ซูเจ๋อ : “ชื่อนี้น่าฟังกว่าเหลียนข่านตรงไหนกัน?”
“นี่เป็นชื่อเล่น จะทางการขนาดนั้นทำไมกัน?” เฉินเสียนจับแขนและเท้าเล็กๆ ของลูกชายเล่น ยิ้มตาหยี พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “มีลูกชายทั้งคน ไม่เอามาแกล้งเล่นเสียหน่อยน่าเสียดายแย่ แขนและขาอันน้อยๆ วันข้างหน้าข้าจะให้เขาตามหลังข้าคอยเป็นเจ้าภาระน้อยไปซะทุกที่เลย ชื่อเจ้าน่องน้อยไม่เหมาะหรือ?”
สุดท้ายแล้วชื่อเล่นของลูกชายก็ตั้งเสร็จเรียบร้อย ก็คือ “เจ้าน่องน้อย”
ขาน้อยๆ ก็ถีบไม่หยุด เหมือนจะกำลังประท้วง
เพียงแต่ว่าเขายังพูดไม่ได้ จะร้องก็ไม่ร้อง การประท้วงของเด็กน้อยจึงไม่มีผลเลย
“ซูเจ๋อ ดูเหมือนท่านจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่?”
“เพียงแค่อย่าเล่นจนเกินไป ท่านดีใจก็พอแล้ว”
เฉินเสียนถอนลมหายใจ แล้วจึงใช้ผ้าห่อขาน้อยๆ นั่นไว้ หยิกแก้มของเขาเบาๆ แต่เขากลับไม่ตอบสนองอะไร
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “ไม่ยอมร้องเลย ท่านว่าเขาเป็นใบ้หรือเปล่า?”
ซูเจ๋อยื่นมือออกไป สัมผัสผิวตรงขาที่อ่อนนุ่มด้วยปลายนิ้ว ลูบไล้เบาๆ ด้วยความตั้งใจ เมื่อมองลึกเข้าไปผ่านเค้าโครงร่างน้อยๆ นี้ ราวกับว่า
กำลังมองใครบางคนที่ใจของเขาคอยคะนึงถึงเสมอ
ทั้งที่คนผู้นั้นอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ
ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “รอให้เขาครบสักขวบสองขวบก่อน หากยังไม่ยอมส่งเสียงร้อง ค่อยสรุปอีกทีก็ไม่สาย นี่เพิ่งจะกี่วันเอง รีบด่วนสรุปคิดแบบนี้ ไม่กลัวว่าเขาจะเสียใจเอาหรือ?”
“เสียใจหรือ? เขาเป็นเด็กที่แม้แต่เวลาหิวก็ยังร้องไห้ไม่เป็น แล้วจะรู้จักคำว่าเสียใจได้อย่างไร?” เฉินเสียนพูดกับเจ้าน่องน้อย : “เจ้าน่องน้อย เจ้ารู้หรือเปล่าว่าอะไรคือความเสียใจ?”
ซูเจ๋อหัวเราะ
จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอย่างหน้าตาเฉยว่า : “เมื่อครู่เราพูดกันถึงตรงไหนแล้ว ท่านบอกข้าหน่อย ท่านคลอดก่อนกำหนดได้อย่างไร แล้วฉินหรูเหลียงเขาได้ทำอะไร”
เฉินเสียนที่กำลังเล่นกับจมูกและตาของเจ้าน่องน้อย เธอยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : “ซูเจ๋อ เรื่องนี้รู้สึกว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับท่านเสียหน่อย”
“แต่ข้ากลับรู้สึกสนใจ ทำยังไงดีล่ะ”
เฉินเสียนเงยหน้าจ้องไปที่ดวงตาของเขา สำลักลมหายใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไม่ว่าฉินหรูเหลียงจะทำอะไรลงไป เขายอมใช้แขนข้างหนึ่งของเขามาแลกเปลี่ยน แขนของท่านแม่ทัพใหญ่ ก็คงจะสำคัญไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้นข้าไม่ถือว่าเสียเปรียบอะไร”
“งั้นภรรยาที่โปรดปรานของเขาล่ะ?”
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “หนี้ที่นางติดไว้ วันข้างหน้าข้าจะให้ฉินหรูเหลียงชดใช้ ซูเจ๋อ เรื่องนี้เป็นเรื่องของข้า ข้าจะจัดการของข้าเอง”
เงียบอยู่ครู่ใหญ่ ซูเจ๋อจึงพูดขึ้นว่า : “ได้ งั้นก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้ถามก็แล้วกัน”
เขาได้มอบขวดกระเบื้องขนาดเล็กวางลงบนมือของเฉินเสียน
เฉินเสียนถามขึ้นว่า : “นี่คืออะไร?”
