ตอนที่ 221 ให้คุณฟังช่วย
จังซ่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง “ภาวะเป็นพิษเนื่องจากยา?”
อวี๋กานกานพยักหน้า “น่าจะกินยาบางชนิดที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทอย่างรุนแรงเข้าไป ยาจำพวกนี้ส่งผลกระทบหรือผลเสียต่อระบบประสาท เป็นไปได้ว่าผลข้างเคียงของยามีน้อยมากจึงตรวจไม่พบในเลือด แต่สารพิษเล็กๆ พวกนั้นถูกเก็บสะสมอยู่ในร่างกาย นานวันเข้าก็ส่งผลต่อระบบประสาท”
จังซ่ารีบถามอาสะใภ้ “คุณอาช่วงนี้ทานยาอะไรบ้างคะ”
อาสะใภ้ตอบด้วยสีหน้าร้อนรน “มีพวกยาจีนบำรุงที่อาซื้อตามใบสั่งยาที่หนูเขียนให้ ส่วนยาแผนตะวันตกหลังจากที่หายดีแล้วก็ไม่ได้กลับไปกินอีกเลย”
อวี๋กานกานถาม “ยังมียาเหลืออยู่ไหมคะ”
อาสะใภ้ส่ายหน้า “ไม่เหลือเลยจะ”
อวี๋กานกานหยิบกระดาษและปากกาขึ้นมาเขียนใบสั่งยาให้จังซ่าสองชุด “ตัวหนึ่งใช้ภายนอกอีกตัวใช้ภายใน เรื่องวิธีใช้พี่น่าจะทราบดีอยู่แล้ว หนูให้ลองเทียบยานี้ดูก่อน พี่คอยมั่นตรวจชีพจรคุณอาด้วยนะคะ ถ้ามีปัญหาอะไรโทรหาหนูได้ทุกเมื่อ”
จังซ่ารับได้สั่งยามาพร้อมกับพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
อวี๋กานกานพูดปลอบ “ไม่ต้องเป็นกังวลไปค่ะ หนูเองก็ไม่กล้ารับประกันว่าจะรักษาให้หายดีเป็นปกติได้ไหม แต่รับรองว่าจะต้องดีขึ้นกว่าตอนนี้แน่นอน”
จังซ่าคลี่ยิ้มออกมา
อาสะใภ้เองก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจ
อวี๋กานกานออกมาจากบ้านของจังซ่าเป็นเวลาเที่ยงพอดี ที่จริงจังซ่าชวนพวกเธออยู่รับประทานอาหารเที่ยงก่อน แต่อวี๋กานกานไม่อยากรบกวน เพราะพวกเขาต้องดูแลคุณอาที่ป่วย เธอจึงปฏิเสธออกไปตรงๆ
ฟังจือหันพาเธอมายังภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสแห่งหนึ่ง เขาสั่งสเต็กเนื้อมาสองที่ พร้อมกับของหวานอีกสองที่ บรรยากาศภายในภัตตาคารสงบเงียบ มีเพียงแค่เสียงกระทบกันระหว่างมีด ส้อมและจาน
โดยปกติแล้วอวี๋กานกานเป็นคนช่างพูด ทว่าตอนนี้กลับเงียบสนิท นั่นเป็นเพราะในหัวของเธอเอาแต่คิดเรื่องอาจารย์ เรื่องประวัติคนไข้และเรื่องคุณอาของรุ่นพี่จังซ่า ทั้งหมดอาจมีความเกี่ยวโยงกัน อวี๋กานกานคิดไม่ถึงเลยว่าประวัติคนไข้ที่อาจารย์เก็บไว้ หนึ่งในนั้นจะเป็นคุณอาของรุ่นพี่จังซ่า
สาเหตุที่อาจารย์เก็บประวัติพวกนี้เอาไว้คืออะไรกันแน่นะ
อาการป่วยของคุณอารุ่นพี่จังซย่าอาจจะเกี่ยวข้องกับการรักษาในประวัตินั้นก็เป็นได้ เห็นได้ชัดว่าอาการของคุณอาคือโดนพิษจากยาทำลายระบบประสาท อีกทั้งยังค่อนข้างรุนแรงและซับซ้อน ตอนนี้ตัวเธอเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถรักษาให้หายกลับมาเป็นปกติดังเดิมได้ไหม หวังแค่ว่าจะสามารถรักษาให้คุณอากลับมามีสติสัมปชัญญะได้
อวี๋กานกานตกอยู่ในห้วงความคิด เธอหยิบแก้วน้ำผลไม้ขึ้นมาจิบหนึ่งคำ ตอนที่วางแก้ว ครึ่งหนึ่งของท้ายแก้วดันชนเขากับขอบจานสเต็กทำให้แก้วน้ำเกือบจะหก
