เหลียนชิงโจวบอกว่าเขานำเครื่องปรุงสำหรับทำยาบำรุงมาให้ไม่น้อย แต่เมื่อเฉินเสียนไปที่ด้านหน้าก็พบว่าของเหล่านั้นถูกเก็บไปแล้ว แม้แต่รายการข้าวของเหล่านั้นก็ยังตกมาไม่ถึงมือเธอ
แต่เธอบังเอิญได้ยินบ่าวในจวนพูดกันว่า วัตถุดิบสำหรับทำยาและอาหารที่เหลียนชิงโจวนำมาให้มีค่ามาก แม้แต่ในจวนแม่ทัพก็ยากที่จะพบเห็น
เฉินเสียนยิ้มมุมปาก ในเมื่อแต่ละอย่างล้วนเป็นของมีค่า คนพวกนั้นจึงไม่ยอมให้เธอได้เห็นมันสินะ
แต่ถึงอย่างไรมันก็แค่ของนอกกาย เธอไม่สนใจหรอก
หลังจากเหตุการณ์นี้ฉินหรูเหลียงกับหลิ่วเหมยอู่ก็เงียบหายไป
เฉินเสียนยังคงอาศัยอยู่ที่เรือนหลังเล็กอันทรุดโทรมของเธอ ข้างกายไม่มีคนรู้ใจคอยปรนนิบัติเลยแม้แต่คนเดียว ชีวิตในแต่ละวันของเธอจึงดำเนินไปอย่างเรียบง่าย
เดิมทีที่เรือนเล็กๆ แห่งนี้จะมีสาวใช้จางซื่อรับหน้าที่ดูแล มาคอยทำความสะอาดและดูแลจัดหาอาหารทั้งสามมื้อให้เฉินเสียน
แต่การทำงานของจางซื่อกลับไม่เป็นเช่นนั้น อย่าพูดถึงการปรนนิบัติรับใช้เลย วันๆ เฉินเสียนแทบไม่ได้พบหน้านางด้วยซ้ำ
จางซื่อเป็นคนที่มีอายุพอสมควร เวลาอยู่ในจวนคำพูดของนางจะมีน้ำหนักมาก นางมักจะพูดเสียงดังและวางอำนาจบาตรใหญ่ บรรดาสาวใช้ที่อายุน้อยกว่าจึงไม่กล้าทำให้นางไม่พอใจ
ถ้าเธอจำไม่ผิดจางซื่อผู้นี้เป็นคนเกียจคร้านมาก ก่อนหน้านี้ตอนที่นางดูแลเฉินเสียนผู้โง่เขลานางก็ค่อนข้างกินแรง พอมีอะไรไม่ได้ดั่งใจนิดหน่อยก็ดุด่าทุบตี เฉินเสียนในตอนนั้นก็ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร
ถึงอย่างไรในตอนนั้นก็ไม่มีใครดูแลเฉินเสียนผู้โง่เขลาได้ นางจึงทำได้เพียงปล่อยให้จางซื่อทำตามอำเภอใจ
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น จางซื่อก็นำอาหารมาส่งให้เฉินเสียน
ภรรยาคนที่สองได้รับความรักจากแม่ทัพแต่เพียงผู้เดียว จึงไม่แปลกที่บริวารในจวนตั้งแต่ระดับสูงถึงระดับต่ำจะประจบสอพลอนายเป็นเรื่องปกติ
จางซื่อคิดว่าถึงเฉินเสียนจะเป็นองค์หญิงแต่ก็เป็นแค่อดีตเท่านั้น ดังนั้นความดูถูกเหยียดหยามและไม่อยากแม้แต่จะชายตามองจึงแสดงออกชัดบนใบหน้า
ในขณะนั้นเฉินเสียนกำลังนั่งอยู่ในห้อง จางซื่อบุ่มบ่ามเข้ามาและวางอาหารลงบนโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะเอ่ยอย่างเจ้ากี้เจ้าการว่า “กินซะ! รีบๆ กินให้หมด ข้าจะได้นำถ้วยไปล้าง!”
