ความโศกเศร้าปะทุออกมาจากเบื้องลึกหัวใจของเซียงซั่น ความทุกข์ทรมานที่ขมขื่น จนใจและจนปัญญา ไม่นาน แม้แต่จิตใจที่คร่ำครวญต่อโชคชะตาก็ไม่หลงเหลืออีกเลย
เมื่อยาออกฤทธิ์เต็มที่ นางเอื้อมมือไปคว้าเสื้อผ้าของตัวเอง พยายามที่จะปลอบใจตัวนางเอง
เมื่อออกจากหอหมิงเย่ว์ อากาศด้านนอกสดชื่นไม่น้อย เฉินเสียนที่ดมกลิ่นธูปหอมในหอนั่นค่อนข้างนาน จึงรู้สึกค่อนข้างวิงเวียนและปวดหัว
เฉินเสียนสูดลมหายใจเข้าลึก เธอพยายามดึงข้อมือออก แต่ซูเจ๋อกลับไม่ยอมปล่อย มือของเขาจับที่ข้อมือของเธออยู่ ราวกับหยกอุ่นๆ ก็ไม่ปาน
เฉินเสียนถูกเขาพาออกจากหอหมิงเย่ว์ไปทั้งอย่างนั้น จำใจถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ จากรอบๆ
เพราะว่าซูเจ๋อเป็นชาย และเฉินเสียนเองก็ยังแต่งตัวเป็นชาย
ชายทั้งสองจับมือถือแขนพากันเดินออกมาจากหอหมิงเย่ว์ บัดสีบัดเถลิง!
ถนนบุปผาเส้นนี้คึกคักครื้นเครงดูมีชีวิตชีวา ขอทานที่อยู่ใกล้ๆ แถวนี้ก็พากันมาขอทานที่นี่หมด หวังเพียงว่าหลังจากที่ลูกค้าเข้าออกหอนางโลมจนพึงพอใจแล้ว จะใจกว้างโยนเศษเงินให้กับพวกเขาบ้าง
แต่แล้วซูเจ๋อที่พึ่งจะพาเฉินเสียนออกจากหอหมิงเย่ว์ ก็เจอเข้ากับขอทานสี่ห้าคนที่ถือชามไว้ พูดขึ้นว่า : “คุณชายขอหน่อยเถอะ แบ่งปันให้บ้างนะขอรับ!”
คนปกติทั่วไปที่ไม่เข้าใจ จะเมินและไม่สนใจ เดินหนีไปทางอื่น กลุ่มคนขอทานจะไม่ดันทุรังและคอยตามตื๊อต่อ
แต่ซูเจ๋อกลับหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา
เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย : “คนที่วางยาเป็นนางหรือ ใช่หรือเปล่า?”
คำว่า “นาง” คำนี้ คงหมายถึงเซียงซั่นอย่างไม่ต้องสงสัย
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “นางเป็นคนมอบยานั่นให้กับแม่บ้านจ้าว เป็นคนยุยงและบงการแม่บ้านจ้าว”
“คนในเรือนของท่านจัดการไปแล้วหรือ?” ซูเจ๋อถามขึ้น
“ไล่ออกไปแล้ว?”
ซูเจ๋อพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ปล่อยมือของเฉินเสียน แล้วพานางมายืนอยู่ใต้ต้นหลิวข้างหอหมิงเย่ว์ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “รอข้าอยู่นี่”
ซูเจ๋อย้อนกลับไปที่หอหมิงเย่ว์ ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจจะไปทำอะไรกันแน่
ตอนที่เขาออกมา ผู้ดูแลห้องโถงของหอหมิงเย่ว์ก็เดินตามหลังเขาออกมาด้วย จากนั้นผู้ดูแลห้องโถงก็ได้พาขอทานกลุ่มนั้นเข้าไปในหอหมิงเย่ว์
เฉินเสียนพยายามเงี่ยหูฟังผู้ดูแลพูดกับขอทานกลุ่มนั้นว่า : “คุณชายผู้นั้นกระเป๋าหนัก ซื้อแม่นางซั่นเอ๋อร์ที่พึ่งมาใหม่ของหอหมิงเย่ว์ให้พวกเจ้าหนึ่งคืน เพียงแค่พวกเจ้าทำตัวดีๆ หน่อย แม่นางซั่นเอ๋อร์จะทำให้พวกเจ้ามีความสุขไม่รู้ลืมเชียวล่ะ!”
