ตอนที่ 187 ป่วย? โรคคิดถึงหรือเปล่า
จากเขินกลายเป็นโกรธ อวี๋กานกานรู้ว่าฟังจือหันจงใจหยอกล้อเธอ แต่ผู้อำนวยการไม่ได้รู้เรื่องไปกับเขาด้วย เขาตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่ง เกรงว่าฟังจือหันจะคิดว่าพวกเขาใช้เงินสนับสนุนของบริษัทยาไป๋ฟังสุ่มสี่สุ่มห้า งานสัมมนาถูกจัดขึ้นเป็นเพียงฉากหน้า ความจริงแล้วเป็นปาร์ตี้กินดื่มเฮฮาสนุกสนาน รีบอธิบาย “แม้ว่าคุณหมออวี๋จะอายุน้อย แต่ว่าวิชาแพทย์ยอดเยี่ยมมาก เมื่อวานตอนที่มารายงานตัว ผู้อาวุโสหวงยังเอ่ยปากชมเธอเลยครับ”
แถไปก่อน ความจริงเขาเองก็ไม่รู้ว่าวิชาแพทย์ของอวี๋กานกานเป็นเช่นไร แถมยังลากผู้อาวุโสหวงผู้เป็นเสาค้ำมหาสมุทร[1]ของงานสัมมนาครั้งนี้มาช่วยยืนยัน หวังว่าฟังจือหันจะไม่เข้าใจผิด
ฟังจือหันลากเสียงอ่อนยาวเหยียด ประหนึ่งว่าเห็นด้วย สายตาแอบเหลือบมองอวี๋กานกาน เห็นใบหน้าของเธอขึ้นสีดั่งดอกซากุระ มุมปากยกขึ้นเป็นมุมโค้ง กล่าว “ในเมื่อวิชาแพทย์ยอดเยี่ยม ถ้างั้นหลังงานสัมมนาจบให้คุณหมออวี๋มาตรวจผมหน่อย สองวันมานี้ผมไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัวสักเท่าไร”
อวี๋กานกาน “…”
ผู้อำนวยการ “…”
คิ้วเรียวสวยของฟังจือหันเลิกขึ้นเล็กน้อย สีหน้าข้องใจ “ทำไม ไม่ได้เหรอ”
อวี๋กานกาน “…” ก็ไม่ได้น่ะสิ คนสุขภาพร่างกายแข็งแรงจะตรวจไปให้ได้อะไร ทว่าผู้อำนวยการกลับรีบพยักหน้าอย่างร้อนรน “ได้ครับ ได้ครับ” จากนั้นหันไปทางอวี๋กานกานกล่าว “รบกวนคุณหมออวี๋ด้วยนะครับ”
ผู้อำนวยการพูดถึงขนาดนี้แล้ว อวี๋กานกานจะไม่รับปากก็ไม่ได้ เธอขมวดคิ้ว ข่มความเดือดดาลที่อยากจะถลึงตาใส่ฟังจือหันเอาไว้ คลี่ยิ้มให้ผู้อำนวยการแล้วกล่าว “ไม่รบกวนอะไรเลยค่ะ” จากนั้นหมุนตัวเหลือให้เห็นแค่หลังศีรษะที่มีควันแห่งความโมโหพวยพุ่งออกมา
ผู้อำนวยการเดินนำฟังจือหันไปยังห้องโถง เขาไม่ได้แนะนำถึงฐานะของฟังจือหันอย่างละเอียด อธิบายเพียงแค่ว่าฟังจือหันเป็นตัวแทนของบริษัทยาไป๋ฟัง
ทุกคนต่างหลีกให้ฟังจือหันนั่งตรงกลาง ฟังจือหันปฏิเสธอย่างมีมารยาทเลือกนั่งตรงริมสุด ท่านั่งสบายๆ เม้มปากเล็กน้อย แววตาเย่อหยิ่งเย็นชาราวกับว่าไม่มีอะไรที่สามารถทะลุผ่านเข้าไปในสายตาของเข้าได้
พนักงานสาววัยรุ่นที่ยืนอยู่แถวนั้น เขินอายจนใบหน้าขึ้นสี สายตาจับจ้องไปที่ฟังจือหันอย่างเคลิบเคลิ้ม
อวี๋กานกานยังคงยืนอยู่ด้านหลังสุดตรงตำแหน่งเดิม บ่นพึมพำในใจว่าฟังจือหันเป็นคนร้ายกาจจริงๆ ด้วย เที่ยวยั่วยวนทำร้ายหัวใจอันบริสุทธิ์ของสาวน้อย
