เฉินเสียนยืนอยู่ข้างๆ เหลียนชิงโจว เงยหน้าขึ้นมอง รอคอยการมาเยือนของมังกรไฟเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
ได้ยินมาว่ามาการแสดงมังกรไฟเป็นจุดสำคัญที่สุดของเทศกาลโคมไฟนี้
ผู้คนนับสิบกำลังเชิดมังกรไฟม้วนตัวไปมาภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี ทั้งเดินและพ่นไฟไปด้วยตลอดทาง เวลาเคลื่อนไหวลำตัวของมังกรว่ายไปมาเสมือนของจริง อิทธิฤทธิ์ของมังกรก่อให้เกิดลมฝนได้
อยู่ห่างไกล ยังมองไม่เห็นตัวของมังกรไฟ เฉินเสียนมองเห็นเพียงแค่เปลวไฟอยู่ด้านหน้า ผู้คนบนท้องถนนปรบมือต้อนรับ พร้อมทั้งตะโกนร้องสรรเสริญ
เสียงร้องโห่แสดงความดีใจกันอย่างครึกครื้น ทำให้เฉินเสียนจมหายไปในฝูงชนได้อย่างง่ายดาย
ผู้คนต่างไม่ได้สนใจว่าใครเป็นใคร เพราะต่างรู้เพียงว่ามามีส่วนร่วม สนุกสนาน และเฉลิมฉลองในเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปด้วยกัน
เมื่อคนเชิดมังกรเข้ามาใกล้ มังกรไฟเสมือนจริงค่อยๆ ปีนป่ายขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำการแสดงในจุดที่ทุกคนต่างมองเห็นได้
คนที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดชูคบเพลิงขึ้นสูง ยกมือขึ้นไปบนอากาศแล้วเทเชื้อเพลิงอย่างรวดเร็วจนกระเซ็นเป็นเม็ดเล็กๆ ร่วงลงมา
เมื่อเชื้อเพลิงสัมผัสกับคบเพลิง พลันลุกเป็นไฟขึ้นมาตามแรงลม
เปลวไฟที่ลุกลามทำให้ฝูงชนที่มุงดูอยู่ทั้งสองข้างตื่นตระการตา
เปลวไฟนั้นอยู่ตรงศีรษะมังกรไฟพอดิบพอดี ดูเผินๆ ราวกับมังกรไฟหายใจออกมาเป็นเปลวไฟได้
เชื้อเพลิงที่ยังเผาไหม้ไม่หมด ตกลงมาราวกับเม็ดฝน กลายเป็นกองไฟไปทั่วทุกที่
อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นเขม่าไฟหลังจากที่เชื้อเพลิงถูกเผาไหม้ไปชั่วขณะหนึ่ง
บรรดาผู้ชมที่ต่างคอยืดคอยาวมุงดู ทันทีที่ประกายไฟตกลงมา ต่างพากันค่อยๆ ถอยออกไปทีละนิด
ประกายไฟที่แตกออกมาแม้ว่าจะตกมาใส่ผู้คนแต่กลับดับสลายไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างถอยหลังกลับไป มีแต่เฉินเสียนที่ยังอยู่ตรงนั้น ชื่นชมช่วงเวลาที่สวยงามที่สุด
เวลานั้นเฉินเสียนเงยหน้าขึ้นมองไปยังดวงดาวงดงามบนท้องฟ้า ยืนอยู่ผู้เดียวจนลืมที่จะหลบ
ทันใดนั้นก็มีมือยื่นออกมา จับนางไว้ แล้วพานางหลบออกมาข้างๆ
นางชะงักงัน เดินเซไปสองก้าว ยังเพ่งมองได้ไม่ชัด ก็ตกลงไปในอ้อมแขนเย็นๆ ข้างหนึ่ง
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้นมองไม่เห็น มีเพียงนัยน์ตาคู่หนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน
เขาผู้นั้นเอ่ยเพียงว่า “ระวัง”
ผู้คนพลุกพล่านกันเต็มท้องถนน ค่อยๆ ทยอยไล่ตามมังกรไฟตัวนั้นไป
เฉินเสิยนถูกดันมาจากทางด้านหลัง ทำให้ร่างกายทรงตัวไม่อยู่แนบชิดกับชายหนุ่มยิ่งมากขึ้น
