สีหน้าของอวี้เยี่ยนตื่นตระหนก “องค์หญิงกับเขาทำอะไรกันเพคะ?”
เฉินเสียนอารมณ์ดีเมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของนาง หลังจากที่เธอนอนหัวเราะอยู่บนเตียงก็กล่าวว่า “เจ้ากลัวว่าเขาจะรังแกข้าใช่หรือไม่?”
อวี้เยี่ยนพยักหน้าอย่างจริงจัง
เฉินเสียนพูดอย่างสบายๆ “ไม่ต้องกังวล ถ้าจะรังแกก็คือองค์หญิงรังแกเขา”
อวี้เยี่ยนกำลังจะร้องไห้ “ตกลงว่าทำอะไรลงไปเพคะ?”
เฉินเสียนเหลือบมองไปทางด้านข้างของนาง “อวี้เยี่ยน จู่ๆ ทำไมข้าถึงคิดว่าเจ้าคล้ายกับแม่ของข้า”
“บ่าว บ่าวไม่บังอาจเพคะ”
เธอแตะศีรษะของอวี้เยี่ยน หลับตาและยิ้มมุมปากกล่าวว่า “กลับไปนอนเถอะ หลังจากเทศกาลโคมไฟ ข้าก็แค่ไปที่หอชมดาวเพื่อดูดวงจันทร์”
“บ่าวไม่กลับไป บ่าวจะเฝ้าองค์หญิงทั้งคืนเพคะ”
หลังจากนั้นไม่นาน ไม่รู้ว่าเฉินเสียนหลับอยู่หรือไม่ แต่อวี้เยี่ยนรู้สึกไม่สบายใจ กระซิบ “องค์หญิงคิดว่า… เขาเป็นคนดีหรือไม่?”
น้ำเสียงของเฉินเสียนติดง่วงเล็กน้อย กล่าวออกมา “สำหรับคนอื่นข้าไม่รู้ สำหรับข้า นับว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง”
“คืนนี้องค์หญิงแค่ไปงานโคมไฟกับเขาหนึ่งครั้งเองนะเพคะ จะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนดี”
ในหัวที่วุ่นวายของเฉินเสียนราวกับความฝัน มันค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในคืนนั้นเขายืนอยู่บนยอดเขาด้วยดาบในมือเข้ามาถ้ำของโจรป่าเพื่อช่วยเธอให้พ้นจากอันตราย
อย่างไรก็ตาม ในจิตใต้สำนึกของเฉินเสียนเธอรู้สึกว่าเขาไม่ควรมีเลือดเปื้อนมือ
เขาควรจะเป็นเหมือนตอนที่เขาอยู่ในโรงเรียนไท่ในวันนั้น มองผ่านหน้าต่าง เสื้อคลุมของเขาเรียบร้อย แผ่นหลังของเขาเรียว เขายืนขึ้นและเต็มไปด้วยเสียงเขาท่องกลอน
เสียงของเฉินเสียนนุ่มนวลมาก “ไม่ เขาช่วยชีวิตข้า และเคยช่วยข้า ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ข้าคงกลับมาไม่ได้แล้วตอนที่ข้าโดนโจรป่าจับขึ้นไปบนภูเขา”
อวี้เยี่ยนตกตะลึง
เธอคิดเสมอว่าใต้เท้าซูจะไม่สนใจองค์หญิง แต่กลับกลายเป็นว่าเขายื่นมือช่วยองค์หญิง
จากนั้นเฉินเสียนก็เริ่มออกกำลังกายและพักฟื้นหลังคลอดอย่างเป็นทางการ
ซูเจ๋อขอให้เธอรอสองสามวัน และเธอไม่สามารถทำอะไรได้ในช่วงสองสามวันนี้ มิฉะนั้นเธอจะวิตกกังวลมากขึ้น และเธอจึงจะใช้โอกาสนี้เพื่อออกกำลังกาย
ตอนนี้อวี้เยี่ยนกำลังออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อกับเธอที่เรือน
อวี้เยี่ยนร้องด้วยความเจ็บปวดและกล่าวอย่างเหงื่อท่วมตัว “องค์ องค์หญิง…ทำช้าๆหน่อยเพคะ… บ่าว บ่าวจะนำน้ำชามาให้…”
อวี้เยี่ยนอยากจะแอบอู้ จึงหันหลังเดินสองก้าว เฉินเสียนหันหลังให้กับนางในขณะที่ผ่อนคลายและหายใจเล็กน้อยกล่าวว่า “เจ้าก็เช่นนี้ ครั้งต่อไปเจอเซียงหลิง คนที่ถูกทุบจมูกจนหน้าบวมก็อาจจะเป็นเจ้า”