อวี๋กานกานตกใจ โชคดีที่ฟังจือหันคว้าแก้วเอาไว้ได้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง “โรคที่คุณอารุ่นพี่ของคุณเป็น รักษายากมากเหรอ”
ตั้งแต่ออกมา สีหน้าท่าทางของอวี๋กานกานดูกลัดกลุ้ม เหมือนกับกำลังเผชิญเรื่องที่ลำบากยากยิ่ง ฟังจือหันเลยนึกถึงเรื่องอาการป่วยของคุณอาคนนั้นขึ้นมา
อวี๋กานกานส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก”
ทันใดนั้นเธอนึกขึ้นมาได้ว่าประวัติคนไข้เหล่านั้นฟังจือหันเองก็เคยเห็นมาก่อน อีกอย่างเขาก็อยากรู้เรื่องการหายตัวไปของอาจารย์ แถมเขายังสามารถตามสืบเรื่องพวกนี้ให้ได้ด้วย
อวี๋กานกานที่ตอนแรกกลุ้มอกกลุ้มใจ ตอนนี้เธอมองฟังจือหันด้วยสายตาเป็นประกายวิบวับ
ฟังจือหันเลิกคิ้วขึ้น ราวกับกำลังบอกว่ามีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ
อวี๋กานกานกระซิบกระซาบ “วันนั้น วันที่ฉันโดนกล่องเก็บของของอาจารย์หล่นใส่หัว ในกล่องนั้นมีประวัติคนไข้อยู่หลายใบ ตอนนั้นนายก็ได้อ่านใช่ไหม”
ฟังจือหันตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ใช่”
อวี๋กานกานพูดต่อ “ประวัติคนไข้ในนั้นมีคนนึ่งชื่อจังหรงเปียว นายยังจำได้ไหม”
ฟังจือพยักหน้า ประวัติคนไข้พวกนั้นเขาสั่งให้คนไปสืบหาข้อมูลมาแล้ว ชื่อพวกนี้ย่อมต้องเคยผ่านตามาบ้าง
สีหน้าของอวี๋กานกานเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง พูดอย่างจริงจัง “อาของรุ่นพี่ฉันก็ชื่อจังหรงเปียว ป่วยเป็นโรคบิด รักษาที่โรงพยาบาลป๋อจือของตระกูลเฉียว รายละเอียดตรงกับประวัติคนไข้ที่อาจารย์ฉันเก็บไว้ทุกอย่าง ชัดเจนว่าพวกเขาคือคนคนเดียวกัน!”
ตอนที่ 222 ไม่สำเร็จหากไม่มีเขา!
ฟังจือหันหรี่ตาลงเล็กน้อย จมดิ่งเข้าไปในห้วงความคิด เขาเคยเห็นรูปคนไข้ทุกคนที่อยู่ในประวัติมาหมดแล้ว รูปของจังหรงเปียวกับจังทรงเปียวที่นอนอยู่บนเตียงต่างกันมาก เวลาแค่เดือนกว่า กลับป่วยจนไม่หลงเหลือเค้าเดิม!
มือของฟังจือหันวางอยู่บนโต๊ะ นิ้วมือเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ แต่จู่ๆ กลับชะงักลงอย่างกะทันหัน…
อวี๋กานกานจิตใจกระสับกระส่าย ร้อนรน จ้องฟังจือหัน “นึกอะไรออกแล้วเหรอ”
ดวงตาดำขลับล้ำลึกของฟังจือหันยากที่จะคาดเดา ริมฝีปากเผยอขึ้น ถามด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ในฐานะแพทย์ ถ้าให้คุณดูประวัติคนไข้เหล่านี้ จากนั้นหาอาการที่ผู้ป่วยทุกคนมีตรงกัน คุณคิดว่าอาการนั้นคืออะไร”
ฟังจือหันเคยให้คนตรวจสอบประวัติผู้ป่วยอยู่สองสามคน ผู้ป่วยเหล่านั้นทั้งอาการป่วย โรงพยาบาล รวมถึงเพศ ไม่มีจุดไหนที่เหมือนกันเลย การเชื่อมโยงหาจุดที่เกี่ยวข้องกันจึงทำได้ยาก และเพราะหาจุดที่ตรงกันไม่ได้ การจะสืบหาให้ได้เบาะแสสำคัญก็จะยิ่งทำได้อย่างยากลำบาก
ประวัติคนไข้ถูกเก็บไว้โดยเหอสือกุยอาจารย์ของอวี๋กานกาน ในฐานะที่พวกเขาเป็นแพทย์เหมือนกัน ฟังจือหันอยากรู้ว่าอวี๋กานกานมีความคิดเห็นอย่างไร บางทีอาจจะเจอเบาะแสสำคัญจากความคิดเห็นของอวี๋กานกานก็เป็นได้
