ได้ยินมาว่ามีองครักษ์มากมายขนาดนั้น ยังปล่อยให้นักฆ่าหนีไปได้ ทำให้องค์จักรพรรดิทรงพระพิโรธยิ่งนัก
ขณะที่ทหารอารักขากำลังเก็บกวาดที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าพบลูกดอกสองสามตัวที่นักฆ่ายิงตกอยู่บนพื้น จึงเก็บขึ้นมาถวายแด่องค์จักรพรรดิ
ตอนที่ผ่านสายตาไป เฉินเสียนหรี่ตามองลูกดอก
ลูกดอกนั้นนางคุ้นเคยยิ่งนัก เหมือนกับลูกดอกที่ใครบางคนยิงใส่ฉินหรูเหลียงเพื่อพยายามฆ่าเขาตอนที่อยู่บนถนน
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น หลิ่วเหมยอู่ที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก “ใต้เท้า หม่อมฉัน ดูเหมือนว่าหม่อมฉันจะเคยเห็นลูกดอกนี้เพคะ”
คำพูดที่เอ่ยออกมาจากปากนาง สายตาทุกคู่รวมจุดมองไปที่หลิ่วเหมยอู่เพียงผู้เดียว
แม้แต่เฉินเสียนเองยังหันมองนางที่อยู่ข้างๆ
นางขี้ขลาดตาขาว เหมือนกวางน้อยที่หวาดกลัว ดูอ่อนโยนและไร้พิษภัย
ไม่นาน หลังจากที่จักรพรรดิจัดหาพระที่นั่งให้สมเด็จพระราชชนนีเป็นการเรียบร้อย จึงรับสั่งให้เหล่าขุนนาง และเหล่าภรรยาทุกคนไปยังห้องโถงใหญ่
จักรพรรดิประทับบนพระที่นั่ง เรียกหลิ่วเหมยอู่เข้าพบ ในเวลานั้นหลิ่วเหมยอู่ยืนอยู่กลางห้องโถงใหญ่ จากนั้นก้มศีรษะและคุกเข่าลง
“เจ้าเป็นสตรีในจวนผู้ใด? ”
หลิ่วเหมยอู่คุกเข่าเอามือยันกับพื้นและโน้มศีรษะติดพื้นพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าเป็นภรรยาของจวนแม่ทัพเพคะ”
“จวนแม่ทัพไหนเล่า? ”
หลิ่วเหมยอู่รู้สึกเขินอายเล็กน้อย “จวนแม่ทัพใหญ่เพคะ”
เช่นนี้ไม่ใช่เป็นการแสดงออกถึงตัวตนของนางในฐานะอนุหรอกหรือ? เพราะเฉินเสียนภรรยาเอกของจวนแม่ทัพใหญ่ก็ยืนดูการแสดงนั้นอยู่ข้างๆ
องค์จักรพรรดิจ้องมองไปที่เฉินเสียน เฉินเสียนกล่าวอย่างเบื่อหน่าย “กราบทูลฝ่าบาท เหม่ยอู่ก็เป็นภรรยาของจวนแม่ทัพเพคะ”
จักรพรรดิไม่มีกะจิตกะจิตใจมาจ้ำจี้จ้ำไชเรื่องพวกนี้ จึงเอ่ยถามอย่างจริงจัง “เจ้าบอกว่าเคยเห็นลูกดอกที่มือสังหารทิ้งไว้งั้นรึ?”
หลิ่วเหมยอู่พยักหน้าเบาๆ
จักรพรรดิตรัส “นำลูกดอกมา เอาไปให้นางยืนยันอีกหน”
ทหารรักษาพระองค์ยื่นถาดให้หลิวเหมยอู่ บนลูกดอกยังคงมีคราบเลือดติดปนอยู่
หลิ่วเหมยอู่เหลือบมองด้วยความสั่นเทา ยิ่งไม่กล้าจ้องมองใกล้ๆ
จักรพรรดิตรัส “เจ้ากล่าวมา เจ้าเห็นพบลูกดอกนี้ที่ใด? ”
“หม่อม…หม่อมฉัน…” ท่าทางของหลิ่วเหมยอู่ดูหวาดกลัว และเกรงกลัวยิ่งกว่าที่ต้องพูดความจริง
เฉินเสียนเหล่ตามองแล้วเอ่ยว่า “เหมยอู่ ไม่ต้องกลัว เจ้ารู้สิ่งใดเพียงแค่พูดออกไป บางทีอาจช่วยให้แม่ทัพจับมือสังหารได้”
จักรพรรดิตรัสอย่างหมดความอดทน “พูดมาบัดเดี๋ยวนี้!”
หลิ่วเหมยอู่กัดริมฝีปากตนเอง น้ำเสียงอู้อี้ “หม่อม…หม่อมฉันเคยเห็นมันกับองค์หญิงเฉินเสียนเพคะ”
ทุกคนในห้องโถงแทบกลั้นหายใจ ต่างค่อยๆ หันมองมายังเฉินเสียนที่นิ่งเงียบไม่ไหวติง
สายตาขององค์จักรพรรดิทอดพระเนตรอย่างคาดคั้น แล้วเอ่ยถามหลิ่วเหมยอู่ “เจ้าแน่ใจหรือ?”
