ขณะที่ซูเจ๋อเดินเข้ามาใกล้ เฉินเสียนก็หันกลับมาและเอากริชชี้ไปที่เขา “ถ้าท่านเข้ามาใกล้อีกละก็ ระวังข้าจะฟาดท่านจริงๆ ด้วย”
“งั้นข้าไม่เข้าไปแล้วก็ได้”
เฉินเสียนรู้สึกว่าความเปียกชื้นยังคงไหลออกมาเรื่อยๆ เธอผละไปจากตรงนั้นพลางบอกว่า “ท่านรออยู่ตรงนั้นละ ข้าจะไปจัดการทำความสะอาดเอง”
ซูเจ๋อถามว่า “นำน้ำจากลำธารมาทำความสะอาดน่ะหรือ”
“ถ้าไม่ทำอย่างนั้นจะทำอย่างไรได้อีกเล่า!”
“ไม่ได้ น้ำในลำธารเย็นเกินไป ท่านจะไม่สบาย”
ซูเจ๋อเดินเข้ามาจากทางด้านหลัง เฉินเสียนอยากจะหยิบกริชขึ้นมาทำร้ายเขาเสียจริงแต่ว่าทำไม่ลง และเธอก็ไม่อยากทำร้ายเขาด้วย เธอบังคับมือและเท้าไม่ได้ ผลก็คือเขาชิงกริชไปได้และใส่กลับลงฝักด้วยความรวดเร็ว จากนั้นจึงคว้ามือของเธอไว้และหันหลังเดินลงไปจากภูเขา
ซูเจ๋อเอ่ยว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่มองหรอก”
เฉินเสียนรู้สึกว่าไม่มีเรื่องไหนจะน่าขายหน้าเท่าวันนี้อีกแล้ว
เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามซูเจ๋อไป โชคดีที่เธอเดินอยู่ข้างหลังและซูเจ๋อก็ไม่ได้หันกลับมามอง เขาจึงไม่เห็นความอึดอัดใจของเธอ
เมื่อลงมาถึงข้างล่าง บริเวณหน้าอกของเฉินเสียนก็เปียกเป็นวงกว้าง
ใกล้ถึงเวลาพลบค่ำ ดวงอาทิตย์กำลังหายลับไปในหุบเขา
แดดเริ่มอ่อนแสงลงและลมหนาวในยามสารทฤดูก็ทำให้เฉินเสียนรู้สึกหนาวขึ้นมา
ซูเจ๋อยืนอยู่ที่เชิงเขา เขาหันหลังให้เฉินเสียนและถอดเสื้อคลุมออก จากนั้นจึงยื่นเสื้อคลุมนั้นมาคลุมร่างกายของเธอไว้
เฉินเสียนรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากเรือนกายของเขาที่กระทบลงมา เธอตกใจและชะงักไปเล็กน้อย
ซูเจ๋อหันกลับมาและกระชับเสื้อคลุมให้ จากนั้นจึงกล่าวว่า “แบบนี้ข้าก็จะไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ท่านเองก็จะอุ่นขึ้นด้วย”
เขาเอื้อมมือไปใต้เสื้อคลุมและกุมมือของเฉินเสียนไว้แน่น จากนั้นจึงจูงเธอเดินไปบนถนนที่เงียบเหงาและเปล่าเปลี่ยว
บนถนนสายนี้ไม่มีใครเลยสักคน
แสงอาทิตย์ยามอัสดงทำให้เงาของทั้งสองคนทอดยาวออกไป และสุดท้ายก็ไปทาบทับกันอยู่กลางทุ่งนา
ลมที่ปะทะมาจากทางด้านหน้าทำให้ชายผ้าและผมของซูเจ๋อเปิดขึ้นมา ชายผ้าที่แขนเสื้อของเขาโบกสะบัดและพาดลงมาบนมือของเฉินเสียน สัมผัสนั้นเบาบางและนุ่มนวลราวกับการกระพือปีกของผีเสื้อ
มือข้างหนึ่งของเฉินเสียนถูกเขากุมไว้ ในขณะที่มืออีกข้างใช้รวบกระชับเสื้อคลุม เธอถามว่า “ท่านหนาวไหม”
ซูเจ๋อหรี่ตาลงท่ามกลางสายลม เขายิ้มน้อยๆ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้เคลิบเคลิ้ม “หัวใจอบอุ่น จะหนาวได้อย่างไร”
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เธอพบว่าแสงอาทิตย์ยามอัสดงที่ฉาบฉายอยู่บนแผ่นหลังของเขาให้ความรู้สึกที่มั่นคงและพึ่งพาได้อย่างบอกไม่ถูก
นี่คือช่วงแห่งสารทฤดูที่แท้จริง เสื้อผ้าของเธอเปียกชื้นและมันทำให้เธอรู้สึกหนาวเล็กน้อยในฤดูอันหนาวเหน็บเช่นนี้
แต่มือที่กุมมือของเธออยู่ใต้เสื้อคลุมนั้นอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ยามวสันตฤดู
เมื่อหัวใจของเธอคิดว่าหัวใจของเขาอบอุ่นแค่ไหน ทีละน้อยๆ… เธอก็ไม่รู้สึกหนาวอีกต่อไป
ไม่มีรถม้ามารับพวกเขาเลยตลอดทาง ดูเหมือนซูเจ๋อเองก็ไม่ได้คิดจะพาเธอกลับไปที่เมืองหลวง
