ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า “ตอนนั้นเป็นเจ้าเองที่ยืนกรานจะให้กำเนิดเด็กคนนี้ เจ้าเป็นคนฉลาด น่าจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร”
เธอพอจะรู้มาตั้งนานแล้ว ตอนนั้นเธอคิดว่าเธอคงจะไม่รักเด็กคนนี้มากมายอะไร! แต่ตอนนี้เธอกลับทุ่มเทความรักของแม่ลงไปมากกว่าที่คิด
เฉินเสียนเอ่ยว่า “ข้ายอมรับเรื่องนั้น แต่จะให้ข้าไปดูเขาสักนิดไม่ได้หรืออย่างไร”
ฉินหรูเหลียงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่า “ถ้าสบโอกาส ข้าจะไปดูให้ว่าเขาสบายดีไหม แล้วข้าจะกลับมาบอกท่าน”
เฉินเสียนหันกลับไปด้วยสีหน้าว่างเปล่าและกล่าวว่า “ไม่จำเป็น ข้าคิดว่าลูกชายของข้าคงไม่ต้องการจะพบท่าน”
แม้ว่าฉินหรูเหลียงจะเข้าไปในวังแล้ว แต่ในจวนแม่ทัพก็ยังมีการฉลองงานเทศกาลไหว้พระจันทร์
เมื่อความมืดย่างกรายเข้ามา แสงไฟภายในจวนก็สว่างไสว
ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ เหล่าราษฎรต่างมีความสุขสนุกสนาน เฉินเสียนสั่งภายในจวนให้นำอาหารอร่อยๆ จากห้องครัวไปแบ่งปันให้แก่ทุกคนในจวนโดยไม่ต้องเก็บไว้ให้เจ้านาย
คืนนี้ฉินหรูเหลียงไม่อยู่ ในจวนมีนายอยู่สามคนคือที่สวนสระวสันตฤดู สวนดอกพุดตาน และสวนเซียงเสวี่ย ยังมีอาหารเหลืออีกมากนอกจากอาหารค่ำส่วนของเจ้านาย แน่นอนว่าข้ารับใช้ต่างมีความสุขกันมาก
ยังไม่ทันได้กินอาหารค่ำ เฉินเสียนก็เห็นดอกไม้ไฟเบ่งบานอยู่ท่ามกลางฟากฟ้ายามค่ำคืนนอกสวนสระวสันตฤดู
อวี้เยี่ยนที่อยู่ข้างๆ ปรบมือชื่นชม “คืนนี้จะต้องครึกครื้นมากแน่ๆ! คืนวันงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ของทุกปีผู้คนจะฉลองเทศกาลโคมไฟ องค์หญิงดูแสงไฟนั่นสิเพคะ มันส่องแสงจนคืนนี้สว่างไสว”
เฉินเสียนมองตามนิ้วของอวี้เยี่ยนและเห็นว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจริงๆ
แม่นมซุยหยิบเสื้อคลุมมาให้และวางพาดบนไหล่ของเฉินเสียน กล่าวว่า “องค์หญิงอย่าทรงทุกข์ใจไปเลยเพคะ ทุกอย่างย่อมมีหนทางเสมอ เทศกาลเช่นนี้นานทีจะมีหน องค์หญิงอาจจะมีความสุขขึ้น เราออกไปเดินเที่ยวที่ถนนข้างนอกกันดีไหมเพคะ”
ดวงตาของอวี้เยี่ยนเริ่มเป็นประกาย “เอ้อร์เหนียง ไปได้จริงๆ เหรอ”
แม่นมซุยยิ้มและกล่าวว่า “เมื่อปีก่อนบ่าวเคยไปเดินเที่ยว ถือว่าคึกคักและน่าสนใจมากทีเดียว”
อวี้เยี่ยนเอ่ยอย่างใฝ่ฝัน “บ่าวเองก็อยากไปมาตลอดเลยเพคะ แต่เมื่อก่อนอยู่ในวังจึงเข้าออกอย่างอิสระไม่ได้ ในที่สุดตอนนี้ก็มีโอกาสแล้ว”
พูดจบนางก็ดึงแขนเสื้อของเฉินเสียนและออดอ้อนอย่างน่าสงสารว่า “องค์หญิง เราออกไปเดินเล่นกันดีไหมเพคะ”
เฉินเสียนต้านทานความน่าสงสารของอวี้เยี่ยนไม่ไหว ทั้งยังรู้ว่าทั้งสองคนอยากพาเธอออกไปผ่อนคลายจิตใจ เธอเองก็ยังไม่เคยเดินเที่ยวที่ถนนโคมไฟในยุคโบราณอย่างนี้ จึงถือโอกาสตอบตกลงออกไปเดินเล่น
ด้วยเหตุนี้ทั้งสามคนจึงเดินออกไปจากจวนแม่ทัพด้วยกัน
ทั่วทุกหนทุกแห่งเต็มได้ด้วยบรรยากาศแห่งความอิสระและความสนุกครึกครื้นของกระแสแห่งเทศกาล
เมื่ออยู่บนถนนและมองไปรอบๆ จะเห็นโคมไฟเรียงรายสวยงามราวกับผ้าไหม ประหนึ่งดวงดาวที่ทอแสงและกลายเป็นแถบริ้วสว่างไสวหลากสีสัน
