ในที่สุดเฉินเสียนก็รู้ตัวว่าเป็นเพราะอะไรเธอถึงรู้สึกไม่พอใจขนาดนี้ เป็นเพราะที่แห่งนั้น ไม่คู่ควรให้เขาย่างกรายเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว
“ข้าเฉินเสียน ไม่ว่าจะไปที่ไหนท่านก็จะตามไปถึงที่นั่นงั้นรึ ครั้งนี้เป็นหอนางโลม ครั้งต่อไปเป็นคมมีด ภูเขา กองไฟ หรือมหาสมุทร ท่านก็จะตามไปด้วยอย่างนั้นหรือ?”
ความโกรธที่โหมกระหน่ำดังไฟสุมอกถูกระบายออกไปรวดเดียวจนหมด จากนั้นบรรยากาศก็เข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
พอได้สติขึ้นมา เฉินเสียนก็รู้สึกว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว
ซูเจ๋อจะไปที่ไหนมันก็เป็นเรื่องของเขา เธอมีสิทธิ์อะไรไปจุ้นจ้านเขา ก็เหมือนกับเธอที่ไม่ว่าเธอจะไปไหน ซูเจ๋อเองก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่มย่าม
เฉินเสียนก้าวเท้าจะเดินออกมา พลางพูดขึ้นว่า : “ช่างเถอะ ข้าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น”
แต่ว่าซูเจ๋อขวางทางของเธออยู่ ท่ามกลางความมืดที่ไม่คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เฉินเสียนพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่ระวัง
พอกำลังจะถอยออกมา กลับถูกซูเจ๋อรวบเอวของเธอไว้
เฉินเสียนจ้องเขาตาเขม็ง เพียงแต่ตัวเธอเองแม้แต่จะมองใบหน้าของซูเจ๋อยังมองไม่ชัดเสียด้วยซ้ำ แววตาที่เดือดจัดคู่นั้น แน่นอนว่าไม่เป็นผลในการข่มขู่เลยแม้แต่นิดเดียว
ซูเจ๋อโน้มตัวลงมา พูดอยู่ข้างหูเธอว่า : “ที่ท่านฉุนจัดขนาดนี้ เป็นเพราะว่าท่านหึงข้าใช่หรือไม่?”
“หึงกับผีน่ะสิ! ข้าแค่เตือนท่านด้วยความหวังดี สุภาพบุรุษควรรักษาตัวให้พ้นจากปัญหายุ่งยากทั้งปวง!”
เฉินเสียนยิ่งดิ้นต่อต้านสักเท่าไหร่ ซูเจ๋อก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นเท่านั้น จนในท้ายที่สุด เธอที่กำลังผลักแขนทั้งคู่ของเขาอยู่ แต่กลับผลักไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว
อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวก็จะเข้าไปในอ้อมกอดของเขาแล้ว มีความรู้สึกลึกลับบางอย่างที่ครอบงำและบ้าคลั่ง เฉินเสียนที่หนีไม่พ้น เวลานี้หัวใจของเธอเต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะ
ลมหายใจที่ร้อนผ่าวของเขา พ่นลงที่ข้างลำคอของเธอ กระซิบด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะและลึกซึ้ง :
“โชคดีที่ข้าไม่ได้เข้าไปเป็นลูกค้าผู้มีพระคุณของเซียงซั่น ไม่อย่างนั้นคืนนี้ข้าจะให้นางทรมานปางตายเป็นร้อยครั้งพันครั้ง และข้าเองก็ไม่มีกะจิตกะใจไปซื้อตัวสาวงามที่ระดับสูงกว่า เพราะข้าไม่ได้มีความสนใจต่อผู้อื่นเลยแม้แต่นิดเดียว”
