เสียงหวีดหวิวดังขึ้นในหัวของเฉินเสียนก่อนจะค่อยๆ คลายลง เธอสูดลมหายใจเข้ายาวๆ
ครั้นแล้วอาการปวดท้องก็รุนแรงขึ้น เธอร้องลั่นและเริ่มงอตัวพร้อมกับออกแรงเบ่ง
เมื่อเห็นดังนั้นพวกหมอตำแยต่างก็พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังจากนั้นแต่ละคนจึงช่วยกันทำคลอดตามหน้าที่ของตนอย่างไม่กล้าวางใจ
หมอตำแยผู้กอปรไปด้วยประสบการณ์คนหนึ่งคอยอยู่ข้างๆ กำกับให้เฉินเสียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเบ่ง
เฉินเสียนเหนื่อยจนเหงื่อท่วม เธอยังคงหายใจเข้าลึกๆ และรวบรวมแรงกำลังทั้งหมดที่มี
เธอไม่เคยมีประสบการณ์การคลอดบุตร และรู้สึกคล้ายๆ ว่าตัวเองกำลังก้าวเท้าเข้าไปเหยียบในวังพญายม
แต่เธอจะไม่ยอมให้เด็กคนนี้ก้าวไปที่นั่นพร้อมกับเธอ
หลังจากตั้งครรภ์มาอย่างเนิ่นนานและยากลำบาก เธอจะต้องให้กำเนิดเขาให้ได้
ต้องทำให้ได้
เฉินเสียนจับมืออวี้เยี่ยนแน่น ดวงตาสีนิลคู่นั้นเต็มไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่ นั่นคือความเด็ดเดี่ยวที่สุดที่เธอควรมีในฐานะแม่
ก่อนหน้านี้เธออาจจะเคยไม่เอาใจใส่และไม่พร้อมที่จะเป็นแม่
เธอไม่เคยมีประสบการณ์ความรัก และพอมาอยู่ที่โลกนี้ก็มีลูกขึ้นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
แต่ตอนนี้เด็กกำลังจะออกมาจากครรภ์ของเธอเพื่อลืมตาดูโลก ประสบการณ์และความหวั่นไหวเช่นนี้เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อน
แม้จะเจ็บปวดจนร่างกายแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่เธอก็ทำมันอย่างกล้าหาญและอุตสาหะ
อวี้เยี่ยนน้ำตาคลอและมองเธอด้วยใบหน้าที่ไร้สีเลือด นางกัดริมฝีปากจนได้เลือด ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
อวี้เยี่ยนยังคงให้กำลังใจเธอต่อไป “องค์หญิงอย่ายอมแพ้นะเพคะ อีกนิดเดียว… อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว…”
หมอตำแยเองก็เอ่ยอย่างตื่นเต้นดีใจ “เบ่งอีกเพคะองค์หญิง ตอนนี้เห็นหัวเด็กแล้ว!”
เฉินเสียนกัดฟันแน่น รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ เธอขมวดคิ้วและกรีดร้องเสียงต่ำในลำคอ ขณะเดียวกันก็ออกแรงเบ่งอย่างสุดกำลัง ร่างกายของเธอสั่นเทาและบีบเกร็งถึงขีดสุด แล้วอยู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาจากขอบตา
ในจังหวะสองสามครั้งสุดท้ายเธอไม่รู้แล้วว่าจะออกแรงเบ่งอย่างไร
เธอนึกถึงเสียงของหมอตำแยที่ดังอยู่ข้างหู ส่วนสิ่งอื่นๆ นอกจากนั้นเหลือแต่ความว่างเปล่า
เธอกำลังต่อสู้และดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหมอตำแยร้องออกมาอย่างดีใจ “คลอดแล้ว คลอดแล้ว!”
