เฉินเสียนประสานมือหลังท้ายทอย พูดขึ้นอย่างใจเย็น : “งั้นข้าก็คงต้องขอบใจท่านมาก ที่เดินทางมาตั้งไกลเพื่อจะมาช่วยข้า”
“แค่นี้?”
เฉินเสียนยิ้มตาหยี พร้อมพูดขึ้นว่า : “ไม่อย่างงั้นท่านจะเอายังไงอีก เวลานี้ ท่านยังต้องเข้าวังเพื่อไปสอนตำรามิใช่รึ”
“ใช่ ข้าจะสายแล้ว”
“งั้นไว้คราวหน้าข้าค่อยเชิญท่านทานอาหาร ถือเสียว่าเป็นการขอบคุณท่านก็แล้วกัน คงจะได้อยู่มั้ง”
จากนั้นทั้งคู่จึงพากันเดินออกจากตรอกทางตัน
เฉินเสียนเห็นเขาเดินอย่างใจเย็น จึงพูดขึ้นว่า : “ท่านจะสายอยู่แล้ว ทำไมถึงยังเดินเอ้อระเหยลอยชาย ไม่รีบหรือ?”
“สายก็สายไปแล้ว รีบไปจะมีประโยชน์อะไร ส่งท่านกลับไปก่อนค่อยว่ากัน?”
เมื่อออกจากตรอกมาแล้ว เธอหันไปมองข้างๆ ก็เห็นซูเจ๋อยกมือขึ้นไปบนหน้า เมื่อเขาวางมือลงมาแล้ว จึงพึ่งเห็นว่าเขาได้สวมหน้ากากอีกครั้ง
เฉินเสียนถามขึ้นว่า : “ไปหาหน้ากากมาจากไหน?”
“ซื้อจากตลาดเมื่อครู่นี้ ท่านอยากจะซื้อหรือ?” ทั้งคู่ก็กำลังเดินไปทางร้านขายหน้ากากพอดี
เฉินเสียนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ซื้อไว้สักอันก็ดี เผื่อว่าจะถูกคนกลุ่มนั้นจำหน้าได้”
ทั้งคู่จึงพากันสวมหน้ากากที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนไปทั่ว
ตอนนี้ อวี้เยี่ยนและหลิวอีกว้านั่งหมอบอยู่ตรงหัวมุมของตรอกๆหนึ่ง
อวี้เยี่ยนที่ร้องไห้จนแทบจะเป็นมนุษย์น้ำตา หลิวอีกว้าที่อายจนเหงื่อท่วมหน้า จึงพูดขึ้นว่า
“เจ้าหยุดร้องได้แล้ว ผู้คนที่ตลาดเยอะขนาดนี้ เห็นเข้าจะไม่ดี จะคิดว่าข้าไปทำอะไรมิดีมิร้ายกับเจ้า ถึงแม้เจ้าจะไม่ใช่รสนิยมของข้า แต่ผู้คนจะเอาไปนินทาเอาได้”
อวี้เยี่ยนที่ยังแต่งตัวเป็นคุณชายน้อย ทั้งสะอื้นทั้งร้องไห้น้ำตาท่วม ดึงดูดความสงสัยของผู้คนไปทั่ว
สายตาของผู้คนมองหลิวอีกว้าและอวี้เยี่ยนสลับกันไปมา ตบท้ายด้วยการมองหลิวอีกว้าด้วยสายตาที่เอือมระอา
อวี้เยี่ยนที่พยายามหยุดร้อง จึงพูดขึ้นว่า : “เป็นเพราะท่าน! ทำข้าพลัดหลงกับคุณชาย! ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณชายละก็……ฮือๆๆ……”
หลิวอีกว้าจึงพูดขึ้นว่า : “น้องชายผู้นี้ เมื่อครู่สถานการณ์มันฉุกละหุก เป็นคุณชายของเจ้าที่เป็นคนฝากเจ้าไว้กับข้า ข้าเองก็ทำทุกอย่างที่ทำได้และใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อพาเจ้าหนีความซวยมาหลบอยู่ที่นี่ แล้วทำไมเจ้าถึงยังย้อนมากัดข้าล่ะ?”
“ข้าใช้ให้ท่านพาข้าหนีหรือไง ท่านมันคนขี้ขลาดกลัวตาย! ใครอยากจะหนีไปกับท่านกัน เป็นข้าที่บอกให้ท่านปล่อยแต่ท่านกลับไม่ยอมปล่อยต่างหาก!”
อวี้เยี่ยนดวงตาแดงก่ำและสะอึกสะอื้นไม่หยุด
หลิวอีกว้าจึงพูดขึ้นว่า : “ถ้าหากตอนนั้นข้าปล่อยเจ้าไป เจ้าก็ไปเป็นภาระเกะกะเขาไม่ใช่หรือ?”
เขาพูดพลางเหลือบไปมอง แล้วจึงพูดต่อว่า : “วางใจเถอะ คุณชายของเจ้าดวงชะตาสูงส่ง ฟ้าสวรรค์จะปกปักรักษาให้แคล้วคลาดปลอดภัย ไม่เป็นอะไรหรอก”
อวี้เยี่ยนพูดทั้งสะอื้น : “จริงหรือ? ท่านรู้ได้อย่างไรว่าจะไม่เกิดเรื่อง?”