อวี๋กานกานแทบไม่ต้องคิด ตอบออกมาทันที “คนป่วย พวกเขาทุกคนล้วนมีอาการป่วย”
นี่เป็นจุดเหมือนที่ใหญ่ที่สุด
ฟังจือหันถามต่อด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำ “ยังมีอะไรอีกไหม”
อวี๋กานกานพูดต่อ “พวกเขาทุกคนล้วนเป็นคนป่วย ฉะนั้นแน่นอนว่าต้องมีการใช้ยา…” ในขณะที่กำลังสาธยาย จู่ๆ อวี๋กานกานก็หยุดลงอย่างกะทันหัน สายตาของฟังจือหันลึกลับซับซ้อนมากขึ้น ราวกับว่าเขานึกอะไรขึ้นมาได้ มุมปากยกยิ้ม
อวี๋กานกานจ้องหน้าฟังจือหันนิ่ง ราวกับว่าดวงตาเห็นธรรม เช่นเดียวกับฟังจือหันที่ดูเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
“ยา”
ทั้งสองพูดออกมาพร้อมๆ กัน ประหนึ่งใจสื่อถึงกัน
อวี๋กานกานที่จ้องหน้าฟังจือหันอยู่ หัวเราะร่วนออกมา “แม้ว่าอาการจะไม่เหมือนกัน แต่ขอแค่เป็นคนป่วยก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะใช้ยาชนิดเดียวกัน และยาตัวนี้ก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นจุดเหมือนที่พวกเขามีตรงกัน”
ริมฝีปากบางของฟังจือหันยกขึ้น เขาโทรศัพท์หาเลขาสั่งให้ไปตรวจสอบยาทั้งหมดที่ทางโรงพยาบาลจ่ายให้คนไข้ที่อยู่ในประวัติ
เลขาทำงานได้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว หลังจากพวกเขารับประทานอาหารเสร็จ ผลการตรวจถูกส่งเขามายังโทรศัพท์ของฟังจือหัน
ฟังจือหันยื่นโทรศัพท์ให้อวี๋กานกานดู
อวี๋กานกานพบว่ามีเพียงพวกยาแก้อักเสบและอาหารเสริมเท่านั้นที่ตรงกัน นอกจากเหนือจากนี้ก็ไม่มียาตัวไหนที่ใช้ตรงกันอีก เธอค่อนข้างผิดหวัง ไหล่ตก ราวกับดอกมะลิที่บานสะพรั่งได้ไม่ทันไรก็เ**่ยวแห้ง
ฟังจือหันเห็นอวี๋กานกานคอตก หมดอาลัยตายอยากก็นึกขำขึ้นมา “หมดหวังแล้วเหรอ”
อวี๋กานกานตอบอย่างซื่อตรง “นิดหน่อย ป่วยคนละโรค ยาคนละชนิด นอกจากจุดที่เป็นคนป่วยเหมือนกัน นอกนั้นพวกเขาไม่มีอะไรตรงกันสักอย่าง ฉันคิดไม่ออกแล้วจริงๆ…” อาจารย์เก็บประวัติคนไข้เหล่านี้ไว้ทำไมกันแน่
ฟังจือหันเอ่ยเสียงเรียบ “ก็ไม่แน่”
อวี๋กานกานหันควับ มองมาที่ฟังจือหัน “หมายความยังไง”
สีหน้าของฟังจือหันเรียบนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ พูดอย่างไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป “ถ้าเบาะแสอยู่ที่ยาที่พวกเขารับประทาน มีความเป็นไปได้สูงที่คนไข้พวกนั้นถูกหลอกให้เป็นหนูลองยา และเผื่อเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดขึ้น จึงต้องป้องกันไว้ก่อน ชื่อยาก็เลยไม่ปรากฏอยู่บนใบจ่ายยา”
อวี๋กานกานฟังดูแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลดี “แต่ว่า…เรื่องนี้จะสืบได้เหรอ”
“ไม่ว่าเรื่องอะไร ถ้าผมจะสืบไม่มีเรื่องไหนที่สืบไม่ได้”
อวี๋กานกานจ้องเข้าในดวงตาของฟังจือหัน นัยน์ตาไร้วี่แววของความล้อเล่น ดูสุขุมเยือกเย็น ทั่วร่างกายห้อมล้อมไวด้วยรังสีแข็งกร้าว ราวกับว่าบนโลกใบนี้ ไม่มีเรื่องอะไรที่เขาทำไม่ได้