เฉินเสียนรู้สึกเพียงแค่ว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีถูกดึงออกมาจนหมด เหลือไว้แค่เพียงร่างกายที่ว่างเปล่า
เธอไม่มีแรงแม้แต่จะฝืนลืมตา แล้วดวงตาก็ปิดลงโดยที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะดูอะไร
“องค์หญิง!” อวี้เยี่ยนร้องอย่างตกใจ เมื่อเอื้อมมือไปสัมผัส นางจึงพบว่าหน้าผากของเฉินเสียนร้อนผ่าว
ฝนหยุดตกแล้ว
เสียงหยาดฝนหยดลงมาจากใบไม้สีเขียวชอุ่มและรางกระเบื้องบนชายคา
เมฆดำเหนือศีรษะลอยหายไป เผยให้เห็นท้องฟ้าอันแจ่มใสซึ่งปกคลุมไปด้วยแสงเรืองรองของท้องฟ้ายามเย็น
แสงสีทองยามอาทิตย์อัสดงส่องลงมาบนหลังคาสีเทาตุ่นในสวนสระวสันตฤดู กระทบหยดน้ำฝนบนนั้นจนทอแสงเปล่งประกาย
ฉินหรูเหลียงรออยู่ข้างนอกมาตลอด เขาเห็นแล้วว่าฝนหยุดตก และแสงอาทิตย์ยามเย็นหลังฝนตกก็สวยงามมากเหลือเกิน
และเขาก็ได้ยินหมอตำแยส่งเสียงร้องอย่างดีใจว่าเด็กคลอดออกมาแล้ว
หมัดที่กำแน่นอยู่ตลอดภายใต้แขนเสื้อคลายออกทันที ฉินหรูเหลียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขาไม่มีเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่แห้ง ณ เวลานี้เสื้อผ้าเปียกจนแนบสนิทอยู่บนร่างกายของเขา เขายืนอยู่ใต้ชายคาและหรี่ตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
น้ำฝนหยดลงมาจากชายคาและหยดลงมาที่เบ้าตาของเขาพอดี
แววตาของเขาสั่นสะท้าน
เขาช่วยชีวิตหลิ่วเหมยอู่ไว้ได้
แต่กลับรู้สึกเหมือนสูญเสียอะไรบางอย่างไป
บางทีเขาอาจจะสูญเสียมันไปตั้งนานแล้ว เพียงแค่เพิ่งมารู้สึกตัวและสำนึกได้ในตอนนี้ และเขาก็รู้สึกปวดร้าวเป็นอย่างมาก
พิษของหลิ่วเหมยอู่จวนเจียนจะรอไม่ไหวแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นฉินหรูเหลียงจึงระงับความรู้สึกแปลกๆ เหล่านั้นไว้ เขาไม่เหลียวมองเด็กและรีบนำรกที่หลุดออกมาจากครรภ์ของเฉินเสียนกลับไปที่สวนดอกพุดตานเพื่อนำรกนั้นผสมลงไปในตัวยา
เฉินเสียนเปียกฝนและมีไข้สูงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างการคลอดบุตร
หลังจากคลอดลูกแล้วไข้ก็ยังไม่ลดลง เธอหมดสติไปโดยไม่รู้ตัวและกินยาแทบไม่ได้ อวี้เยี่ยนทำได้เพียงลดไข้ด้วยวิธีที่เฉินเสียนเคยใช้กับฉินหรูเหลียงก่อนหน้านี้
แม้ว่าอวี้เยี่ยนจะเกลียดที่ฉินหรูเหลียงไม่สนใจความเป็นความตายของเฉินเสียน ทั้งยังบังคับให้เธอต้องคลอดก่อนกำหนดเพื่อนำรกของเฉินเสียนไปช่วยหลิ่วเหมยอู่ แต่นางก็ทำอะไรมากไม่ได้เพราะตอนนี้สถานการณ์ของเฉินเสียนไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
แม่บ้านจ้าวยังคงปาดน้ำตาและกล่าวโทษตัวเอง “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ข้าคิดว่าท่านแม่ทัพต้องการจะคุยกับองค์หญิงดีๆ แต่ไม่คิดเลยว่าท่านแม่ทัพจะจะมีความคิดเช่นนี้…”
อวี้เยี่ยนมองแม่บ้านจ้าวอย่างเย็นชาและพูดว่า “ก่อนที่ข้าจะออกไปข้ากำชับแม่บ้านจ้าวไม่รู้กี่ครั้งตั้งกี่ครั้งว่าอย่าทิ้งองค์หญิงไว้เพียงลำพัง ต้องให้องค์หญิงอยู่ในสายตาของท่านตลอดเวลา แต่ท่านกลับลืมมันภายในชั่วพริบตา! ท่านคิดอะไรอยู่แม่บ้านจ้าว ไม่ทันไรก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นคราวที่แล้วเสียแล้วรึ ท่านวางใจปล่อยให้องค์หญิงอยู่กับเขาตามลำพัง ท่านพยายามจะฆ่าองค์หญิงหรือไง!”
แม่บ้านจ้าวรู้ตัวว่าตนเองเป็นฝ่ายผิดและยังคงรู้สึกเสียใจ “ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ…”
อวี้เยี่ยนกล่าว “บนโลกนี้ไม่มีใครเลวยิ่งกว่าหมูกว่าหมานอกจากคนแซ่ฉินอย่างเขา คนเนรคุณ!”