ประชาชนต่างพากันออกมาเดินเที่ยวที่ถนนในค่ำคืนนี้ บนถนนมีผู้คนพลุกพล่าน สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าแผงลอยประดับประดาสวยงาม
ทันทีที่ออกมาอวี้เยี่ยนก็ละสายตาไปจากทิวทัศน์บนถนนไม่ได้เลย นางพกกระเป๋าเงินออกมาด้วย อีกสักพักตั้งใจจะไปเลือกซื้อของที่ร้านแผงลอยริมถนน
เฉินเสียนไม่คิดว่าขณะที่เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จะมีใครคนหนึ่งยืนโบกมือให้เธออยู่ที่หัวมุมตรงทางแยก
แม่นมซุยเป็นคนเห็นก่อน นางสะกิดอวี้เยี่ยนและถามว่า “ตรงนั้นมีคนเรียกองค์หญิงอยู่ใช่ไหม”
อวี้เยี่ยนหันไปจ้องมอง จากนั้นจึงสะกิดเฉินเสียนอีกทอดและบอกว่า “องค์หญิง คนที่เรียกองค์หญิงอยู่ตรงนั้นใช่คุณชายเหลียนหรือเปล่าเพคะ”
ทันทีที่มาอยู่ที่ถนน แสงสีที่อยู่รอบๆ ก็ทำให้ความเบื่อหน่ายของเฉินเสียนลดลงไปมาก เธอติดอยู่ในกระแสแห่งเทศกาลเช่นเดียวกับคนอื่นๆ และค่อยๆ กลมกลืนไปกับมัน
เฉินเสียนสั่งว่า “ตอนอยู่ข้างนอกเช่นนี้อย่าเรียกข้าว่าองค์หญิง ให้เรียกว่านายหญิง”
เธอพูดพลางหรี่ตามองไปตามนิ้วของอวี้เยี่ยนที่ชี้ออกไป จากนั้นจึงเห็นเงาคนวูบไหวไปมาอยู่ใต้แสงไฟ มีรถม้าหนึ่งคันจอดอยู่ที่ริมทางและมีใครคนหนึ่งเอนร่างพิงอยู่ที่หน้ารถม้านั่น
คนผู้นั้นแต่งกายด้วยผ้าทอ เขาโบกมือให้เฉินเสียนด้วยสีหน้าที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม
เฉินเสียนฉีกยิ้ม นั่นมันเหลียนชิงโจวไม่ใช่หรือ
เหลียนชิงโจวบอกให้คนขับไปหาที่กว้างๆ เพื่อจอดรถม้า จากนั้นจึงเดินฝ่าฝูงชนมาหาเฉินเสียน ใช้เวลาครู่ใหญ่ๆ จึงเดินมาถึงตัวเธอ
เฉินเสียนยิ้มและพูดว่า “ช่างบังเอิญจริงๆ”
เหลียนชิงโจวยิ้มและเอ่ยอย่างเห็นด้วยว่า “ข้าคิดว่านายหญิงจะพักผ่อนอยู่ที่เรือนสักระยะ ไม่คิดว่าจะพบท่านที่นี่”
เฉินเสียนมองไปรอบๆ และพูดว่า “คืนนี้เป็นคืนแห่งความคึกครื้นไม่ใช่หรือ ข้าเลยออกมาเดินดูเสียหน่อย”
จากนั้นเหลียนชิงโจวกับเฉินเสียนก็เดินเที่ยวไปด้วยกันโดยมีอวี้เยี่ยนกับแม่นมซุยเดินตามมาข้างหลัง
เหลียนชิงโจวเป็นสุภาพบุรุษและรู้ใจเฉินเสียนมาก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ใครเบียดเฉินเสียน เขาจึงเอื้อมมือมากันเธอไว้โดยที่ไม่เอาเปรียบหรือแตะต้องตัวเธอเลยแม้แต่น้อย
เมื่อมาถึงแผงลอยริมถนน เฉินเสียนก็ยิ้มให้อวี้เยี่ยนและกล่าวว่า “เจ้าเดินดูของก่อนก็ได้ แต่อย่าใช้ค่าตอบแทนทั้งปีของเจ้าเสียหมดภายในคืนเดียวล่ะ”
อวี้เยี่ยนกับแม่นมซุยตื่นตาตื่นใจกับสินค้าหลากหลายที่อยู่ตรงหน้าและลองคลำอันนี้ทีดูอันนั้นที
ต่อมาอวี้เยี่ยนก็ชี้ไปที่แผงหน้ากากด้านหน้าและเอ่ยอย่างตื่นเต้นร่าเริงว่า “หน้ากาก! นายหญิง เราซื้อหน้ากากกันดีไหมเจ้าคะ”
ก่อนที่เฉินเสียนจะตอบอะไร อวี้เยี่ยนก็ลากเธอไปแล้ว
มีผู้คนมุงอยู่ที่แผงหน้ากากไม่น้อยเลยทีเดียว หน้ากากแต่ละอันที่ถูกแขวนอยู่บนม่านมีรูปร่างสีสันต่างกันออกไป ทุกคนต่างชี้ไปที่หน้ากากแบบที่ตนเองชื่นชอบและซื้อมาใส่เดินบนถนน
หน้ากากเหล่านั้นมีทั้งลายผี สัตว์ เทพเจ้า และปีศาจ มีทั้งแบบที่ดูนุ่มนวลและแบบที่ดูชั่วร้าย