ลาภลอยหล่นลงมาจากฟากฟ้า กลุ่มขอทานพากันรีบพยักหน้ากันใหญ่ จากนั้นก็เดินตามผู้ดูแลห้องโถงหลีกเลี่ยงแขกผู้มีเกียรติแล้วขึ้นชั้นบนไป
ซูเจ๋อกลับมาถึงใต้ต้นหลิว เขาเดินอย่างสงบและมั่นคง ท่วงท่าสง่างาม ดึงดูดความสนใจของเหล่าบรรดาสาวงามที่ยืนเรียกลูกค้าอยู่หน้าประตูหอหมิงเย่ว์ พลอยทำให้หัวใจของสาวงามเหล่านั้นใจสั่นไม่น้อย คอยขยิบตาให้เขาไม่ขาดสาย
เฉินเสียนแนะนำด้วยความหวังดีว่า : “สาวงามเหล่านั้นกำลังขยิบตาให้ท่านอยู่ นานๆ ทีจะได้มาในที่แบบนี้ ที่ที่เป็นดั่งฝันอันมัวเมาเคล้าความอ้อยอิ่งนั่น ท่านแน่ใจหรือว่าจะไม่อยากอยู่ต่ออีกสักประเดี๋ยว?”
ซูเจ๋อพูดขึ้นอย่างกระจ่างแจ้งชัดเจน : “ไปกันเถอะ”
ซูเจ๋อเองไม่ได้สนใจสายตาผู้คนเลยแม้แต่น้อย ก้มหน้าก้มตาจับมือของเฉินเสียนไว้
แต่เฉินเสียนยังอยากรักษาหน้ารักษาตาอยู่ เมื่อไหร่ที่มีสายตาแปลกๆ มองมา เธอก็จะรีบอธิบายยกใหญ่อย่างกระอักกระอ่วนใจ : “นี่คือพี่ชายข้าเอง อย่าพากันเข้าใจผิดล่ะ เขาเป็นพี่ชายของข้า เขาเป็นพี่ชายข้าเอง”
เธอที่คอยตะโกนอธิบายจนคอแห้ง ซูเจ๋อยังคงก้มหน้าก้มตาเดินต่ออย่างไม่สนใจใคร เฉินเสียนอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว : “ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่? อับอายขายหน้าชะมัด”
ซูเจ๋อจึงพูดขึ้นว่า : “ข้าสวมหน้ากากอยู่ ข้าไม่กลัว”
เฉินเสียนนึกในใจ ถ้าจะขายหน้าเธอก็ไม่ควรขายหน้าคนเดียวซะหน่อย จะต้องหาวิธีสยบความฮึกเหิมของซูเจ๋อให้จงได้
จากนั้นเมื่อมีคนมองมา เฉินเสียนก็อธิบายอย่างใจเย็นว่า : “อย่าเดาส่งเดช เราไม่ใช่พวกรักร่วมเพศ! เขาเป็นพ่อเลี้ยงข้า เห็นข้ามาเที่ยวผู้หญิงเป็นไม่ได้!”
ผู้คนที่สัญจรไปมาถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ : “ทำไมถึงมีพ่อเลี้ยงที่ดูแล้วอายุน้อยขนาดนี้กัน”
ซูเจ๋อ : “……”
พ้นตรอกถนนที่คึกคักนั่นมา บรรยากาศเริ่มเย็นลง จากนั้นผู้คนบนถนนก็เงียบสงบ
อวี้เยี่ยนเห็นว่าองค์หญิงของนางถูกดึงแขนอยู่แบบนี้คงรู้สึกหดหู่ใจไม่น้อย อวี้เยี่ยนทนต่อไม่ไหว จึงพูดขึ้นว่า : “ท่านจูงแขนองค์หญิงของเราแบบนี้ ไม่สมควรเป็นอย่างมาก!”