พวกเขาเดินออกจากถนนหลวงและตรงไปตามคันนาเล็กๆ หลังจากเดินอ้อมเนินดินลูกหนึ่งไปก็ไปเจอหมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ด้านหลังเนิน ซึ่งเวลานี้กำลังมีกลุ่มควันลอยโขมง
ผู้คนกำลังทำอาหาร เมฆหลากสีในยามเย็น สายลมโชยและท้องฟ้าสีคราม เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปก็จะเห็นความงดงามอันน่าทึ่ง เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามราวกับภาพวาด
เป็นโลกที่สวยตระการตาไม่มีสิ่งใดเทียบ
“ทำไมไม่ตรงกลับเข้าเมือง มาที่นี่ทำไม” เฉินเสียนถาม
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ฟ้ามืดแล้ว อีกไม่นานประตูเมืองก็จะปิด ถึงกลับไปตอนนี้ก็ไม่ทัน”
“เรานั่งรถม้าได้”
ซูเจ๋อหรี่ตาและเอ่ยว่า “ที่ชานเขามีรถม้าให้ท่านนั่งที่ไหนกัน”
“แล้วรถม้าที่เรานั่งมาล่ะ”
“ข้าบอกให้เขากลับไปก่อนแล้ว”
เฉินเสียนเอ่ยอย่างโกรธๆ ว่า “ข้าว่าท่านต้องตั้งใจแน่ๆ ท่านตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะไม่กลับวันนี้ใช่ไหม! ท่านอยู่คนเดียวจึงไม่สนใจ แต่ข้ายังมีครอบครัว เจ้าน่องน้อยกับอวี้เยี่ยนและเอ้อร์เหนียงกำลังรอข้าอยู่ ข้าต้องกลับคืนนี้! พอไปถึงหมู่บ้านข้าจะลองดูว่าจะหายืมรถมาใช้ได้ไหม ถ้ารีบหน่อยบางทีอาจจะกลับเมืองทันก็ได้”
“เอ้อร์เหนียงกับอวี้เยี่ยนจะดูแลเจ้าน่องน้อยอย่างดี ท่านยังไม่วางใจอีกหรือ”
“แน่นอนว่าข้าไม่วางใจ!”
“เทียบกับสิ่งนี้ ท่านกำลังกังวลว่าฉินหรูเหลียงจะซักไซ้ไล่เลียงท่านทั้งคืนไม่ยอมปล่อย หรือว่าไม่วางใจที่จะค้างคืนข้างนอกกับข้ากันแน่”
เฉินเสียนสำลักและพูดว่า “ข้ากับฉินหรูเหลียงต่างคนต่างอยู่ เขามีสิทธิอะไรจะมาซักไซ้ข้า”
ซูเจ๋อยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นท่านก็ไม่ไว้ใจที่จะค้างคืนกับข้าข้างนอก”
เฉินเสียนรู้สึกขัดใจขึ้นมาฉับพลัน “เหตุใดท่านจึงต้องชวนเปลี่ยนเรื่องด้วย”
ซูเจ๋อเอ่ยเนิบๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกว่ามีนายช่างไม้คนหนึ่งอาศัยอยู่นอกเมืองและบอกว่าวันหลังจะพาท่านมา ถ้าข้าจำไม่ผิด ดูเหมือนท่านจะตอบรับแล้วด้วย”
เฉินเสียนชะงัก “ท่านจะบอกว่านายช่างไม้ที่สอนท่านแกะสลัก อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้งั้นหรือ”
เมื่อเข้าไปในหมู่บ้าน เสียงเห่าของสุนัขก็ดังขึ้นเกรียวกราวมาจากท้ายหมู่บ้าน เป็ดไก่วิ่งเข้าเล้าพร้อมกับเสียงเจ้าของบ้านยืนตะโกนลากเสียงยาวอยู่ใต้ชายคา
ซูเจ๋อเคาะประตูรั้วบ้านหลังหนึ่ง
แล้วป้าแก่ๆ ซึ่งมีผมสีดอกเลาคนหนึ่งก็เปิดประตูออกมา
ดูเหมือนซูเจ๋อจะคุ้นเคยกับนางเป็นอย่างดี เมื่อเห็นว่าเป็นซูเจ๋อนางก็รีบชวนเขากับเฉินเสียนเข้าไปข้างใน
ทันทีที่เข้ามาในเรือนเฉินเสียนก็สะดุดตากับงานแกะสลักอันหลากหลายที่แกะสลักไว้อย่างประณีตงดงาม เป็นงานที่นายช่างไม้สูงอายุท่านนั้นวางมือไม่ลงและต้องหยิบขึ้นมาฝึกมือทุกวัน
หญิงชราบอกว่างานแกะสลักคือชีวิตจิตใจของนายช่างไม้ เขามีลูกศิษย์ลูกหามาก แต่ไม่มีใครมุ่งมั่นและมีฝีมือมากเท่ากับซูเจ๋อ ดังนั้นเขาจึงเป็นที่รักของนายช่างไม้มาก
หลังจากที่หญิงชรารับรู้ถึงปัญหาของเฉินเสียน นางก็พาเธอไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่สะอาด
เฉินเสียนเปลี่ยนไปสวมชุดของชาวบ้านและมวยผมก่อนจะเดินออกมาจากด้านหลัง หญิงชราจ้องมองเธอตรงๆ และพยักหน้าอย่างชื่นชม “เป็นเด็กที่งามอะไรเช่นนี้!”