กล้าทำเป็นไม่รู้จักเธอ อย่าหวังเลยว่าต่อจากนี้ไปเธอจะให้ความสนใจเขาอีก หลังจากที่ถ่ายรูปเสร็จแล้ว โปรแกรมแรกของงานสัมมนาได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ผู้เข้าร่วมงานสัมมนาค่อนข้างเยอะ เนื่องจากบรรดาผู้สนับสนุนและแพทย์ผู้มีชื่อเสียงที่ทางประทานสมาคมเชิญมา ทั้งหมดตัดสินใจที่จะอยู่ต่อหลังจากพิธีเปิดเสร็จสิ้น
เก้าอี้ในห้องประชุมกระจัดกระจายเป็นวงกลมหลายวง ประมาณห้าถึงหกวง วงที่อยู่ตรงกลางทั้งหมดล้วนเป็นเหล่าบรรดาผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญ ทุกคนเริ่มทยอยกันหาที่นั่ง ต่างคนต่างพยายามนั่งใกล้ด้านหน้าให้มากที่สุด ทว่าอวี๋กานกานยังคงเลือกที่นั่งหลังสุดเช่นเคย เธอหยิบโน้ตบุ๊กและเครื่องบันทึกเสียงออกมาเพื่อเตรียมตัวจดเลคเชอร์
ทันใดนั้นที่นั่งข้างๆ เธอก็มีคนหย่อนตัวลงนั่ง อวี๋กานกานเหลือบไปมองตามสัญชาตญาณแวบหนึ่ง เห็นผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างแอบกระตุกมุมปาก
ผู้อำนวยการเดินเข้ามา มองฟังจือหันแล้วกล่าว “คุณชายหัน ด้านหน้าเหลือที่นั่งไว้ให้แล้วครับ”
ฟังจือหันไม่ขยับเขยื้อน “ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ นั่งด้านหลังดีกว่าครับ”
ผู้อำนวยการชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองเห็นอวี๋กานกานที่นั่งอยู่ด้านข้างฟังจือหัน ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าตนเองเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว เขาเป็นผู้ชาย ย่อมรู้ดีว่าอะไรที่เรียกว่ารักแรกพบ
คุณหมออวี๋อายุยังน้อย น่าจะยังไม่มีคนคบหาดูใจ หากสองคนนี้ตกลงปลงใจกัน ไม่แน่นะเขาอาจจะได้เป็นพ่อสื่อ ผู้อำนวยการกระหยิ่มยิ้มย่อง “ทราบแล้วครับคุณชาย…”
——
[1] เสาค้ำมหาสมุทร หรือ กระบองวิเศษของซุนหงอคงที่ค้ำทะเลตงไห่ไว้ไม่ให้เกิดความปั่นป่วน อุปมาถึงบุคคลที่เป็นที่พึ่งพาได้ในยามคับขัน
ตอนที่ 188 โรคจิตน้อย ยิ้มอะไรของคุณ
ฟังจือหันนั่งอย่างเป็นธรรมชาติ ต่างกับอวี๋กานกานที่รู้สึกอึดอัดแกมเอือมระอาเล็กน้อย เขาจะกลับไปก่อนก็ได้แท้ๆ ทำไมถึงต้องอยู่ฟังด้วย สำหรับคนนอกวงการแพทย์ การที่ต้องมานั่งฟังบรรยายเกี่ยวกับแพทยศาสตร์ ไม่รู้สึกจืดชืดน่าเบื่อบ้างเหรอ
อวี๋กานกานที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับฟังจือหันดี จู่ๆ เธอก็สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นยะเยือกคู่หนึ่ง เธอหันไปมองตามสัญชาตญาณ พบว่าเจ้าของสายตาคู่นั้นคือสตรีสวมชุดคอลเลคชั่นชาแนลที่หาเรื่องเธอเมื่อวานตอนลงทะเบียนรายงานตัว ผู้หญิงคนนี้ชื่อซูจิ่วซาน ถึงแม้อายุจะยังไม่เกินสามสิบสองปี แต่ได้ขึ้นแท่นเป็นแพทย์เลื่องชื่อของปักกิ่งแล้ว เป็นแพทย์อัจฉริยะที่ทุกคนต่างให้การยอมรับว่ามีอนาคตที่สดใส
