ผู้เป็นอาจารย์รู้ตัวค่อนข้างช้า แต่ในที่สุดเขาก็เข้าใจและกลับไปพักผ่อนที่ห้องพร้อมกับหญิงชรา ทั้งยังบอกเฉินเสียนว่าถ้าอยากเรียนก็ขอคำแนะนำจากซูเจ๋อได้ ถึงอย่างไรซูเจ๋อก็เป็นลูกศิษย์ฝีมือดีของเขา
ห้องโถงดูว่างเปล่าลงไปถนัดตา และความเงียบก็เข้าปกคลุมอยู่พักใหญ่
เฉินเสียนถือท่อนไม้ไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งถือมีดแกะสลักไว้ เธอแกะไปแกะมาพลางชวนคุย “ทำไมท่านถึงชอบทำงานฝีมือเช่นนี้หรือ”
“มันช่วยขัดเกลานิสัยและทดสอบความอดทนของคนได้” ซูเจ๋อกล่าว “ยิ่งชอบมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องสร้างขึ้นอย่างประณีตมากเท่านั้น”
ซูเจ๋อถามว่า “ท่านสบายตัวขึ้นบ้างหรือไม่”
เฉินเสียนพยักหน้า
เธอรู้สึกสบายตัวขึ้นเยอะ อาการปวดบวมหายไปแล้วทั้งยังรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
ซูเจ๋อเอื้อมมือมาจากทางด้านหลังและจับไม้ในมือของเธอไว้ จากนั้นจึงจับมือที่จับมีดแกะสลักของเธออย่างนุ่มนวล
เสียงของเขาดังขึ้นที่ข้างหู “อย่าใช้แรงกดมากเกินไป ไม่อย่างนั้นนิ้วจะด้านได้ง่ายๆ”
เขาไม่รอช้าและรีบปรับท่าทางให้เฉินเสียน จากนั้นจึงถามว่า “อยากแกะสลักอะไร ข้าจะสอนท่านเอง”
เฉินเสียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบไปโดยไม่คิดอะไรว่า “งั้นแกะสลักรูปท่านก่อนก็แล้วกัน แล้วท่านค่อยดูว่าเหมือนหรือไม่เหมือน”
ซูเจ๋อจับมือของเธอให้เริ่มขยับมีดแกะสลักพลางยิ้มน้อยๆ “ถ้าเช่นนั้นท่านห้ามทำเล่นๆ ต้องตั้งใจทำอย่างประณีต”
เศษไม้ขนาดเล็กจากฝ่ามือค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้น
เฉินเสียนกำลังจดจ่ออยู่กับการมองไม้ในฝ่ามือค่อยๆ ปรากฏเป็นโครงร่างของซูเจ๋อ แล้วอยู่ๆ ก็ถามขึ้นมาอย่างแผ่วเบาว่า “เหตุใดเมื่อหลายปีก่อนท่านจึงถูกตามล่าจนบาดเจ็บสาหัสหรือ”
ลมหายใจของซูเจ๋อระอยู่ที่ต้นคอของเฉินเสียนอย่างนุ่มนวลและอ้อยอิ่ง เขากล่าวว่า “การเปลี่ยนถ่ายอำนาจการปกครอง เมื่อมีการเปลี่ยนราชวงศ์ย่อมมีการนองเลือดเพื่อเสียสละ เพียงแต่ข้าโชคดีและรอดชีวิตมาได้”
เขาเอ่ยอย่างสบายๆ ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเอง ทว่าหัวใจของเฉินเสียนกลับหดเกร็งเมื่อได้ฟัง “ท่านมีส่วนร่วมในความวุ่นวายของราชสำนัก?”