เฉินเสียนหยิบตะเกียบอย่างใจเย็นและไม่ได้รีบกินในทันที เธอพูดว่า “ตอนกลางคืนอากาศหนาว อีกสักพักเจ้ามาจุดไฟในห้องให้ข้าด้วย” แม้ว่าจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่อุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนแตกต่างกันมาก อีกทั้งผ้าห่มยังบางอีกด้วย เธอหนาวมากจริงๆ
จางซื่อได้ยินแค่นั้นก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ก่อนเฉินเสียนไม่เคยกล้าเรียกร้องอะไรจากนาง นางว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น ตอนนี้นางจึงเอ่ยกับเธอด้วยสีหน้าที่ดุร้าย “จุดไฟอะไรกัน เมื่อก่อนก็ยังอยู่แบบนี้ได้ไม่ใช่หรือ”
เฉินเสียนชายตามองนางและกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าการที่ข้าต้องการจุดไฟนี่มันมากเกินไปงั้นหรือ”
สาวใช้พูดอย่างแดกดันว่า “โอ๊ย ไม่เกินไปกระมัง อย่าคิดว่าตัวท่านกำลังตั้งครรภ์อยู่ เลยทำตัวเป็นแม่ของลูกเมียหลวงหน่อยเลย! มีใครในจวนไม่รู้บ้างว่าเมื่อสองวันก่อนท่านแม่ทัพต้องการกรอกยาทำแท้งให้เด็กในท้องของท่านมากแค่ไหน! ท่านแม่ทัพไม่ได้ต้องการเด็กในท้องของท่านเลยแม้แต่น้อย ข้าแนะนำว่าอย่าฝันกลางวันเสียให้ยาก! ยาทำแท้งที่ท่านแม่ทัพสั่งให้เตรียมน่ะ ข้าตั้งใจต้มอย่างเต็มที่เลย!”
เฉินเสียนเลิกคิ้วมองจางซื่อและฝืนยิ้ม ก่อนจะกล่าวว่า “แหม พูดมาขนาดนี้ ลำบากเจ้าแย่เลย”
เธอไม่เคยคิดจะหาเรื่องใคร แต่คนอื่นกลับคิดจะทำร้ายเธอ
วันนั้นจางซื่อไม่ได้อยู่ที่เรือนหลังเล็กนี่ คนใช้ในเรือนก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง พวกนางได้ยินแค่เสียงร้องของนายหญิงน้อยและเห็นท่านแม่ทัพโอบนายหญิงน้อยออกไปเท่านั้น
เหล่าบริวารในจวนบอกเล่ากันปากต่อปากว่าไม่มีอะไรนอกจากองค์หญิงผู้โง่เขลาเป็นบ้าอีกแล้ว นางคลั่งเหมือนหมาบ้า เห็นใครก็แยกเขี้ยวใส่
จางซื่อได้รับผลประโยชน์จากหลิ่วเหมยอู่เสมอมา ดังนั้นนางจึงพยายามกลั่นแกล้งเฉินเสียน วันนี้เมื่อนางได้ยินว่าหลิ่วเหมยอู่เสียทีให้เฉินเสียน นางจึงอยากจะมาแก้แค้นแทนเพื่อจะได้กลับไปเรียกร้องความดีความชอบจากหลิ่วเหมยอู่
ดังนั้นความโหดร้ายของจางซื่อจึงไม่เคยเหือดหายไป
จางซื่อกล่าวว่า “ทำไมรึ อย่าบอกนะว่าท่านยังหวังว่าท่านแม่ทัพจะสงสารเด็ก ถุย ไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองบ้างเลย! ให้มันรู้ฐานะตัวเองเสียบ้าง ถ้าไม่ยอมเชื่อฟังข้า ระวังข้าจะจัดการท่านเข้าสักวัน!”
พูดจบ จางซื่อก็ยกกำปั้นขึ้นเพื่อขู่เฉินเสียน