หลิ่วเหมยอู่ตัวสั่นเทา “บาง…บางทีหม่อมฉันอาจจะมองผิดไป…แต่วันนั้นที่จวนแม่ทัพ ขณะที่หม่อมฉันเดินผ่านสวนหม่อมฉันบังเอิญพบองค์หญิงอยู่ในสวน ตอนนั้นองค์หญิงกำลังเล่นอยู่กับ…ลูกดอกที่คล้ายๆ กันกับอันนี้เพคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ริมฝีปากของเฉินเสียนก็กระตุกอย่างเย็นชา
คาดว่าต้องเป็นเช่นนี้
ตั้งแต่อยู่ในอุทยานอวี้ฮัวน้ำเสียงของหลิ่วเหมยอู่ดูชอบกล นางคาดหวังในสิ่งที่หลิ่วเหมยอู่ต้องการพูด และอย่างที่คาดไว้ นางต้องการใส่ความตนเองต่อหน้าธารกำนัลทั้งหลาย!
ตอนที่อยู่ในจวนแม่ทัพ เรื่องที่เฉินเสียนเล่นลูกดอกไม่ใช่ความลับ หลิ่วเหม่ยอู่จะผ่านไปพบก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แววตาของจักรพรรดิแหลมคมและเย็นชา “จิ้งเสียน นางกล่าวว่าในมือเจ้ามีอีกหนึ่งดอกที่คล้ายกัน จริงหรือไม่? ”
เฉินเสียนมองไปที่หลิ่วเหมยอู่อย่างเรียบเฉย “เหมยอู่ ที่เจ้ากล่าวมาหมายความว่า ข้ากับมือสังหารเป็นพวกเดียวกันงั้นรึ? ”
หลิ่วเหมยอู่ก้มมองลงพื้น “หม่อมฉันมิบังอาจ หม่อมฉันเพียงแค่…พูดความจริง ตอนที่มือสังหารลอบโจมตี องค์หญิงไม่ได้อยู่ในอุทยานอวี้ฮัว หลังจากการลอบสังหารเสร็จสิ้น หม่อมฉันเพียงเห็นองค์หญิงปรากฏตัว”
เฉินเสียนยิ้ม “ข้าอยู่ในอุทยานอวี้ฮัวตลอด เจ้ากับท่านแม่ทัพนั่งอยู่ด้วยกัน จักให้ข้ารบกวนได้อย่างไร จึงถอยไปอยู่ด้านข้าง มิเช่นนั้นคงถูกว่าหาหึงหวงจนดูก้าวร้าว ตอนที่เกิดเรื่องขึ้น ท่านแม่ทัพก็คอยแต่ปกป้องเจ้า ข้าที่กำลังอุ้มท้องกลับไม่มีผู้ใดสนใจไยดี จึงต้องไปหลบซ่อนอยู่ตามชายป่า เหม่ยอู่ นี่เป็นความผิดของข้างั้นหรือ? ”
จักรพรรดิทรงขมวดคิ้ว
เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวของฉินหรูเหลียง ตอนนี้กลับกำลังถูกเปิดโปงภายในห้องโถงนี้ ต้องการทำสิ่งใด? เรียกให้ทุกคนมาดูเรื่องน่าขันงั้นรึ?
แต่จักรพรรดิไม่มีเวลายุ่งเรื่องภายในครอบครัวของฉินหรูเหลียงนักหรอก
หลิ่วเหมยอู่รู้ว่าเฉินเสียนคารมเก่งกาจยิ่งนัก แต่โอกาสเช่นนี้ คาดไม่ถึงเลยว่านางจะปั้นเรื่องขึ้นมาโดยไม่ละอายใจสักนิด กล่าวเพียงแต่ว่าตนสะอาดบริสุทธิ์ ซ้ำยังราดน้ำสกปรกรดลงบนศีรษะหลิ่วเหมยอู่อีก
ผู้พูดไม่ทันได้ไตร่ตรองแต่ผู้ฟังจำขึ้นใจ แล้วผู้อื่นจะคิดอย่างไร?
แน่นอน ย่อมคิดว่านางเป็นเพียงอนุนางหนึ่ง และยังหยิ่งผยอง ไม่รู้จักกาลเทศะ เข้ามาถึงวังหลวงก็ยังไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัว ตรงกันข้ามกับเฉินเสียนที่กำลังตั้งครรภ์แต่หามีผู้ใดคอยดูแลไม่ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
หลิ่วเหมยอู่กัดริมฝีปากตนเองด้วยความโกรธ “ฝ่าบาทให้อภัยหม่อมฉันด้วย อาจ อาจเป็นความเข้าใจผิดของหม่อมฉันก็ได้เพคะ…”
หลิ่วเหมยอู่ครุ่นคิด ตราบใดที่จักรพรรดิทรงสงสัยอยู่บ้าง ย่อมเป็นข้อเสียเปรียบอย่างมากสำหรับเฉินเสียน ตัวตนของนางยิ่งน่าอับอายอยู่แล้ว หากครานี้เข้าไปพัวพันกับมือสังหารอีก จักรพรรดิจะทนนางได้อย่างไร?