“ข้าเป็นเพียงขุนนางฝ่ายพลเรือนที่อ่อนแอ” เฉินเสียนอยากจะถามต่อแต่ซูเจ๋อกลับกระชับมือเธอและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “มีสมาธิหน่อย ถ้าแกะคิ้วข้าเบี้ยวขึ้นมาละก็น่าเกลียดแย่”
อาจเป็นเพราะเฉินเสียนเริ่มหมกมุ่น หลังจากนั้นเธอจึงไม่ได้ถามอะไรอีก
เธอตั้งตารอดูการปรากกฎตัวที่สมบูรณ์แบบของซูเจ๋อในมือของเธอ
เธอคล้อยตามคำพูดของซูเจ๋อที่ว่า ยิ่งชอบมากเท่าไรก็ยิ่งต้องตั้งใจทำอย่างประณีตมากเท่านั้น และเธอไม่ยอมพลาดทุกรายละเอียด
เวลาล่วงมาจนมืดค่ำโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว
ซูเจ๋อเตือนเธออยู่หลายครั้งกว่าเธอจะยอมกลับไปพักผ่อนที่ห้อง
กว่าจะแกะสลักได้เป็นโครงเป็นร่าง เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงคืน
เฉินเสียนขมวดคิ้วมองอยู่ครู่ใหญ่ทว่าก็ยังหาเสน่ห์ของซูเจ๋อไม่เจอ เธอรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ซูเจ๋อหยิบหุ่นกระบอกขึ้นมาและเอ่ยเรื่อยๆ ว่า “ถ้าท่านเรียนรู้จนถ่องแท้ได้ภายในคืนเดียว ท่านจะไม่แย่งงานคนอื่นหมดหรอกหรือ ไม่ต้องร้อนใจไป ข้ายังอยู่ทั้งคนไม่หนีไปไหน เมื่อใดที่ท่านอยากแกะสลัก ข้าจะเป็นแบบให้ท่านอีก”
เฉินเสียนเหลือบมองเขาและกล่าวว่า “หลงตัวเองให้น้อยลงหน่อยเถอะท่าน ข้าแค่ใช้ท่านเพราะจะฝึกมือ”
ซูเจ๋อซึมลงไปเล็กน้อย “ข้าเผลอคิดไปว่าข้าแตกต่างจากผู้อื่น ที่แท้ก็เป็นข้าที่เข้าใจผิดไปเอง”
ที่นี่มีห้องว่างเพียงแค่ห้องเดียวซึ่งหญิงชราจัดเตรียมไว้ให้พร้อมแล้วตั้งแต่ก่อนเข้านอน
เฉินเสียนกำลังคิดว่าควรจะหาเชือกสักเส้นมามัดซูเจ๋อตอนนอนดีไหม ทว่าถึงอย่างไรทักษะการต่อสู้ของเขาก็ไม่ใช่ธรรมดา
เมื่อมองเข้าไปในห้อง เฉินเสียนก็พบว่าตัวเองกังวลมากเกินไป
แม้จะมีเตียงเพียงหลังเดียวภายในห้องที่สะอาดเรียบร้อยนี้ แต่ก็มีผ้าปูที่นอนอีกชุดปูไว้บนพื้นเรียบร้อยแล้ว
ตอนที่หญิงชราเข้ามาเตรียมห้อง นางกลัวว่าเฉินเสียนจะอายจึงไม่ได้ถามเธอและไปสืบถามจากซูเจ๋อแทน
และนี่ก็เป็นการจัดตามความต้องการของซูเจ๋อ
ซูเจ๋อเข้าไปก่อนและหันกลับไปมองเฉินเสียนที่ยังยืนเหม่ออยู่ที่หน้าประตู อดไม่ได้ที่จะหรี่ตามองเธอ เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ทำไมล่ะ นึกเสียใจหรืออย่างไร”
เฉินเสียนจ้องเขาเขม็ง “สายเกินไปแล้วที่ข้าจะดีใจ”
เฉินเสียนเข้ามาในห้องและเตรียมจะเข้านอน เธอเห็นซูเจ๋อนั่งอยู่บนผ้าปูทั้งชุดนั้น เขาชันขาขึ้นมาและเคลื่อนไหวอย่างเกียจคร้าน จากนั้นจึงกล่าวว่า “ยื่นมือออกมาสิ”
เฉินเสียนถาม “ทำไม”
เขาหยิบยาขี้ผึ้งออกมาและใช้นิ้วเกลี่ยตัวยาขึ้นมาบางๆ จากนั้นจึงจับมือของเฉินเสียนไว้และทายาลงบนปลายนิ้วที่เพิ่งจับมีดแกะสลักของเธอ
“ต่อไปนี้ท่านต้องจำเอาไว้ ไม่ว่าจะแกว่งหมัดหรือจับมีด หลังจากเสร็จกิจท่านต้องทายาขี้ผึ้งเสมอ ถ้าทำแบบนี้ผิวจะไม่ด้าน ร่องรอยจะลดน้อยลง”
ทันใดนั้นเฉินเสียนก็ตระหนักขึ้นมาได้ “มิน่าเล่าข้าจึงเห็นว่าท่านมีฝีมือการต่อสู้ดีเยี่ยม แต่กลับยังมีมือที่ถือพู่กันได้อย่างชำนาญ”
ถ้าหากมือของเขาหยาบกร้านเหมือนฝ่ามือของฉินหรูเหลียง ก็จะมองออกได้ง่ายว่าเขาเป็นคนที่ฝึกศิลปะการต่อสู้
ซูเจ๋อทามือให้เธอจนทั่วและกล่าวว่า “ต่อแต่นี้ไปทุกๆ กลางเดือนหากมีเวลาว่าง ข้าจะฝึกศิลปะการต่อสู้กับท่าน”
เฉินเสียนถามว่า “หากจะฝึก ข้าหาหุ่นไม้มาฝึกก็ได้แล้ว ทำไมต้องฝึกกับท่านด้วย”
เขาหรุบตาลงและเอ่ยว่า “ข้าอาจจะไม่ใช่ครูที่ดี แต่ข้าก็คุ้นเคยกับการสอนการบ้านผู้อื่น เอาละ เข้านอนเถอะ”
เฉินเสียนนอนราบลงไปและเหลือบมองเขา เขาเองก็ค่อยๆ ทิ้งตัวลงนอนเช่นกัน
เฉินเสียนหลับตาลง ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
น้ำค้างด้านนอกหน้าต่างเริ่มหนาตาจนดูคล้ายกับชั้นน้ำค้างแข็งบางๆ
เฉินเสียนถูกปลุกโดยซูเจ๋อในเช้าตรู่วันต่อมา ในเวลานั้นมีรถม้ามาจอดรอรับอยู่ที่ริมถนนแล้ว
หากกลับในเวลานี้พวกเขาทั้งสองคนยังพอจะทันเข้าเมืองเป็นกลุ่มแรก
หลังจากอำลาคู่สามีภรรยาชรา เฉินเสียนจึงเดินสะลึมสะลือตามซูเจ๋อไปขึ้นรถม้า
ในเวลานี้ท้องฟ้ายังสลัวๆ เฉินเสียนกำลังครุ่นคิดว่าหากกลับไปถึงแล้วเธอจะไปนอนต่อ
เมื่อใกล้จะถึงเมืองซูเจ๋อก็พูดขึ้นมาว่า “เมื่อคืนเพลียมาก กลับไปต้องพักผ่อนให้เต็มที่”
เขาไม่พูดก็ไม่มีใครว่าอะไร คำพูดนี้มัน… ฟังดูคลุมเครืออย่างไรก็ไม่รู้
เฉินเสียนเบ้ปาก “ท่านพูดให้ดีหน่อยได้ไหม เมื่อคืนนี้มีอะไรให้เพลียมิทราบ”
ที่หว่างคิ้วของซูเจ๋อแฝงไปด้วยรอยยิ้มจางๆ “เมื่อคืนพลิกไปพลิกมาตั้งครึ่งค่อนคืนกว่าจะหลับ ท่านไม่เพลียบ้างหรือ”
เฉินเสียนเอามือกุมขมับและตัดสินใจหยุดต่อล้อต่อเถียงกับเขา
ซูเจ๋อหยิบหุ่นกระบอกออกมาและลูบไล้เบาๆ พลางกล่าวว่า “โชคดีที่ไม่เปล่าประโยชน์ไปเสียทั้งหมด”
เฉินเสียนจ้องมองและพูดว่า “ท่านนำมันกลับมาด้วยทำไม”
เธอเอื้อมมือไปคว้าหวังจะชิงมันมา แต่ซูเจ๋อชูมือขึ้นทำให้เธอคว้าพลาด
เวลานี้รถม้าเข้าประตูเมืองมาแล้ว เฉินเสียนจึงจำต้องนั่งลงอย่างอดทนอดกลั้น
ซูเจ๋อพาเธอไปส่งที่ทางเข้าตรอกซึ่งตรงเข้าไปยังจวนแม่ทัพ ก่อนจะลงจากรถม้า อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า “เมื่อวานตอนที่ท่านไปที่ตรอกไป่จยา นอกจากที่อยู่ของหมอผู้นั้น ท่านยังรู้อะไรอีก”
เฉินเสียนเลิกคิ้ว “ซูเจ๋อ ท่านช่างอดกลั้นจริงๆ ท่านอุตส่าห์ข่มความสงสัยเรื่องเมื่อวานเอาไว้และเพิ่งจะมาถามวันนี้เนี่ยหรือ ท่านไม่อกแตกตายได้อย่างไรกันนะ”
เธอนั่งลงอีกครั้งและพูดว่า “ท่านถามขึ้นมาก็ดี ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าควรจะเริ่มตรวจสอบที่มาที่ไปของหลิ่วเหมยอู่อย่างไรดี ได้ยินสาวใช้ของนางบอกว่านักฆ่าเรียกเธอว่าเชียนเสวี่ย และนางก็เรียกนักฆ่าผู้นั้นว่าท่านพี่”
“เชียนเสวี่ย” ดวงตาของซูเจ๋อหรี่แสงลง “หลิ่วเซียนเสวี่ย”
เฉินเสียนถามว่า “ทำไม ท่านรู้จักรึ”
ซูเจ๋อยิ้มและพูดว่า “เหมือนจะเคยได้ยินมาก่อน”
“ให้ตายเถอะ ท่านรู้จักจริงๆ ด้วย นางไม่ใช่คนที่ฉินหรูเหลียงพากลับมาจากชายแดนหรอกหรือ” เฉินเสียนครุ่นคิด “ตอนแรกข้ารู้สึกว่าชื่อนี้ฟังดูคุ้นหู เป็นไปได้ไหมว่าฉินหรูเหลียงกำลังปิดบังอะไรเอาไว้”