อวี๋กานกานก็ไม่รู้ว่าตนเองไปทำอะไรให้ซูจิ่วซานไม่พอใจ ทำไมซูจิ่วซานถึงได้เอาแต่จ้องจะจับผิดเธอ พฤติกรรมเช่นนี้ชวนให้อวี๋กานกานรู้สึกขำขันอย่างบอกไม่ถูก
ผู้อาวุโสหวงเป็นผู้ขึ้นไปประเดิมเวทีเป็นคนแรก เขาบรรยายเกี่ยวกับปัญหาของการสืบทอดศาสตร์แพทย์แผนจีน โครงทฤษฎี ‘ซังหันลุ่น[1]’ และยังเสนอมุมมองใหม่ๆ อีกหลายแง่มุม หวังให้ทุกคนนำเอาไปศึกษาค้นคว้าต่อ เขายังพูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคว่า การเรียนแพทย์แผนจีนว่ายากแล้ว การเป็นแพทย์แผนจีนที่ดีนั้นยากยิ่งกว่า ทว่าการจะเป็นแพทย์ที่ยิ่งใหญ่นั้นยากเสียยิ่งกว่ายาก
ในสังคมปัจจุบันอันแสนรีบเร่งนี้ ทุกคนล้วนปรารถนาอยากจะโด่งดังมีเงินทองภายในค่ำคืนเดียว ขนาดหนังสือธรรมดาทั่วไปยังไม่ยอมอ่าน แล้วจะสงบจิตสงบใจหันมาศึกษาตำราแพทย์อย่าง ‘Canon of medicine[3]’ ได้อย่างไร
ทันทีที่ได้ฟังประโยคนี้ อวี๋กานกานเพิ่งจะเข้าใจว่าเมื่อวานตอนที่รายงานตัว ทำไมผู้อาวุโสหวงถึงยื่นมือมาช่วยเธอ เธอประทับใจผู้อาวุโสท่านนี้มาก รู้สึกเหมือนกับได้เห็นคุณปู่
ลำดับต่อมาเป็นศาสตราจารย์เฉินบรรยายเกี่ยวกับการราวน์วอร์ดเคสผู้ป่วยที่ต้องฝังเข็ม ใช้ประสบการณ์ราวน์วอร์ดที่สั่งสมมากว่าหกสิบปีของตนเอง อธิบายถึงปัญหาที่พบตอนตรวจคนไข้เป็นวิทยาทานให้กับทุกคน ทำให้อวี๋กานกานได้รับความรู้ไปอย่างล้นหลาม
หลังจากที่หัวข้อของศาสตราจารย์เฉินจบไปแล้ว ซูจิ่วซานขึ้นมาบรรยายเรื่องต้นกำเนิดและการวิเคราะห์อย่างมีหลักเหตุและผลของหลักปรัชญากับการฝังเข็ม รวมๆ แล้วเป็นการบรรยายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของหลักปรัชญากับการฝังเข็ม โดยที่มีจุดยืนอยู่ตรงข้ามกับประวัติศาสตร์แพทย์แผนปัจจุบัน ตลอดจนถึงการฝังเข็มต้องธำรงไว้ซึ่งรากเดิมหรือคิดค้นสิ่งใหม่…
ตอนที่อวี๋กานกานได้ฟัง เธอถึงกับตะลึงงันไปครู่หนึ่ง นี่เป็นงานสัมมนาทางการแพทย์ ทำไมถึงมาบรรยายเรื่องฝังเข็มกับหลักปรัชญา สำหรับเธอแพทย์แผนจีนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับหลักปรัชญา ฉะนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงการฝังเข็ม เธอเบือนศีรษะชำเลืองมองฟังจือหันแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่ได้แอบงีบ นี่เขาชอบฟังจริงๆ หรือว่าต้องการรักษาภาพลักษณ์กันแน่?