หลิวอีกว้ายิ้มอย่างมั่นใจ : “เมื่อครู่นี้ข้าเห็นคุณชายของเจ้าวิ่งไวกว่าข้าเสียอีก ไม่มีเจ้าเป็นตัวถ่วง คุณชายคงจะสลัดหนีได้อย่างราบรื่น”
อวี้เยี่ยนรู้สึกฉุนจัดขึ้นมาทันที จึงลุกขึ้นแล้วลงมือทั้งเตะทั้งต่อยหลิวอีกว้า
เฉินเสียนกลับเข้าสู่เส้นทางถนนอีกครั้ง ตามหาอยู่พักหนึ่ง จึงหาอวี้เยี่ยนที่ยังปลอดภัยไร้บาดแผลจนเจอ
อวี้เยี่ยนเข้าสวมกอดเฉินเสียนร้องไห้ดีใจ
เฉินเสียนจึงปลอบใจนาง : “พอแล้ว พอแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว”
จากนั้นเฉินเสียนก็หันไปมองหลิวอีกว้า เมื่อเห็นใบหน้าของเขาแล้ว เธอก็ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจทันที : “พวกเจ้าก็โดนตามล่าหรือ?”
หลิวอีกว้าลูบใบหน้าเบาๆ แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “เฮ้อ อย่าไปพูดถึงเลย น้องชายของท่านมือหนักไม่ใช่เล่น”
อวี้เยี่ยนพูดขึ้นด้วยความรู้สึกผิด : “เมื่อครู่นี้เพราะหาคุณชายไม่เจอ ข้าน้อยทั้งกังวลทั้งร้อนใจ จึงพลั้งมือตีเขาขอรับ”
จากนั้น เฉินเสียนก็ไปจัดยาและเตรียมค่าเสียขวัญให้เขา พร้อมกับได้กำชับเขาว่าช่วงนี้ให้อยู่บ้านก่อนอย่าพึ่งออกมาเที่ยวเตร่ข้างนอก เผื่อว่าจะถูกจับไปซ้อมเอาได้
เฉินเสียนและอวี้เยี่ยนพากันบอกลาหลิวอีกว้า แล้วจึงพากันกลับจวนท่านแม่ทัพ
ซูเจ๋อยืนอยู่ที่หัวมุมไกลออกไป มองเธอเดิน
เพื่อปกป้องรักษาความปลอดภัยของเธอ เขาจึงสาวเท้าเดินตามหลังเธอไป จะได้เห็นเธออยู่ในสายตาตลอด
ระหว่างทางจู่ๆ อวี้เยี่ยนก็ถามขึ้นว่า : “คุณชายหนีจากคนพวกนั้นได้อย่างไรกัน?”
เฉินเสียนก็นึกถึงซูเจ๋อขึ้นมา เธอก้มหน้าลง แววตาปรากฏรอยยิ้มบางๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “โชคดีที่มีคนผ่านมาเห็นเข้าพอดี จึงเข้ามาช่วยข้าไว้”
“หา? ใครกัน เก่งมากไหมขอรับ”
เฉินเสียนจึงตอบกลับไปว่า : “เก่งสิ ตีจนคนพวกนั้นไม่เป็นผู้ไม่เป็นคนเชียวล่ะ ทั้งหล่อเหลาและกล้าหาญชาญชัย”
คำพูดของเธอล่องลอยไปกับสายลม เข้าหูของซูเจ๋อไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
ซูเจ๋อยกยิ้มมุมปาก
คงคิดว่าพูดคำพูดพวกนี้แล้วจะ……แต่ก็มีผลต่อเขาจริงๆ
“ดีจังเลยขอรับ คราวหน้าหากเจอกับนักดาบผู้นั้นอีก จะต้องขอบคุณเขาอย่างเป็นทางการให้ได้! คุณชาย หน้ากากนี้ได้มาจากไหนหรือขอรับ?”
“ตอนกลับมากลัวว่าจะถูกจำหน้าได้ ก็เลยไปซื้อหน้ากากมา”
อวี้เยี่ยนจึงพูดขึ้นอย่างรังเกียจ : “ทำไมเวลาคุณชายเลือกของแต่ละอย่างถึงน่าเกลียดขนาดนี้ ทำไมถึงไม่เลือกอันที่สวยๆ หน่อยขอรับ”
เฉินเสียนพูดขึ้นอย่างใจเย็น : “คนบางคนหน้าตาดี ไม่ว่าจะสวมหน้ากากอะไรก็ดูดีไปเสียหมด”
อวี้เยี่ยนหลุดหัวเราะ
ตัวอวี้เยี่ยนเองไม่รู้ว่าคนที่เฉินเสียนพูดถึงไม่ใช่ตัวเธอ
จนเมื่อเห็นเฉินเสียนเดินเข้าจวนท่านแม่ทัพแล้ว ซูเจ๋อจึงค่อยหมุนตัวจากไป
เฉินเสียนหลบอยู่ในจวนหลายวันอย่างสบายใจ คนกลุ่มนั้นไม่สามารถตามหาเธอที่จวนท่านแม่ทัพได้
เจ้าน่องน้อยดูเหมือนจะจ้ำม่ำขึ้นนิดหน่อย ผิวขาวเนียนละเอียด แขนขาเป็นชั้นๆ ราวกับรากบัวไม่มีผิด
ไม่เหมือนกับตอนที่พึ่งคลอดใหม่ๆ ที่เอาแต่นอนทั้งวันทั้งคืน
และวันนี้ก็ตื่นทั้งวัน เมื่อตื่นเฉินเสียนได้พาเขาไปอาบน้ำอุ่นในอ่าง
อาบอยู่หลายครั้ง การที่ได้เล่นเนื้อเป็นชั้นๆ ของเขาเป็นจุดประสงค์หลัก
ทุกครั้งที่ถึงเวลาอาบน้ำ เฉินเสียนมักจะคอยนับห่วงน้อยๆ รอบแขน ขาและลำตัวของเขา
ขาและมือเล็กๆ นั่นดิ้นไม่ยอมหยุด ดูแล้วเหมือนปูน้อยที่กำลังแยกเขี้ยวแยกกรงเล็บไม่มีผิด แววตานั้นเต็มไปด้วยความสบประมาทเอาเรื่องทีเดียว
เฉินเสียนจึงสอนสั่งปลูกฝังเจ้าน่องน้อยว่า : “เจ้าน่องน้อย วันข้างหน้าหากแม่เจ้าตกลงไปในน้ำ เจ้าจะต้องมาช่วยแม่รู้หรือเปล่า? ดูเจ้าสิ ทั้งตัวเจ้ามีแต่ห่วงน้ำ ก็ควรจะเอาจุดเด่นของตัวเองมาใช้หน่อยไม่ใช่หรือ?”
เจ้าน่องน้อยถีบขา น้ำจึงกระเด็นเต็มหน้าของเฉินเสียน
อวี้เยี่ยนที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะจนหน้าหงาย : “องค์หญิง พูดแบบนี้เจ้าน่องน้อยจะไม่ชอบใจเอา เขามีศักดิ์ศรีของตัวเอง องค์หญิงควรจะชมเขาเยอะๆ แบบนี้วันข้างหน้าเขาจึงจะมีความมั่นใจในตัวเองเพคะ”
เฉินเสียนใช้นิ้วอ้าช่องห่วงอ้วนๆ แต่ละชั้นบนขาของเขา แล้วจึงลูบทำความสะอาดพลางพูดขึ้นว่า : “ข้าดูแล้วเจ้ามีความมั่นใจเหลือล้นจริงๆ ถึงขั้นกล้าท้าทายอำนาจของแม่เจ้าเชียว”
ช่วงสารทฤดูเข้าสู่เหมันตฤดูน้ำอุ่นจะเย็นค่อนข้างไว เมื่อเฉินเสียนอาบน้ำให้เขาสะอาดแล้ว จึงค่อยเอาผ้าขนหนูมาห่อตัวเขาแล้ววางลงบนเตียง จากนั้นก็เลือกเสื้อผ้าที่จะให้เขาใส่ในวันนี้
เวลาที่เจ้าน่องน้อยนอนหลับ มักชอบจับเฉินเสียนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย มือน้อยๆ ที่อ่อนนุ่มนั่นพลอยทำให้เฉินเสียนเองก็ไม่อยากจากไปไหน และเธอก็มักจะนอนข้างๆ เขาเสมอ
เจ้าน่องน้อยนอนหลับสนิท เฉินเสียนก็อ่านตำราพลาง
อวี้เยี่ยนเข้ามาเปิดหน้าต่างของหอนอน ให้แสงแดดอบอุ่นยามสารทฤดูเข้าสู่เหมันตฤดูได้สาดส่องผ่านหน้าต่างมา เพียงเท่านี้ชีวิตก็ดูสบายดีแล้ว
ช่วงที่ผ่านมานี้ในจวนท่านแม่ทัพไม่ได้มีเรื่องขัดแย้งอะไรกัน ต่างคนต่างอยู่ในเรือนของตัวเอง มีเพียงเซียงซั่นและหลิ่วเหมยอู่ที่ยังเกลียดชังและคอยหาเรื่องกันอย่างไม่ลดละ สองคนนี้เป็นข้อยกเว้นที่มิอาจเลี่ยงได้
ช่วงนี้เซียงซั่นได้รับการโปรดปรานจากฉินหรูเหลียงเป็นพิเศษ ฉินหรูเหลียงได้นอนค้างที่สวนเซียงเสวียติดต่อกันหลายคืน
สีหน้าเซียงซั่นเปล่งปลั่งงดงาม แต่ความเจ็บปวดรวดร้าวนั่น มีเพียงตัวนางเองที่รู้
ทุกยามเช้า เมื่อสาวใช้เข้ามาปรนนิบัติเซียงซั่นหลังตื่นนอน ก็เห็นร่างกายของนางที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ รอยเก่ายังไม่ทันหาย รอยใหม่ก็มาซ้ำอีก