หลังจากนั้นเฉินเสียนก็มองไปรอบๆ เรือนด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ซูเจ๋อกับนายช่างไม้กำลังคุยกันอยู่ที่ห้องโถง
นายช่างไม้มองไปที่เฉินเสียนซึ่งอยู่ในเรือน เคราสีดอกเลาของเขาสะบัดเล็กน้อย “หลายปีก่อนเจ้ายอมเรียนรู้งานฝีมือจากข้า เจ้าบอกว่าอยากจะแกะสลักเป็นของขวัญให้ใครบางคน หมายถึงแม่หนูผู้นั้นใช่ไหม”
ซูเจ๋อนั่งคุกเข่าคุยกับเขาอย่างนอบน้อมในฐานะที่อายุน้อยกว่า เขามองผลงานแกะสลักที่อยู่ในมือนายช่างไม้พลางพูดว่า “ทำให้อาจารย์หัวเราะเยาะเสียแล้ว”
“ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเริ่มฝึก สิ่งแรกที่เจ้าแกะสลักคือหุ่นรูปคน เจ้าได้มอบให้แล้วหรือยัง”
ซูเจ๋อยิ้มน้อยๆ แววตาของเขาดูเต็มไปด้วยความนัยขณะที่กล่าวว่า “ตอนนั้นข้ายังไม่ชำนาญ แกะสลักออกมาได้ไม่ดี ภายหลังนางจึงคืนมันให้ข้า”
“ตอนนี้ฝีมือของเจ้าดีขึ้นมาก ลองทำใหม่แล้วนำไปให้นางเสียสิ นางจะได้ดีใจ” นายช่างไม้พูดพลางหัวเราะหึหึ
ซูเจ๋อหันไปมองในเรือน สายตาหยุดอยู่ที่ร่างนั้นแล้วพยักหน้า “ขอรับ”
หากนำความงามของโลกนี้เข้าไปไว้ในเนื้อไม้ได้ เขาจะแกะสลักสิ่งที่ดีที่สุดมอบให้เธอ ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด แต่เพียงเพื่อแลกกับรอยยิ้มของเธอ
เฉินเสียนหันไปมองทางห้องโถงและสบตาเข้ากับซูเจ๋อพอดี แสงไฟในห้องนั้นค่อนข้างสลัว ทว่านัยน์ตาสีดำสนิทของเขากลับพราวระยับดั่งดวงดาว
เธอรู้สึกแปลกๆ อยู่เสมอราวกับว่านายช่างผู้นั้นกับซูเจ๋อกำลังพูดถึงเธอลับหลัง
กล่าวได้ว่าซูเจ๋อมีความเกี่ยวพันกับพวกเขาค่อนข้างมาก
และสิ่งนี้คือสิ่งที่เฉินเสียนเพิ่งรู้หลังจากที่ร่วมนั่งกินอาหารเย็นกับพวกเขา
เมื่อหลายปีก่อนซูเจ๋อถูกคนตามล่า เขาหมดสติอยู่ในป่าและโชคดีที่สองสามีภรรยาเข้ามาช่วยเหลือไว้เขาจึงรอดชีวิตมาได้ ระหว่างที่พักฟื้นอยู่ที่นี่เขาจึงได้เรียนรู้งานแกะสลักจากผู้เป็นอาจารย์ ซึ่งแม้ว่าเวลาจะผ่านมานานหลายปีแต่ฝีมือของเขาก็ไม่เคยตกเลย
หลังจากหมดเวลาอาหารมื้อเย็น ตะเกียงน้ำมันก็ถูกจุดขึ้นในห้องโถง เฉินเสียนมองนายช่างไม้แกะสลักลวดลายอย่างสนใจใคร่รู้ จากนั้นจึงเริ่มศึกษาวิธีอย่างจริงจัง
มีดแกะสลักในมือของนายช่างเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ผ่านไปไม่นานก็แกะสลักเป็นรูปสัตว์ตัวเล็กๆ ได้หนึ่งตัวซึ่งดูเหมือนจริงมากๆ
เฉินเสียนถือมีดแกะสลักไว้เหมือนกัน เธอพยายามทำเลียนแบบแต่กลับแกะออกมาแล้วดูเลอะเทอะ
หญิงชราขยิบตาให้นายช่างไม้อยู่หลายครั้ง