อวี๋กานกานหลุดขำออกมาเบาๆ เบาราวกับเสียงยุงบิน มีเพียงแค่ฟังจือหันที่นั่งอยู่ข้างๆ เท่านั้นที่ได้ยิน เขาหันหน้ามามองเธอ นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความเอ็นดูน้อยๆ เขาหยิบเอาสมุดโน้ตและปากกาของอวี๋กานกาน เขียนลงไปด้านบน ‘โรคจิตน้อย ขำอะไร’
อวี๋กานกานมองตัวหนังสือที่อยู่ตรงหน้า หัวเราะเหอะๆ อยู่ในใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จักเธอหรอกเหรอ ทีนี้ล่ะทำมาเป็นสนิทสนมเชียว เธอเขียนลงไปบนกระดาษอย่างไม่เกรงใจ ‘คุณเป็นใครคะ ฉันหัวเราะแล้วเกี่ยวอะไรกับคุณ’
ฟังจือหันหุบยิ้ม เขียนลงบนกระดาษต่อ ‘หลังจบงานไปกับผม’
อวี๋กานกานเขียน ‘ไม่’ ตัวใหญ่เบ้อเร่อโดยไม่ต้องคิด อีกทั้งไม่ส่งปากกาให้ฟังจือหัน ไม่ยอมให้เขาเขียนอะไรลงบนสมุดโน้ตของเธออีก
ซูจิ่วซานกำลังบรรยายอยู่ จังหวะที่เหลือบสายตาขึ้นมามอง เธอเห็นอวี๋กานกานและฟังจือหันที่กำลังส่งสมุดกันไปมาพอดี สีหน้าของเธอไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ ออกมา แต่ในใจกลับหัวเราะเสียงเย็น ที่แท้ยัยอวี๋กานกานอะไรนี่ ไม่ได้มาที่นี่เพื่อศึกษาเรียนรู้ อาศัยครอบครัวมีเงินทอง ซื้อโควตาที่ว่างเพื่อมาชุบตัว จะปล่อยให้มีค่านิยมแบบนี้ต่อไปอีกไม่ได้ ต้องหยุดยั้งให้เด็ดขาด
ซูจิ่วซานหลุบสายตาลงต่ำ แววตาฉายประกายแสงเย็นเยือกหมายจะคิดบัญชี!
——
[1] ซังหันลุ่น คือ งานเขียนทางการแพทย์ที่อธิบายเกี่ยวกับวิธีวินิจฉัยและรักษาโรคตามแนวทางของแพทย์แผนจีนโบราณ
[2] Canon of medicine เขียนโดย Avicenna เสร็จสมบูรณ์เมื่อปี คริสต์ศักราช 1025 นับเป็นตำราแพทย์ที่ยิ่งใหญ่เล่มหนึ่งของโลก