อวี้เยี่ยนกำหมัดของนางและเดินกลับมาเชิดๆ กล่าวว่า “ไม่ บ่าวจะต้องทุบตีพวกมันจนหมดก่อนเพคะ”
“นั่นมันไม่ง่ายเลย แต่ตราบใดที่เจ้ามีพละกำลัง เหมือนกับตอนที่กินข้าวแล้วกลัวว่าจะกินมากไปหนึ่งคำ ไม่ต้องพูดถึงสองครั้ง หรือสามสี่ครั้ง แค่เครั้งเดียวเจ้าก็ไม่ไหวแล้ว”
สองวันต่อมา เธอได้ยินข่าวจากวังว่าเจ้าน่องน้อยที่อยู่ในวังเริ่มไม่กินหรือดื่ม
เดิมทีเขาไม่ได้ร้องไห้หรือสร้างปัญหา จู่ๆ เขาก็ร้องไห้ขณะกำลังดื่มนม และคนดูแลในวังก็ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้
คนในวังไม่มีทางเลือก จึงมาที่จวนแม่ทัพเพื่อขอคำแนะนำในการดูแลเจ้าน่องน้อยในวันธรรมดา
เฉินเสียนกล่าวว่า ในวันธรรมดาไม่มีการดูแลเป็นพิเศษ เขาเพียงแค่กินและหลับและตื่นขึ้นและกิน
หลังจากที่ อวี้เยี่ยนส่งคนในวังออกไปแล้ว เฉินเสียนก็ตื่นตระหนกอยู่ในเรือนครู่หนึ่ง
อวี้เยี่ยนคิดว่าเฉินเสียนกังวลเกินไป และกำลังพยายามพูดอะไรบางอย่างเพื่อปลอบโยนเธอ ไม่ทันไรเฉินเสียนก็หัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน และกล่าวว่า “เขาไม่ได้เป็นใบ้ เขาก็ยังร้องไห้ได้”
หินที่ลอยอยู่ในหัวใจของเฉินเสียนในที่สุดก็ตกลงไปที่พื้น
อวี้เยี่ยนพูดอย่างอ่อนแรง “องค์หญิงไม่กลัวเจ้าน่องน้อยของท่านร้องไห้ในวัง เหตุใดถึงดีใจเช่นนี้เพคะ”
เฉินเสียนกำลังอยู่ในลานและหรี่ตากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอยากจะร้องไห้ก็ร้องให้พอ กลั้นไว้นานๆ ก็จะต้องกลั้นไม่อยู๋ เด็กผู้ชายน่ะ จะไปมีความอ้อนแอ้นที่ไหนกัน”
ถ้าเจ้าน่องน้อยไม่กินไม่ดื่มและร้องไห้ จักรพรรดิไม่มีทางทิ้งงานแล้วไม่สนใจ ไม่เช่นนั้น จะไม่ส่งคนในวังมาที่จวนแม่ทัพเพื่อสอบถาม
ได้ยินว่าเจ้าน่องน้อยร้องทั้งกลางวันและกลางคืน จนดังลั่น คนในวังทนไม่ไหว
เจ้าน่องน้อยถูกเลี้ยงกับองค์ชายน้อย เมื่อเห็นว่าเจ้าน่องน้อยส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อองค์ชายน้อยที่เหลือ มีคนแนะนำจักรพรรดิแล้วว่าควรส่งเจ้าน่องน้อยกลับไปที่จวนแม่ทัพดีกว่า
ลูกยังเล็กอยู่เลย ต้องอยู่กับแม่ คนนอกจะเกลี้ยกล่อมเขาง่ายๆ ได้ยังไง
ดูเหมือนเจ้าน่องน้อยจะเข้าใจสิ่งนี้และไม่ไว้หน้ใครา นมที่พี่เลี้ยงในวังให้ก็อาเจียนออกมาหมด แม้แต่ต่อหน้าจักรพรรดิ เขาก็ไม่สามารถสงบลงได้
ท้ายที่สุด ในตอนเริ่มต้น จักรพรรดิต้องการนำเจ้าน่องน้อยเข้าวังโดยใช้ข้ออ้างที่ว่าลูกจะไม่ร้องไห้ ซึ่งในวังมีความเพียบพร้อมดี และดูแลง่าย
แต่ตอนนี้เจ้าน่องน้อยร้องไห้ และเสียงก็ดังมาก มันมีเหตุผลมากพอที่จะส่งเขากลับไปที่จวนท่านแม่ทัพ