เฉินเสียนรีบพูดขึ้นอย่างเห็นด้วย : “ใช่แล้ว สิ่งที่อวี้เยี่ยนพูดมามีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง”
ซูเจ๋อจูงมือเฉินเสียนเข้าสู่ตรอกตรอกหนึ่งที่มืดสนิท เพียงแค่เฉินเสียนก้าวขาเข้าไปก็รู้สึกว่าทุกอย่างมืดไปหมดจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น
อวี้เยี่ยนกำลังจะก้าวตามไป ซูเจ๋อกลับพูดขึ้นว่า : “เฝ้าอยู่หน้าปากทางเข้า ถ้ากล้าเข้ามาข้าจะตีให้ขาหัก”
อวี้เยี่ยนตอบกลับด้วยความเกรงกลัว : “เจ้าค่ะ”
เฉินเสียนไม่เข้าใจว่าที่เขาทำแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร สุดท้ายเธอจึงหมดความอดทน สะบัดแขนของเขาออกอย่างแรง : “ซูเจ๋อ ท่านตั้งใจจะทำอะไรน่ะ?”
ฟ้ามืดเกินไป เฉินเสียนมองทางไม่เห็นเลย รู้สึกเพียงว่าสะดุดกับอะไรบางอย่าง
ซูเจ๋อจึงรีบดึงเธอไว้ เธอจึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาพอดี
ในใจเฉินเสียนรู้สึกประหม่าขึ้นมา หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ พอได้สติก็รีบผลักเขาออกไปทันที
หลังของเธอชิดติดกับผนังกำแพงของตรอก
จู่ๆ บรรยากาศก็เงียบงันอย่างกะทันหัน จนทำให้เฉินเสียนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกัน ท่ามกลางตรอกเล็กๆ นี้ พลอยทำให้จิตใจกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก
ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “ข้าเปลี่ยนจากพี่ชายมาเป็นพ่อเลี้ยงของท่าน ท่านเรียกข้าเสียถนัดปากเชียวนะ”
เฉินเสียนเม้มปากพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “แล้วทำไมท่านถึงไม่คิดเผื่อข้าบ้าง ผู้ชายสองคนดึงทึ้งกันไปมาอยู่แบบนั้น จะพลอยทำให้ผู้คนเข้าใจผิดเอาได้”
“ท่านนับเป็นชายประเภทไหนกัน?” ซูเจ๋อถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาบาง พลางยื่นมือไปดึงผ้าโพกหัวของเฉินเสียนออก โดยที่เธอยังไม่ทันได้ระวังตัว
เส้นผมคณานับ ทิ้งตัวลงมา
เฉินเสียนรู้สึกฉุนขึ้นมา จึงรีบยื่นมือไปแย่งกลับ ซูเจ๋อชูมือขึ้นสูง เฉินเสียนที่กระโดดคว้าได้เพียงอากาศ เธอเสียหลักล้มโซเซไปยังบนตัวของซูเจ๋อ
เป็นเพราะฟ้าที่มืดสนิทอย่างแน่นอน ยื่นมือออกไปกลับมองไม่เห็นแม้กระทั่งนิ้ว เธอจึงถูกรวบแขนรวบขาแบบนี้
ในขณะที่เขากำลังยกแขนขึ้น กลิ่นไม้กฤษณาฟุ้งกรุ่น ดุจน้ำค้าง ดุจไอหมอก
ในใจของเฉินเสียนสับสนวุ่นวาย เธอจึงพูดขึ้นว่า : “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ใช่ชายชาตรีจริงๆ แต่ดูจากภายนอกแล้วข้าก็เหมือนชายผู้หนึ่ง คืนข้ามานะ”
“เหมือนชายหรือ?” ซูเจ๋อหัวเราะ แล้วจึงพูดต่อไปว่า : “ฉะนั้นท่านจึงสามารถเดินเข้าเดินออกในที่แบบนั้นได้อย่างงั้นหรือ?”