แน่นอนว่าอวี้เยี่ยนต้องเลือกซื้อหน้ากากที่สวยงาม ส่วนเฉินเสียนเลือกแบบที่ดูชั่วร้ายมาสวม
อวี้เยี่ยนเบ้ปากและเอ่ยว่า “วันนี้เป็นงานเฉลิมฉลอง ทำไมนายหญิงถึงใส่หน้ากากที่ดุร้ายเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ”
ดวงตาที่อยู่ภายใต้หน้ากากของเฉินเสียนเปล่งประกายวาววับ
เธอฉีกยิ้มและกล่าวว่า “หน้ากากของเจ้าใส่แค่วันนี้ครั้งเดียวก็หมดประโยชน์ ปีหน้าก็ต้องซื้อใหม่อีก ส่วนของข้านี่สิ มีประโยชน์ หลังจากใส่คืนนี้ข้าจะเอากลับไปแขวนไว้ที่ประตู เอาไว้กันเสนียดจัญไร ดังนั้นยิ่งดุร้ายเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
เธอทำให้อวี้เยี่ยนขำ ใบหน้ากลมๆ เล็กๆ ของนางแย้มยิ่งอย่างน่ารัก
หลังจากนั้นเหลียงชิงโจวกับแม่นมซุยก็นึกครึ้มตาม ต่างคนต่างเลือกหน้ากากที่จะสวม
เหล่าหญิงสาวที่เดินไปเดินมาบนถนนต่างถือโคมเอาไว้ บางคนก็แต่งกายอย่างดีเดินเที่ยวด้วยกัน เฉินเสียนกับเหลียนชิงโจวเดินเคียงกันไปบนถนนสายยาว เมื่อเงยหน้ามองด้านบนก็จะเห็นแสงไฟหลากสีตัดสลับกันไป โคมไฟกระดาษหลากสีเหล่านั้นทำให้หน้ากากบนใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยแสงสีที่แปลกประหลาด
เธอยืนอยู่บนถนนและเงยหน้ามองอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกเหมือนแสงดาวบนท้องฟ้ามาปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอและอยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อมมือ เป็นอะไรที่สวยงามมากจริงๆ
เธอเอ่ยว่า “เหลียนชิงโจว เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคืนนี้ข้าจะออกมาเดินเล่น”
ใบหน้าของเหลียนชินโจวยังคงฉาบไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและสง่างาม เขาตอบว่า “เกรงว่านายหญิงคงจะเข้าใจผิด ข้าพบกับนายหญิงที่นี่โดยบังเอิญ”
เฉินเสียนเอ่ยว่า “จริงรึ”
เธอถอนสายตาลงมาและหันไปมองใบหน้าที่หล่อเหลาของเหลียนชิงโจว ขณะที่เธอกำลังจะพูดบางอย่าง อยู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนของคนที่อยู่บนถนนดังขึ้น “หลีกไป รีบหลีกไป มังกรไฟมาแล้ว!”
เดิมทีเธออยากจะถามเหลียนชิงโจวเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าน่องน้อย
แต่ทันทีที่มีเสียงตะโกนดังขึ้นมา ทั่วทั้งถนนก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เหลียนชิงโจวช่วยประคองเธอไว้อย่างเอาใจใส่และเอ่ยว่า “นายหญิงขยับมายื่นข้างๆ หน่อยขอรับ อีกเดี๋ยวมังกรไฟจะผ่านมาบนถนนและพ่นไฟออกมา ถ้าบาดเจ็บขึ้นมาจะแย่นะขอรับ”
เฉินเสียนเองก็ถูกดึงดูดความสนใจด้วยสิ่งที่เรียกว่ามังกรไฟเช่นกัน ทั้งยังรู้สึกว่าหากถามเหลียนชิงโจวเกี่ยวกับเรื่องนั้นในตอนนี้จะทำให้เสียบรรยากาศ
เธอปฏิบัติต่อเหลียนชิงโจวในฐานะเพื่อนที่ดี ก่อนหน้านี้เธอคิดเสมอว่าเหลียนชิงโจวเองก็คิดว่าเธอเป็นเพื่อนเช่นกัน ถ้าเหลียนชิงโจวเป็นพ่อของเจ้าน่องน้อยจริงๆ เธอก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเธอควรจะวางตัวอย่างไรต่อไป
ช่างเถอะ อย่าเพิ่งคิดถึงมันดีกว่า