แต่ทว่า ในเวลาต่อมาเฉินเสียนกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “กราบทูลฝ่าบาท เรื่องที่เหมยอู่ไม่ควรเอ่ยถึงในวันนี้ หม่อมฉันใคร่ขอชี้แจงแก่ฝ่าบาท หม่อมฉันคงมิอาจปล่อยให้นักฆ่าลอยนวลไปทำให้เป็นภัยต่อฝ่าบาทได้ เหมยอู่กล่าวถูกต้อง หม่อมฉันเคยเห็นลูกดอกที่คล้ายกันจริงเพคะ”
หลิ่วเหมยอู่เงยหน้าขึ้นอย่างไม่เชื่อหูตนเอง จ้องมองไปที่เฉินเสียน
นางคิดไตร่ตรองแล้วหรือไร นี่ไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกรึ?
เฉินเสียนเอ่ยไปตามความจริง “วันนั้นหม่อมฉันและท่านแม่ทัพเดินซื้อของอยู่ที่ถนนในยามเช้า ทันใดนั้นก็มีลูกดอกยิงข้ามอากาศมา เป็นลูกดอกอาบยาพิษ เพื่อต้องการปลิดชีพท่านแม่ทัพ หากท่านแม่ทัพหลบไม่ทัน เกรงว่าคงไม่รอด”
ใบหน้าของหลิ่วเหมยอู่ซีดเซียว เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ เหตุใดนางถึงไม่รู้?
เฉินเสียน… ไปเดินซื้อของด้วยกันกับท่านแม่ทัพ?
และยังลูกดอกนี้อีก…พยายามปลิดชีพท่านแม่ทัพงั้นหรือ?
สีหน้าขององค์จักรพรรดิหมองคล้ำ พระองค์ไม่ทรงตรัสสิ่งใดออกมา
เฉินเซียนกล่าวขึ้นมาอีกครา “หากหม่อมฉันเดาไม่ผิด นักฆ่าในตอนนั้นและนักฆ่าในตอนนี้คงเป็นคนเดียวกัน ที่หม่อมฉันบังอาจคาดการณ์เช่นนี้ นักฆ่าคงต้องการปลิดชีพท่านแม่ทัพเสียก่อน และมาก่อความวุ่นวายในใจกลางเมืองหลวง และถือโอกาสนี้วางแผนขั้นตอนต่อไป กลับคาดไม่ถึงว่าจะแอบเข้ามาในวังในคืนนี้เพคะ”
จักรพรรดิตรัสอย่างขุ่นเคือง “เหตุใดถึงไม่เอ่ยเรื่องนี้ให้เร็วกว่านี้! แล้วเหตุใดตอนนั้นฉินหรูเหลียงจึงไม่จับมือสังหารเสีย? ”
เฉินเสียนก้มศีรษะลง เลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “กราบทูลฝ่าบาท ในขณะนั้นมีผู้คนเดินขวักไขว่กันไปมาบนถนน ร่างกายหม่อมฉันเองก็เดินเหินไม่สะดวก ทั้งมือและเท้าของท่านแม่ทัพก็ไม่อาจขยับได้ จึงได้แต่ปล่อยให้มือสังหารรอดไปได้เพคะ”
ถ้าจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา คงเพราะฉินหรูเหลียงไร้ความสามารถ
องค์จักรพรรดิไม่ทรงตรัสสิ่งใด
เฉินเสียนกล่าวขึ้นมาอีกครา “หากฝ่าบาทไม่ทรงเชื่อ ในเวลานั้นมีแผงขายของอยู่บนถนน ให้ผู้คนแถวนั้นเป็นพยานได้ หรือให้แม่ทัพฉินกับหม่อมฉันมาชี้แจงที่มาของลูกดอกนั้นให้ชัดเจนได้เพคะ”
นางยืดหลังตั้งตรง กล่าวเสียงดัง “หม่อมฉันไม่ละอายที่ต้องให้ตรวจสอบหม่อมฉันเอง หม่อมฉันเพียงแค่ไม่อยากถูกเข้าใจผิดให้เป็นแพะรับบาป!”
หลิ่วเหมยอู่คุกเข่าอยู่บนพื้นนานเกินไป ทั่วทั้งร่างกายแข็งทื่อ นางตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ เล็บจิกลงบนพื้นหินอ่อน เหงื่อเย็นที่ไหลออกมาจากหน้าผาก
คิดไม่ถึงว่ายังมีเรื่องที่นางยังไม่รู้อีก