เขาช่วยพยุงเฉินเสียนไว้ คล้องแขนเข้ากับเอวบางของนาง ปกป้องนางไว้ไม่ให้นางถูกผู้คนที่เดินกันอย่างพลุกพล่านชนอีก แต่มือนั้นกลับไม่ได้โอบที่เอวของนางแน่นพอสมควร
เขาจูงเธอ จมหายไปในฝูงชน ไล่ไปตามแสงสว่างที่มังกรไฟคดเคี้ยวทิ้งไว้
เฉินเสียนไม่ได้คิดสิ่งใดมาก ความสนใจของเธอถูกดึงดูดไปด้วยความตื่นเต้นรอบตัว และคิดว่าคนที่จูงตนมาคือเหลียนชิงโจว
เพราะเวลานั้นผู้คนมากมายนัก อวี้เยี่ยนและแม่นมซุยถูกผู้คนบีบให้ข้ามถนนไปอีกด้านอย่างไม่ทันตั้งตัว ดูเหมือนว่านอกจากเหลียนชิงโจวแล้ว เธอก็ไม่มีผู้อื่นอีก
ภายใต้แสงสีมากมายละลานตา เธอไม่อาจบอกสีเสื้อผ้าของเขาได้เลย คิดว่ามันเข้มพอๆ กับสีเสื้อผ้าของเหลียนชิงโจว กลิ่นเขม่าไฟในอากาศครอบงำการรับรู้กลิ่นของเธอ จึงไม่อาจแยกกลิ่นลมหายใจของคนรอบข้างได้ชั่วขณะ
เธอเดินตามเขาไปข้างหน้า
บางคนเดินตามมังกรไฟอยู่สักพักก็ยอมแพ้ ด้วยความรู้สึกที่ว่าไม่อยากเดินไปไกลจากบ้านนัก
แต่เฉินเสียนกลับคิดว่าในเมื่อออกมาเล่นได้สักครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าต้องมีความสุขให้เต็มที่
เธอจูงคนข้างๆ เดินไปกลางถนนตรงส่วนหางของมังกรไฟ แล้วตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “เหลียนชิงโจว เจ้าไม่ต้องกลัว มาเถิด เราต้องเข้าไปในนั้น จะได้เห็นความงดงามที่ผู้อื่นมองไม่เห็น”
คนข้างกายนางหรี่ตามอง ดูประกายไฟนับไม่ถ้วนที่ตกลงมาราวกับฝนดาวตกในยามค่ำคืน มุมปากยกยิ้มอย่างไร้เหตุผล ก้มศีรษะลงเล็กน้อยกระซิบที่ข้างหูของเฉินเสียน “เป็นเช่นนั้นจริงๆ มีเพียงคนกล้าที่ได้เห็น แตกต่างจากผู้อื่น”
เฉินเสียนชะงักไป เงยหน้าขึ้นมองเขา
แต่เขายังคงจูงมือเฉินเสียนเดินไปข้างหน้าต่อ พร้อมด้วยรอยยิ้มลึกๆ “ยังจะชักช้าอีก มังกรไฟว่ายไปไกลแล้ว”
เสียงดังอึกทึกและความคึกคักนั้นค่อยๆ จางหายไป เขม่าไฟนั้นก็ค่อยๆ ห่างออกไปเช่นกัน
เฉินเสียนถูกจูงเดินไปข้างหน้า เธอจ้องมองไปที่บุคคลภายใต้แสงไฟหลากสีผู้นี้ แผ่นหลังผึ่งผายหาผู้ใดเปรียบ
เพิ่งค้นพบว่า เมื่อเสื้อคลุมสีดำนั้นสะบัดออกมาเบาๆ เขาสง่างามราวกับเทพบุตร
แม้เฉินเสียนมองไม่เห็นว่าใบหน้าของเขาเป็นเช่นไรภายใต้หน้ากากผีชั่วร้าย แต่เธอได้กลิ่นไม้กฤษณาบนตัวเขา
เขาไม่ใช่เหลียนชิงโจว แต่เป็นซูเจ๋อ
มังกรไฟที่อยู่ข้างหน้ากำลังโอ้อวดไปทั่วตลาด เฉินเสียนที่คึกคะนองอยู่เมื่อครู่ก่อน บัดนี้รู้สึกราวกับว่าตนเองพ่ายแพ้ไปแล้วสองแต้มอย่างไม่เป็นธรรม
เสียงอึกทึกเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะล่องลอยไปจากบริเวณรอบๆ ทำให้เธอมีความสงบและรู้ตัวขึ้นในทันใด
“ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร?”
“ได้ยินว่ามาเทศกาลโคมไฟที่นี่คึกคักยิ่งนัก”
“ท่านควรไปร่วมงานเลี้ยงในวังไม่ใช่หรือ?”
