง เขาไม่ได้กล่าวอะไรแต่กลับมีพลังอย่างน่าประหลาด ร่างกายของเฉินเจิ้งเหอยืนตรงโดยอัตโนมัติ ราวกับอยู่ในท่ายืนตรงของทหาร อกผายไหล่ผึ่ง เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าเมื่อกี้ตนเองพูดจากระโชกโฮกฮากจนเกินไปจึงรีบขอโทษอวี๋กานกานทันที “ขอโทษครับ คุณหมออวี๋”

 

 

มุมปากของอวี๋กานกานยกยิ้มขึ้น อยากจะยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ค่อยออก “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรู้ว่าคุณเป็นห่วงผู้เฒ่า ทำใจเชื่อไม่ลงว่าผู้เฒ่าป่วย แต่ว่าอาการป่วยของผู้เฒ่าค่อนข้างร้ายแรงเลยทีเดียว…”

 

 

เป็นอีกครั้งที่เขาไม่ยอมรอให้อวี๋กานกานพูดจนจบ เฉินเจิ้งเหอกล่าว “ผู้เฒ่าเข้านอนเร็วตื่นแต่เช้าทุกวัน ทั้งยังหมั่นออกกำลังกาย ร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด ขนาดหวัดยังไม่ค่อยเป็นเลย เมื่อสัปดาห์ก่อนไปตรวจสุขภาพมาก็ไม่พบปัญหาอะไร ทำไมคุณหมออวี๋ถึงบอกว่าอาการป่วยของผู้เฒ่าร้ายแรง”

 

 

ผู้เฒ่านั่งฟังพร้อมกับพยักหน้าอย่างช้าๆ ทั้งยังมองหน้าอวี๋กานกานต้องการคำตอบ “…”

 

 

อวี๋กานกาน “…”

 

 

 ไม่รู้ว่าตัวเองป่วยแต่กลับนัดให้เธอตรวจ? เธอแบมือทั้งสองออกไปทางข้างอย่างเหนื่อยหน่าย ย้อนถาม “ในเมื่อพวกคุณทั้งคู่คิดว่าไม่ป่วยแล้วพวกคุณมาหาฉันทำไม ฉันเป็นหมอนะคะ”

 

 

มองแวบเดียวก็รู้ว่าเฉินเจิ้งเหอเป็นชายชาตรีตัวใหญ่ที่ใสซื่อ นิสัยมุทะลุตรงไปตรงมา เขาแสดงอาการเลิ่กลั่กออกมาทันที

 

 

ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม “ใครเคยบอกหรือว่าไม่ป่วยหาหมอไม่ได้? อีกอย่างเมื่อครู่เธอตรวจเสร็จแล้วยังบอกอยู่หยกๆ ว่าฉันป่วย? แต่ว่าทุกวันนี้ฉันกินอิ่มนอนหลับ สีหน้าสดใส สุขภาพจิตปลอดโปร่งทั้งยังเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่เหมือนคนป่วยเกินเยียวยาสักนิด”

 

 

อวี๋กานกานปรับแก้ประโยคที่ผู้เฒ่าพูด “ผู้เฒ่าคะ ฉันไม่ได้พูดว่าคุณป่วยเกินเยียวยา ฉันพูดแค่ว่าอาการป่วยของคุณค่อนข้างรุนแรง”

 

 

ผู้เฒ่าถาม “แล้วมันต่างกันตรงไหน”

 

 

อวี๋กานกานยิ้มเอือมๆ “ต่างกันแน่นอนอยู่แล้วค่ะ ป่วยเกินเยียวยาหมายถึงอาการป่วยนั้นร้ายแรงถึงขั้นหมดหนทางรักษา แต่อาการป่วยของผู้เฒ่าค่อนข้างรุนแรงซึ่งหมายถึงสามารถรักษาให้หายขาดได้” เธอเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “อีกอย่าง ผู้เฒ่านอนหลับเต็มอิ่มจริงๆ เหรอคะ”

 

 

สีหน้าของผู้เฒ่าตะลึงไปเล็กน้อย กล่าวอย่างช้าๆ “’งั้นเธอก็พูดมาสิว่าตกลงฉันป่วยเป็นโรคอะไร”

 

 

อวี๋กานกานมองตาของผู้เฒ่า กล่าวช้าๆ “ดวงตาของผู้เฒ่าแดงก่ำในปากมีรสขม ลิ้นแดงมีฝ้าสีเหลือง ชีพจรตึงและเต้นเร็ว เป็นอาการของคนที่นอนหลับไม่สนิทมาเป็นระยะเวลานาน”

 

 

ประโยคสำบัดสำนวนเช่นนี้ คนสมองทื่ออย่างเฉินเจิ้งเหอฟังเข้าไม่ใจ “หมายความว่าอะไร นี่มันโรคอะไร”

 

 

“ความหมายก็คือผู้เฒ่ามีอาการนอนไม่หลับขั้นรุนแรง ไม่ได้นอนหลับอย่างสนิทมานานหลายปีแล้ว ดูเหมือนคุณจะสนิทกับผู้เฒ่ามาก ต้องรู้อยู่แล้วว่าเขามีอาการนอนไม่หลับ ฉุนเฉียวโกรธง่ายมักจะควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้อยู่บ่อยครั้ง”

 

 

อวี๋กานกานใช้คำศัพท์ง่ายๆ อธิบายใหม่อีกรอบ ครั้งนี้เมื่อเฉินเจิ้งเหอได้ฟังก็เข้าใจในทันที ขมับของเขาเต้นตุบๆ ระรัวอยู่หลายครั้ง มองอวี๋กานกานอย่างตกตะลึง

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

“ขอโทษนะคะ คุณคือ…” “ฟังจือหัน สามีเธอไง” นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย! นั่งในบ้านอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็มีสามีซะยังงั้น! อวี๋กานกาน เป็นแพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคด้วยศาสตร์แพทย์แผนจีน เมื่อครึ่งเดือนก่อน เธอประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนเข้าจนหมดสติไป หลังจากฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล บาดแผลไม่ได้สาหัส แต่กลับต้องนอนพักฟื้นเป็นครึ่งค่อนเดือน หลังจากที่เธอฟื้น กลับมีผู้ชายคนหนึ่งดันมายืนตรงหน้าเธอ บอกว่าเธอความจำเสื่อม และยังบอกอีกว่าเขาเป็นสามีของเธอ! เธอคนที่ไม่เคยมีความรัก ไม่เคยมีแฟน จะไปมีสามีได้ยังไงกัน… “คุณเป็นใครกันแน่” “ฟังจือหัน สามีเธอไง!” เจ็ดพยางค์เหมือนเมื่อกี้เป๊ะ… สรุปแล้วมันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นระหว่างที่เธอหมดสติไปกันเนี่ย ในเมื่อเธอไม่รู้จักเขา แล้วเพราะอะไรทำไมเขาถึงต้องอ้างว่าเป็นสามีของเธอด้วย หรือเธอจะความจำเสื่อมเข้าแล้วจริงๆ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset