ไม่รู้ทำไม เฉินเสียนถึงรู้สึกว่าในจิตใจของเขาแบกรับน้ำหนักสิ่งต่างๆ ไว้มากเกินไป ถ้าหากเป็นไปตามที่เข้าใจ แรงกดดันจะทำให้ผู้คนหายใจไม่ออกเอาได้
ซูเจ๋อปกปิดความลับไว้มากมาย เขาเป็นเหมือนความไม่ชัดเจน
เฉินเสียนกล่าว: “ข้าเคยเป็นองค์หญิงมาก่อนถึงกลัวสิ่งเหล่านี้แต่ก็ยังอภัยให้ได้ ท่านกลัวอะไร? องค์จักรพรรดิก็ปกป้องท่านมากอยู่แล้ว? ซูเจ๋อ ตกลงแล้วท่านมีเหตุผลอันใด? ”
ซูเจ๋อถอนสายตากลับคืนมาแล้วเอียงมองเฉินเสียน
เขายกมือยีผมเธอ ชายเสื้อถูกลมพัดพลิ้วไหวและกล่าวว่า: “อาเสียน ฟังคำพูดของอาจารย์นะ หลังจากนี้เขลาสักนิดก็ดี ทั้งท่านและเจ้าน่องน้อยเขลาสักนิด ชีวิตนี้จะได้ยืนยาว”
เมื่อเจ้าน่องน้อยถูกเอ่ยขึ้นมา จิตใจของเฉินเสียนก็ถูกเจ้าน่องน้อยดูดซับเอาไว้
สีหน้าหม่นหมองและซึมลงเล็กน้อย
นางฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า: “ให้โง่ให้ซื่อสัตย์ไปเพื่ออะไร จะมัวรอให้โจรมาจวนท่านแล้วขโมยเอาทุกอย่างไป และกลัวว่าท่านจะไปแก้แค้นดังนั้นจึงได้เอาท่านมาเป็นเครื่องป้องกัน”
“เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้ว สุดท้ายจวนแม่ทัพย่อมปลอดภัยกว่าในพระราชวัง” ซูเจ๋อเอ่ยเสียงเบา “ช่วงนี้ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ”
เฉินเสียนเอ่ย: “เจ้าน่องน้อยถูกเอาตัวไป ข้าไม่รู้ว่าเขาจะเป็นตายร้ายดียังไง ข้าเป็นแม่ของเขา ท่านคิดว่าข้าจะสบายดีอยู่หรือไม่? ” เธอเอามือข้างหนึ่งประคองที่คางไว้แล้วหันศีรษะให้มองไปอีกด้านหนึ่ง “น่าแปลก ข้าจะเอ่ยสิ่งเหล่านี้กับท่านอย่างไรดี”
ซูเจ๋อกระแอมไอ “ตอนข้าอยู่ในวังได้ไปแอบดูมาแล้ว”
เฉินเสียนรีบหันกลับมาจ้องมองเขา “เป็นเช่นไรบ้าง? ”
“ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาอะไรมาก” เขาเอียงศีรษะเข้ามาใกล้ใบหูของนางเล็กน้อย “หากเทพพระเจ้าไม่อาจช่วยให้ความปรารถนาของท่านบรรลุผลได้ ข้าจะช่วยให้ท่านบรรลุผลเอง”
เฉินเสียนตกใจกับการที่ไม่ได้คำนึงถึงระยะห่างที่ใกล้กันมากของทั้งสองจึงเอ่ยถามว่า: “ท่านมีวิธีทำให้เขากลับมา? ”
ซูเจ๋อลูบผมที่อยู่ข้างใบหูนางให้เรียบแล้วกระซิบด้วยเสียงทุ้ม: “ลูกจะหนีห่างแม่ได้อย่างไร รอข้าอีกสักสองสามวันแล้วกัน”
ขณะนั้นรอบๆ ดวงตาของเฉินเสียนก็ร้อนผ่าวจึงเอ่ยไปว่า: “ซูเจ๋อ หากท่านทำให้เจ้าน่องน้อยกลับมาได้จริง ข้าเฉินเสียนจะจดจำหนี้บุญคุณของท่าน”
เขาถอนหายใจเบาๆ อย่างคลุมเครือ “ข้าต่างหากที่เป็นหนี้ท่าน”
“ท่านพูดอะไร? ”
ซูเจ๋อยกยิ้มที่ริมฝีปาก นิ้วเขี่ยเล่นขลุ่ยไม้ไผ่ที่เอวของเฉินเสียนแล้วเอ่ยว่า: “ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลย ว่าขลุ่ยนี้ท่านชอบหรือไม่”
เฉินเสียนก้มลงไปมองแล้วถือขลุ่ยไม้ไผ่ไว้ในมือและใช้นิ้วลูบเล่นวนรอบไปมา “ท่านบอกว่าจะให้ของขวัญแก่ข้าโดยไม่มีเหตุผล ทำไมกัน? ”
“จะไม่มีเหตุผลได้อย่างไร นี่คือสัญลักษณ์แห่งความรักเชียวนะ”
คราวนี้เฉินเสียนควานหาจับใจความในสายตาของเขา เธอยกยิ้มแล้วเอ่ยว่า: “หากข้าเชื่อท่านจะเจอกับสิ่งที่ไม่ดี”
เธอแก้มัดขลุ่ยไผ่จากเอว ยกมือขึ้นกลางอากาศ หรี่ตามองแสงจันทร์ที่ลอดผ่านเข้ามาและเอ่ยว่า: “นี่ท่านแกะสลักเองเหรอ? ”
“ฝีมือใช้ได้หรือไม่? ”
“ท่านบอกข้าทีว่ายังมีอะไรที่ท่านยังทำไมได้? ” เฉินเสียนเอียงมองสองมือของเขา ปลายนิ้วทั้งสิบถูกตัดแต่งจนเรียวสวย เล็บก็เปล่งประกายราวแสงจันทร์”
มือคู่นี้ของเขาไม่รู้ว่าจะหนักกว่ามือฉินหรูเหลียงมากเท่าไร
ซูเจ๋อเอ่ย “นอกเมืองมีช่างไม้อยู่ท่านหนึ่ง เป็นช่างฝีมือมาหลายชั่วอายุคน เมื่อก่อนว่างๆ ได้ไปฝึกฝีมือกับเขาที่นั่น หากท่านชอบ ครั้งหน้าจะพาท่านไป”
เฉินเสียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม: “การมีทักษะหรือความสามารถบางอย่าง ในอนาคตก็พอที่จะเลี้ยงชีพได้”
“ยังจำวิธีเป่าขลุ่ยได้หรือไม่? ” ซูเจ๋อค่อยๆ เอนหลังลงบนกระเบื้องหลังคา ใบหน้าขาวผ่องหันไปทางดวงดาวและพระจันทร์
คล้ายกับว่าท้องนภาที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้นถูกสายตาเขาจับจ้องไว้หมด
“ท่านดูถูกข้า” ถึงเรื่องอื่นเฉินเสียนจะทำไม่ได้แต่การแสดงศิลปะนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าคำพูด
“งั้นท่านเป่าให้ข้าฟังสักบทเพลงสิ”
ใต้แสงจันทร์สายลมพัดก็ได้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้เฉินเสียนก็จับเข้าที่กลางเลาขลุ่ยแล้ววางที่ริมฝีปากและเริ่มเป่า
เมื่อซูเจ๋อได้ฟังแล้วก็รู้สึกเคลิ้ม สองตาหรี่ลงเล็กน้อย ผมดำขลับแผ่กระจายอยู่ตามเสื้อผ้ามันสวยงามและดูไม่อันตราย
เฉินเสียนยังไม่ทันได้เป่าจบก็เห็นเขาเผลอยิ้มออกมา
เฉินเสียนคิ้วกระตุกและรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขานั้นมีความหมายที่ไม่ดีแฝงอยู่
“ข้าเป่าแย่ขนาดนั้นเลยหรือ? ”เฉินเสียนมั่นใจในตัวเองมากในคาบเรียนดนตรีของตัวเองมาโดยตลอด
ซูเจ๋อยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากเสียงใสและเอ่ยอย่างวางมาดว่า: “เปล่า ข้ารู้สึกว่าการเป่าของท่านมีการพัฒนา”
“แล้วท่านยิ้มอะไร? ”
“หืม ข้ายิ้มไม่ได้หรือ? ”
ความรู้สึกของเฉินเสียนถูกเขาทำลายจนหมดเกลี้ยงจึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า: “เห็นๆ ว่าข้ากำลังเป่าเพลงคิดถึงบ้าน ท่านจะบอกว่ามีอะไรน่าขันเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“ขออภัย ที่ข้าคิดเรื่องนี้โดยไม่ระวัง”
เฉินเสียนเตะเข้าไปที่เขาและกล่าวว่า: “อ๋อ ท่านต้องการฟังข้าเป่าขลุ่ย แต่สุดท้ายกลับคิดเรื่องขลุ่ยและเรื่องอื่นไปด้วยใช่หรือไม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าค่าตัวของนักปราชญ์นั้นแพงมาก!”
โชคดีที่นางรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นมันเป็นราตรีที่แสนหวานชื่นที่สั้นเกินไป….ไม่สิ เฮ้ย! มันเป็นบรรยากาศที่สวยงาม!