เฉินเสียนหัวเราะอย่างเย็นชา : “เข้าออกในที่แบบนั้นแล้วจะทำไม ในเมื่อข้าก็ไม่ได้มีอาวุธสังหารที่ใช้เข่นฆ่าใครได้ ที่ข้าเข้าไปในที่แบบนั้นก็เพราะเซียงซั่น จึงเข้าไปดูข้างใน ไม่เหมือนใครบางคนหรอก”
“ใครบางคน?” ซูเจ๋อพูดกระซิบ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจคาดเดาอารมณ์ของเขาได้ : “ใครบางคนทำไมหรือ?”
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “ใครบางคนยังซื้อการปรนนิบัติของเซียงซั่นด้วย จะไปเป็นแขกผู้มีพระคุณของนางเชียวล่ะ นานๆ ทีกว่าจะมาที่หอหมิงเย่ว์สักครั้ง จะเลือกทั้งทีก็ไม่รู้จักเลือกหญิงงามที่ระดับสูงกว่านั้นหน่อย”
“ท่านคิดว่าที่ข้าไปเพราะต้องการเที่ยวสำราญอย่างนั้นหรือ? ซูเจ๋อถามกลับ
เฉินเสียนหัวเราะอย่างเย้ยหยัน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านคงจะบอกว่า ที่ท่านไปในที่แบบนั้นก็เพราะข้าอยู่ในนั้น ท่านถึงได้เข้าไปในนั้นสินะ”
“แล้วไม่ใช่รึ เห็นข้าว่างจนมีเวลามาป่วนหรือไงกัน?”
“ท่านไม่ไปเป็นบัณฑิตของท่านดีๆ ไม่ไปสอนหนังสือของท่าน ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรข้าก็จะเจอท่านอยู่ตลอด ท่านไม่ได้ว่างจนมีเวลามาป่วน แล้วมันเรียกว่าอะไร?”
เฉินเสียนรู้ดีว่าตัวเธอเองพูดเกินไปแล้ว เธอควรจะหยุดพูดทันที เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ซูเจ๋อก็คอยให้ความช่วยเหลือเธอเสมอ เธอควรจะรู้สึกขอบคุณ ไม่ใช่ยิ่งอยู่ยิ่งโมโหร้ายแบบนี้
เฉินเสียนพยายามสงบสติอารมณ์ ใช้ความคิดพิจารณา แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าเธอจะสูญเสียการควบคุม เธอไม่สามารถที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้
นี่เป็นครั้งแรก และเป็นเพราะซูเจ๋อ
เฉินเสียนพูดขึ้นเสียงเบา : “ซูเจ๋อ ท่านคิดว่าท่านโมโหร้ายเป็นคนเดียวหรือไงกัน ท่านบอกว่าข้าไม่ควรไปที่หอหมิงเย่ว์ แต่ท่านไปได้อย่างนั้นหรือ?”
เธอถามซูเจ๋ออย่างชัดถ้อยชัดคำ : “ห้องโถงที่เต็มไปด้วยราคะตัณหาอนาจาร ห้องชั้นต่ำที่โสมม กลิ่นเครื่องหอมที่น่าขยะแขยงฟุ้งไปทั่ว และไหนจะน้ำชาห่วยๆ ที่กลืนไม่ลงคอ มีข้อไหนที่สมควรให้ท่านเข้าไปบ้าง? ท่านไม่กลัวว่าแป้งที่หยาบกระด้างนั่นจะถูกโดนตัวท่าน เลอะชายเสื้อของท่านบ้างเลยหรือ?”