“งานเลี้ยงในวังมีชีวิตชีวาเสียที่ไหนกันเล่า”
หัวใจของเฉินเสียนข้างในสั่นไหว “ท่านสมรู้ร่วมคิดกับเหลียนชิงโจวมานานแล้วงั้นรึ? ”
มันช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ บนถนน พบว่าเหลียนชิงโจวรออยู่บนทางแยกก่อนแล้ว
เฉินเสียนหันกลับไปมอง ตอนนี้เห็นแค่เหลียนชิงโจวเสียที่ไหน ยังมีเงาของอวี้เยี่ยนและแม่นมซุยด้วย มีเพียงเธอที่อยู่กับซูเจ๋อตามลำพัง
นี่คือสิ่งที่ซูเจ๋อกล่าวไว้ว่า เจอกันครั้งหน้างั้นหรือ?
ซูเจ๋อกล่าว “แม้ไม่มีเขา ท่านยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ข้ามองตาเดียวก็ดูออก”
เฉินเสียนกัดริมฝีปากตนเอง “อวดเก่ง ข้าสวมหน้ากาก ก็ไม่ต่างจากสตรีนางอื่น”
นิ้วมือของซูเจ๋อปัดผ่านชายกระโปรงของเธอเบาๆ สัมผัสขลุ่ยไม้ไผ่ที่เอวของเธอเบาๆ “แต่สิ่งที่ท่านสวมอยู่ไม่เหมือนผู้ใดบนโลกใบนี้”
เฉินเสียนก้มมอง ปรากฏว่าขลุ่ยไม้ไผ่ถูกเปิดออก
“เราต้องตามมังกรไฟไปหรือไม่? ” เฉินเสียนเอ่ยถาม
“อืม”
“แล้วมังกรไฟตัวนี้จะว่ายไปที่ใด?”
“ริมแม่น้ำหยางชุน”
แม่น้ำหยางชุนเป็นจุดเชื่อมต่อกับท่าเรือที่เข้าสู่ใจกลางเมือง ตลิ่งนี้ทั้งยาวและคดโค้ง ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง ระดับน้ำในแม่น้ำจึงลดลง ริมตลิ่งจึงเปิดโล่งกว้างกว่าในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน
แม่น้ำหยางชุนเป็นจุดสิ้นสุดของเทศกาลโคมไฟในสารทฤดูประจำปีนี้
มังกรไฟว่ายไปยังแม่น้ำหยางชุนแล้วจะหยุดลง
ปลายหลิวพลิ้วไหวทั้งสองฝั่งของริมตลิ่ง โคมไฟหลากสีสันแขวนไว้ใต้ต้นหลิว แม้จะไม่มีเสียงรบกวนจากพ่อค้าแม่ค้าริมถนน แต่ก็ยังดูครึกครื้นอยู่มาก
ชายหนุ่มหญิงสาวส่วนใหญ่มารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้ เพื่ออธิษฐานและปล่อยโคมไฟ เหนือผิวน้ำของแม่น้ำหยางชุนเต็มไปด้วยโคมไฟ งดงามราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า
ยังมีผู้คนอีกมากมายปล่อยโคมไฟขึ้นไปบนท้องนภา แสงเทียนริบหรี่ลงเรื่อยๆ ขณะที่โคมลอยขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ช่างสวยงาม
คนเชิดมังกรยังเหลือเชื้อเพลิงอยู่ในมือ เขาโยนเชื้อเพลิงนั้นขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือผิวน้ำ แล้วจุดไฟ ประกายไฟจำนวนไม่ถ้วนร่วงหล่นลงมา ดึงดูดเสียงกู่ร้องชื่นชม
สัมผัสที่ไร้ขอบแดน จิตใจก็ขยายกว้างเช่นกัน เฉินเสียนยืนอยู่ริมแม่น้ำ ยิ้มด้วยจิตใจที่ผ่อนคลาย “คืนนี้สวยจัง”
ซูเจ๋อยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอยากปล่อยโคมสักดวงสองดวงหรือไม่? ”
เฉินเสียนไม่ได้สนใจเสียเท่าไหร่ แต่คิดว่าเป็นสิ่งที่เหล่าหญิงสาวชอบทำ
เสียงของเขาแว่วตามสายลม “อธิษฐานขอพรได้”
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นมองเขา เขาหรี่ตาลงแล้วยิ้มจางๆ “บ้างก็เป็นเรื่องจริง”
เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เฉินเสียนกลับเชื่อในคำพูดของเขาราวกับถูกสะกด