ไม่มีใครทำให้เสียบรรยากาศได้เท่าซูเจ๋อแล้ว
ซูเจ๋อจับข้อเท้าของเฉินเสียนไว้อย่างชำนาญและเอ่ยเพียงว่า: “อย่าโวยวายสิ สูงขนาดนี้ถ้าตกลงไปตายได้เลยนะ”
“กลัวอะไร ตกแล้วตายก็ช่างข้าสิ”
“ถ้าท่านไม่โมโหแล้วข้าจะบอกท่านว่าเมื่อกี้ข้ายิ้มทำไม”
เฉินเสียนเหลือบตามองเขาแล้วเอ่ย: “หากข้าบอกว่าข้าไม่อยากรู้ ท่านต้องตะลึงแน่ ท่านไม่บอกข้าเลยต้องเก็บเอาไว้ในใจ เก็บเอาไว้จนท่านตาย”
ซูเจ๋อลุกขึ้นนั่งและจัดชายเสื้อลวกๆ และเอ่ยอย่างเนิบนาบ: “จริงๆ แล้วขลุ่ยนี้…..ช่างเถอะ ข้าจะยังอดกลั้นมันเอาไว้”
เฉินเสียน: “ให้ตายเถอะ ข้าเกลียดการพูดครึ่งๆ กลางๆ ที่สุด ซูเจ๋อนี่ท่านกำลังดึงให้เกลียดอยู่ใช่ไหม? ”
ซูเจ๋อยิ้มแล้วเอ่ย: “จริงๆ แล้วขลุ่ยนี้ข้าเคยเป่าแล้ว ข้ากำลังคิดว่ามันจะนับเป็นจูบทางอ้อมได้หรือไม่”
เขามองใบหน้าที่หม่นลงของเฉินเสียนและเอ่ยว่า: “ท่านรู้สึกไม่ดีหรือไม่ สู้ไม่ให้ข้าพูดเสียดีกว่า”
เฉินเสียนจับที่หน้าผาก; “สู้ท่านไม่พูดยังดีเสียกว่า” หยุดไปพักหนึ่งเธอก็เอ่ยขึ้นอีกว่า: “นี่ทำให้ท่านลำพองใจเกินไปหรือเปล่า คิดๆ อยู่ก็หัวเราะออกมาได้”
“จะมีได้ที่ไหนกันล่ะ” ซูเจ๋อเอ่ยอย่างกลั่นแกล้ง “เอาล่ะ ข้ายอมรับ ความจริงแล้วก็มีนิดหน่อย”
“เพิ่งจะมีเพียงนิดหน่อยหรือ? ทำไมข้ารู้สึกว่าท่านดีใจจนลืมตัวแล้ว” เฉินเสียนไม่ได้โมโหกับความผิดปกตินี้สักนิดและยิ้มออกมา และต่อจากนั้นอยู่ๆ ก็เข้าใกล้ซูเจ๋อ มือคว้าที่ปกคอเสื้อเขาไว้และดึงมาทางตัวเอง
ซูเจ๋อตกใจ ชั่วพริบตาพื้นที่ปลายจมูกเธอก็ถูกหักล้างกันพอดี มันใกล้ชิดกันมากสุดๆ
เพียงครั้งนี้ทั้งสองไม่ได้สวมใส่หน้ากาก
เขามองเห็นสีมันวาวในดวงตาของเฉินเสียนได้อย่างชัดเจน
เฉินเสียนเอ๋ยเสียงเบา: “ซูเจ๋อ แกล้งข้าสนุกมากหรือไม่? แต่เห็นท่านได้ใจขนาดนี้ ข้าก็ไม่ผิดหวัง” ขณะพูดก็ก้มคอดอมดมที่ซอกคอของเขา
“ซูเจ๋อ ท่านหอมมาก”
ซูเจ๋อชะงักไปชั่วขณะ: “……”
เธอเงยหน้ามองเขา กลั้นยิ้มและเอ่ยเบาๆ ว่า: “อยากจูบไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมค้อมเช่นนั้น มันควรที่จะเป็นเหมือนเช่นนี้”
พูดจบเธอก็เอียงศีรษะก้มลงไปที่ริมฝีปาก และจู่ๆ ก็เข้ามาปัดป่ายอยู่ที่ริมฝีปากของซูเจ๋อ
ซูเจ๋อตัวแข็งอยู่บนชายคา ช่วงเวลานั้นที่เฉินเสียนแตะที่ตัวเขา ลมหายใจของเขาทะลุจมูกของเธออย่างลึกล้ำ หัวใจเธอบีบแรงจนเต้นโครมครามราวกับจะระเบิดออกมา
เพียงชั่วพริบตาเดียว เฉินเสียนก็ผละออกจากเขา
นางคิดว่านางต้องถูกอารมณ์เขาทำให้สับสนแน่นอน
แต่ไหนแต่ไรซูเจ๋อชอบมาล้อเล่นด้วย ถ้าจะจริงจังจริงๆ เจ้านี่จะต้องได้ใจอย่างแน่นอน
ในขณะนั้นเฉินเสียนเพียงแค่กำลังคิดและก็ไม่อาจทำให้เขาลำพองใจอย่างนี้ได้