“หลายวันก่อนเจ้าไม่ได้ให้ข้าปรุงยาถอนพิษสั่วเชียนโหวหรอกหรือ”
เฉินเสียนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงยิ้มขึ้นพร้อมกับพูดว่า : “ท่านนี่เก่งจริงๆ” เพียงแต่ว่าตอนนั้นที่เธอต้องการจะรีบใช้ยาตัวนี้ พอซูเจ๋อปรุงมาให้ แต่กลับไม่ได้ใช้มันแล้ว
ถึงแม้จะรู้ว่าหลิ่วเหมยอู่แกล้ง แต่เฉินเสียนเองก็เคยคิดจะใช้ยาถอนพิษไปช่วยชีวิตของหลิ่วเหมยอู่
เพียงแต่ว่าฉินหรูเหลียงไม่ยอมเชื่อใจเธอเลยแม้แต่นิดเดียว วันนี้เขาก็ยินดีจะชดใช้ด้วยแขนข้างหนึ่งของเขา และเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจแม้แต่นิดเดียว
“ยังมีของอีกสิ่งหนึ่ง” ซูเจ๋อยกมือขึ้นมา ที่ปลายนิ้วมีสิ่งของสิ่งหนึ่งห้อยอยู่
เมื่อเฉินเสียนจ้องมองดูดีๆ มันคือลูกดอกสีดำที่ครั้งก่อนซูเจ๋อใช้มันเพื่อหลอกล่อเวรยาม
แววตาของเธอเต็มไปด้วยความดีใจขึ้นมาทันที เพราะตั้งแต่ลูกดอกนี้หายไป เธอก็หาอะไรที่ถนัดมือกว่านี้ไม่ได้อีกเลย
พอจะยื่นมือไปหยิบ ซูเจ๋อกลับยกมันขึ้นสูง
เฉินเสียนวางเจ้าน่องน้อยลงบนเตียง แล้วจึงลงมือแย่ง แต่ไม่ว่าจะแย่งยังไงก็แย่งกับซูเจ๋อไม่ไหว จึงเลิกแย่งพร้อมกับพูดขึ้นด้วยความฉุน : “นี่ มีใครเขาคืนของให้กับเจ้าของเดิมแบบนี้กัน?”
ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “ของสิ่งนี้ก็ไม่ได้เป็นของท่านตั้งแต่แรกเสียหน่อย ข้าอุตส่าห์มีน้ำใจช่วยท่านหามันกลับมา จะฟังคำขอบคุณจากท่านสักคำ มันมากเกินไปหรือ?”
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “วันนี้ท่านตั้งใจจะมาโมโหใส่ข้าใช่หรือไม่ ในตอนแรกท่านเป็นคนปาลูกดอกนี่ พอเป็นคนไปเก็บกลับมา แต่ดันมาน้อยใจอย่างงั้นหรือ?”
เมื่อครู่นี้ใครใช้ให้นางยั่วโมโหเขา ตัดสินใจตั้งชื่อเล่นของลูกชายเองคนเดียว
ซูเจ๋อรีบทำตัวดีพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ในตอนแรกข้าตั้งใจจะใช้ปิ่นปักผมของท่านปาออกไป เมื่อกลับไปเก็บมาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องคืนท่าน แล้วข้ายังสามารถเก็บเอาไว้เอง แบบนี้ ไม่เท่ากับว่าข้ากำลังสูญเสียครั้งใหญ่เลยหรือ?”
เฉินเสียนสูดลมหายใจเข้า : “ปิ่นปักผมของผู้หญิงท่านจะเก็บไว้ทำไม? หรือท่านจะฝึกเกล้าผมเหมือนผู้หญิง?”
“เก็บไว้เป็นที่ระลึก”
เฉินเสียนแทบจะสำลัก : “ท่านจะเก็บไประลึกอะไร?”
ซูเจ๋อหรี่ตาลง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “คนบางคนเคยพูดไว้เมื่อไม่นานมานี้ ว่าจะตั้งใจเก็บเงินเพื่อเลี้ยงข้าเป็นนายบำเรอ ข้ากลัวว่านางพูดแล้วจะลืม เพราะฉะนั้นจึงต้องมีของแทนใจ”
“น่าขันสิ้นดี ข้าไปทำข้อตกลงผูกใจกับท่านเสียตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ก็แค่การล้อเล่นขำๆ ท่านจริงจังหรือ?” เฉินเสียนจ้องเขาตาไม่กะพริบ
เขายิ้มขึ้นที่มุมปาก : “ข้าจริงจังสิ ก็ในเมื่อที่ผ่านมานี้ไม่เคยมีคนมาสารภาพรักกับข้าแบบนี้มาก่อน”
“……”
เฉินเสียนอึ้งไปชั่วครู่ พยายามทวนความจำทั้งก่อนและหลังรู้จักซูเจ๋อ สาบานได้เลยว่าเธอไม่เคยสารภาพรักอะไรกับคนคนนี้มาก่อน
เฉินเสียนไม่อยากจะยืดเยื้อให้เสียเวลา จึงพูดขึ้นว่า : “ข้าขอบคุณท่านมาก! ตอนนี้จะคืนของให้ข้าได้แล้วหรือยัง?”