ถ้าจักรพรรดิยังรั้งเจ้าน่องน้อยไว้ ในวังก็คงจะพูดกันไป ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี และเขาจะไม่คุ้มกับการสูญเสีย
ดังนั้นในที่สุดจักรพรรดิก็ส่งเจ้าน่องน้อยกลับคืนมาโดยบอกว่าเด็กยังเด็ก และไม่สายเกินไปที่จะส่งเขาไปที่โรงเรียนไท่หยวนเมื่อเขาโตขึ้น
ทารกถูกนำกลับมาโดยฉินหรูเหลียงก่อนที่จะเข้าสู่ประตูจวนแม่ทัพในเวลานั้น เฉินเสียนก็รีบออกมา
เธอสามารถเห็นรูปร่างเล็กๆ ของทารกในผ้าห่อตัว นั่นคือเจ้าน่องน้อยของเธอจริงๆ
เฉินเสียนยิ้ม ดวงตาเธอเริ่มร้อนผ่าว
เจ้าน่องน้อยผอมและเขากำลังนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของฉินหรูเหลียงในขณะนี้ เขาดูเหมือนจะร้องไห้จนเหนื่อย ยังมีน้ำตาที่ชื้นอยู่ปลายมุมตาที่ปิดอยู่ของเขา
เฉินเสียนจดจ่ออยู่ที่เจ้าน่องน้อย และไม่สนใจว่าใครเป็นคนพาเจ้าน่องน้อยกลับคืนมา
เมื่อเห็นเฉินเสียนยื่นมือออกไปรับ ฉินหรูเหลียงก็ก้มตัวและวางเจ้าน่องน้อยของเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง มือของเขาไปสัมผัสหน้าอกของเธอโดยบังเอิญ แต่เธอกลับไม่ได้สนใจและไม่ได้หลบเลี่ยง
ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า “ตอนนี้เขากลับมาแล้ว รอให้เขาอายุสองหรือสามขวบจึงจะให้ไปร่ำเรียนที่โรงเรียนไท่ ช่วงสองสามปีนี้ท่านสามารถดูแลเขาได้อย่างสงบ”
ในอีกสองหรือสามปี เธอมีเวลาอีกสองหรือสามปี
สำหรับสิ่งที่จะทำหลังจากสองหรือสามปี เฉินเสียนไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
เฉินเสียนเดินกลับมาและพูดว่า “อวี้เยี่ยนกลับไปต้มน้ำและอาบน้ำให้ลูกชายของข้า เอ้อร์เนียง อีกเดี๋ยวมาป้อนนมให้เขา”
นายและบ่าวรับใช้ทั้งสามเต็มไปด้วยความสุข และพวกเขาทั้งหมดทำเหมือนฉินหรูเหลียงเป็นอากาศ
ฉินหรูเหลียงยืนอยู่นอกประตู มองดูแผ่นหลังของเฉินเสียนไปตลอดทาง พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆเรียกดึงสติเขากลับมาเขาถึงได้ก้าวเข้าไปในจวนแม่ทัพ
ระหว่างทางกลับเจ้าน่องน้อยอยู่กับเขา
เขาไม่มีความรู้สึกพิเศษอะไรกับเด็กคนนี้ แต่เมื่อเขาเห็นเจ้าน่องน้อยหลับอย่างน่าสงสาร ร่างกายเล็กๆ ของเขาก็นุ่มนวลและอ่อนโยน ฉินรูเหลียงเคยแต่รำดาบและถือปืน จะเคยอุ้มเด็กอ่อนนุ่มแบบนี้ที่ไหน
ในขณะนั้น ความรู้สึกแปลกๆ ก็เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ถ้าเจ้าน่องน้อยเป็นลูกของเขาจริงๆ ก็ไม่เป็นไร
กลับมาที่เรือน ทั้งสามคนกำลังยุ่งกับการทำงาน เก็บของให้เจ้าน่องน้อย เมื่อแม่นมซุยให้นมอีกครั้ง เจ้าน่องน้อยก็อ้าปากและกินนมทันที
รูปลักษณ์ที่หิวโหยอย่างยิ่งนั้นน่าเอ็นดูและน่ารักจริงๆ
แม่นมซุยถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าเจ้าน่องน้อยจะทรมานมากในวัง”