ถ้าอวี้เยี่ยนพูดแบบนี้ก่อนหน้านี้ แม่บ้านจ้าวจะต้องหาทางโต้แย้งแน่นอน แต่ตอนนี้นางเถียงไม่ได้เลยแม้แต่คำเดียว
ตามหลักปฏิบัติของคนทั่วไป หลังจากหญิงมีครรภ์คลอดบุตร พวกเขาจะต้องนำรกไปฝังไว้
ทว่าตอนนี้รกของเฉินเสียนถูกนำไปให้ผู้อื่นกิน แล้วแบบนี้มันจะไปต่างอะไรจากการกินเนื้อคน?
ฉินหรูเหลียงทำสิ่งชั่วร้ายเช่นนี้ได้ลงคอ!
เฉินเสียนตื่นขึ้นมาเพียงครั้งเดียว ตอนที่ลืมตาขึ้นมาดวงตาของเธอแดงก่ำและรู้สึกราวกับโลกกำลังหมุนคว้าง
อวี้เยี่ยนคอยปรนนิบัติดูแลอยู่ข้างกาย ยังไม่ทันพูดอะไรนางก็ร้องไห้ออกมาอย่างอดไม่ได้
เฉินเสียนถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “เด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง”
ทารกในห่อผ้ากำลังนอนหลับอย่างสงบอยู่ข้างๆ เพียงแค่เอื้อมมือออกไปเธอก็สัมผัสเขาได้ทันที
“เป็นโอรสเพคะองค์หญิง” เสียงของอวี้เยี่ยนจุกอยู่ที่ลำคอ
เฉินเสียนค่อยๆ หลับตาและพูดว่า “ไปบอกเหลียนชิงโจวว่าข้าให้กำเนิดบุตรชาย”
“เพคะ”
เธอใช้มืออันเย็นเยียบจับข้อมือของอวี้เยี่ยนเอาไว้ “อย่าบอกเขาว่าทำไมข้าจึงคลอดก่อนกำหนด”
“ทำไมถึงบอกไม่ได้ล่ะเพคะ” อวี้เยี่ยนไม่เห็นด้วย “คนแซ่ฉินไม่รักองค์หญิง แต่มีคนอื่นที่รัก”
“ถึงอย่างไรก็บอกไม่ได้…”
ก่อนที่เฉินเสียนจะหลับใหลลงไป เธอยังคงสงสัยว่าความจริงแล้วเหลียนชิงโจวใช่พ่อของเด็กจริงๆ หรือเปล่า
ถ้าใช่… เธอเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นมามากแล้ว ทำไมจะต้องทำให้พ่อของลูกต้องเจ็บปวดไปด้วยอีกคน
แต่ถ้าไม่ใช่ นี่ก็เป็นเรื่องในครอบครัวของเธอ แล้วเธอจะไปสร้างความกังวลใจให้เหลียนชิงโจวทำไม
หลังจากนั้นเฉินเสียนก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อีก ไม่ว่าอวี้เยี่ยนจะร้องเรียกอย่างไรเธอก็ไม่ตื่นขึ้นมา
อวี้เยี่ยนจะทำใจทิ้งเฉินเสียนไว้คนเดียวได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้นางจึงส่งคนไปส่งข่าวที่จวนของเหลียนชิงโจว
กลางดึก เหลียนชิงโจวรีบไปที่เรือนของซูเจ๋อและบอกเขาว่า “ท่านอาจารย์ องค์หญิงมีพระประสูติการแล้วขอรับ”
ซูเจ๋อชะงัก ครั้นแล้วจึงขมวดคิ้ว “มีพระประสูติการแล้ว? ทำไมจึงมีพระประสูติการทั้งที่ยังไม่ครบเก้าเดือน?”
เหลียนชิงโจวก็ไม่รู้เช่นกัน คนส่งข่าวไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้
ซูเจ๋อลุกจากโต๊ะและปัดตำราหล่นจากโต๊ะโดยไม่ได้ตั้งใจ
ม้วนตำราร่วงลงบนเสื่อทีละเล่มๆ จนระเกะระกะเต็มพื้น
เหลียนชิงโจวไม่เคยเห็นซูเจ๋อลุกลี้ลุกลนขนาดนี้มาก่อน
ซูเจ๋อพึมพำกับตัวเองว่า “แม้ว่าจะคลอดก่อนกำหนดในเดือนแปดเดือนเก้า แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้… นางเป็นคนไม่ค่อยหยุดนิ่ง หรือว่าจะเคลื่อนไหวจนเจ็บท้อง…”
เขาหันกลับไปมองเหลียนชิงโจวและถามว่า “พระองค์เป็นอย่างไรบ้าง เด็กปลอดภัยหรือไม่”