ซูเจ๋อนำลูกดอกมาวางไว้บนมือของเธอ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ของสิ่งนี้คมมาก อย่าทำตัวเองบาดเจ็บล่ะ”
“เชอะ ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย”
เมื่อได้ลูกดอกกลับมาแล้ว บรรยากาศในห้องจู่ๆ ก็เงียบสนิทขึ้นมาฉับพลัน
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “ถ้าหากข้าไม่ออกปากไล่ท่านกลับ ท่านจะยังคงนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเช้าใช่หรือไม่?”
“หากว่าท่านไม่ถือสา จะแบ่งเตียงสักครึ่งหนึ่งของท่านให้ข้านอน ข้าเองก็ยินดีจะนอน”
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “แต่ข้าถือ เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ดึกแล้ว ท่านรีบไปเถอะ ข้ากับเจ้าน่องน้อยจะเข้านอนแล้ว”
ซูเจ๋อลุกขึ้น เดินไปที่หน้าต่าง จากนั้นก็ปิดหน้าต่างลง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เข้าสู่สารทฤดูแล้ว กลางดึกน้ำค้างหนาแน่น อย่าเปิดหน้าต่างให้กว้างเกินไป”
เฉินเสียนมองแผ่นหลังที่โดดเดี่ยวของเขา จู่ๆ ในใจก็รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ซูเจ๋อหมุนตัวกลับมา พูดต่อว่า : “ถ้าเกิดรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่แต่ในห้อง ก็ออกไปเดินเล่นที่สวนได้ จำไว้ว่าอยากไปตอนที่ลมกำลังมา”
“ข้ารู้แล้ว” เฉินเสียนเหมือนกำลังฟังหมอที่คอยกำชับแนะนำข้อห้ามต่างๆ
ซูเจ๋อกระตุกยิ้มที่มุมปาก ภายใต้แสงไฟเขาที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ใช่ยิ้ม แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “งั้นข้าไปก่อน”
เฉินเสียนห่มผ้าให้เจ้าน่องน้อย พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ต่อไปหากไม่มีเรื่องอะไร กลางคืนแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมา ข้าคิดว่ากลางค่ำกลางคืนท่านไม่นอนแต่กลับมาที่นี่ มันจะลำบากเกินไป”
“ข้าจะถือเสียว่าท่านห่วงใยข้า”
เฉินเสียนเม้มปาก แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ที่ข้ากลัวคือท่านจะมาสร้างความเดือดร้อนให้ข้า ท่านขาดแคลนความรักความอบอุ่นขนาดนี้เชียวหรือ?”
ซูเจ๋อยิ้มบางเบา แล้วพูดขึ้นว่า: “ปกติแล้วข้าไร้คนข้างกาย จึงขาดความรักความอบอุ่นเป็นธรรมดา”
“งั้นท่านก็รีบไปหาคนข้างกายสิ”
“ไม่ล่ะ ความตั้งใจของข้าคือการเป็นนายบำเรอขององค์หญิง”
เฉินเสียนเหงื่อซึมทันที
ตอนที่ยังไม่รู้ฐานะของซูเจ๋อ เธอยังคิดว่านี่เป็นแค่เรื่องล้อเล่น ที่แค่พูดเอาตลกขบขัน
แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าซูเจ๋อเป็นบัณฑิตของราชวงศ์ปัจจุบัน เป็นราชครูของบรรดาองค์หญิงและองค์ชายในวัง เธอจะกล้าเอาเขามาเป็นนายบำเรอได้ยังไงกันล่ะ
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยฐานะแบบนี้ ทั้งรูปร่างหน้าตาและพรสวรรค์ คงจะแพงน่าดู
ไม่รู้ว่าจะต้องหาเงินขนาดไหนถึงจะซื้อเขากลับมาได้
หากว่าเธอรับเขามาเป็นนายบำเรอจริงๆ ละก็ คงไม่โดนผู้คนรุมด่าจนไม่เป็นผู้ไม่เป็นคนหรอกหรือ
ไม่ว่าจะคิดยังไงก็รู้สึกไม่คุ้ม เพราะฉะนั้นก็ช่างมันเถอะ
ซูเจ๋อเพิ่งออกไปไม่นาน แม่นมซุยก็เข้ามาให้นมเด็กน้อย
เจ้าน่องน้อยตั้งหน้าตั้งตากินนม จู่ๆ ซูเจ๋อก็ย้อนกลับมา เคาะประตูเบาๆ