เฉินเสียนเริ่มดิ้นน้อยลง ในมือของเธอกำแขนเสื้อของเขาไว้ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง : “ซูเจ๋อ ปล่อยข้า”
ซูเจ๋อพูดต่อไปว่า : “จริงอยู่ที่ว่าห้องโถงนั่นวุ่นวาย เป็นภาพที่ไม่น่าชวนมอง ห้องชั้นต่ำโสมมอย่างที่ท่านว่าไม่มีผิด เครื่องหอมคุณภาพต่ำๆ ชาคุณภาพต่ำๆ และกลิ่นผงแป้งคุณภาพต่ำๆ”
เขาพูดต่อว่า : “และเป็นเพราะท่านอยู่ที่นั่นจริงๆ ข้าถึงเข้าไป ข้าเคยไม่เป็นห่วงท่านเสียที่ไหนกัน สิ่งสกปรกโสมมจะเลอะชายเสื้อของท่านได้ ท่านเป็นอิสตรี ท่านรู้หรือไม่ ที่ที่ท่านไปนั้น เต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ที่มีแต่เพียงความหิวกระหาย”
เฉินเสียนจู่ๆ ก็ใจสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านขั้วหัวใจ กระจายสู่แขนและขาทั่วร่างกาย
เขาพูดขึ้นอย่างชัดเจน : “ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ขอเพียงแค่รู้ว่าท่านอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคมมีด ภูเขา กองไฟหรือมหาสมุทร ข้าจะต้องไปอย่างแน่นอน คงจะประมาณว่า ข้าว่างจนมีเวลาหาเรื่องป่วน”
“อาเสียน ตอนนี้ข้ายอมรับมันอย่างเปิดเผยแล้ว ท่านเองก็ควรจะยอมรับแล้วหรือไม่ ยอมรับว่าท่านหึง”
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “ปล่อยข้าก่อน ปล่อยแล้วเดี๋ยวข้าจะบอกท่าน”
สุดท้ายซูเจ๋อก็ยอมปล่อยเธอ ยอมให้เธอเดินจ้ำอ้าวกลับออกไป
เธอเดินไปด้วยพลางพูดไปด้วย : “หึงกับผี ข้าไม่ได้หึง ข้าขี้เกียจเสียเวลาเสวนากับท่าน!”
เพียงแต่ว่าไม่ได้มีความมั่นใจเหมือนในตอนแรก ราวกับว่าเธอกำลังร้อนตัว และกำลังหนีอย่างหัวซุกหัวซุน
เมื่อเหยียบโดนพื้นต่างระดับ โซเซไปมา ซูเจ๋อหวังดียื่นมือเข้าไปช่วยประคองเธออยู่หลายครั้ง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน : “ใจเย็นๆ อย่ารีบเดินเกินไป ท่านไม่อยากตอบก็ช่างมันเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้บีบบังคับให้ท่านต้องตอบเสียหน่อย”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดต่อว่า : “ครั้งนี้ก็ถือว่าแล้วกันไป เพียงแต่วันข้างหน้า ห้ามไปที่หอหมิงเย่ว์อีก ข้าไม่อยากให้ท่านเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับการถูกจองจำเพียงเพราะความเมตตาสงสารของท่าน”
เฉินเสียนตอบกลับไปว่า : “ท่านอย่ามาคาดเดาจิตใจของผู้อื่นเลย!”
“อาเสียนปากแข็งใจอ่อนเสมอ”
เฉินเสียนกลอกตามองบน : “ท่านคิดว่าข้าจะเหมือนท่านหรือ ปากอ่อนใจแข็ง! เมื่อครู่ท่านยังจะไปซื้อตัวแม่นางเซียงซั่นหนึ่งคืนเพื่อปรนนิบัติขอทานกลุ่มนั้นอยู่เลย!”
ซูเจ๋อพูดขึ้นอย่างบริสุทธิ์ใจ : “สถานการณ์อาจจะไม่เหมือนกัน ข้าเป็นคนจิตใจดีมีคุณธรรมแท้ๆ เป็นคนดีทำสิ่งที่ดี แทนที่จะให้เงินเขาไม่กี่ตำลึง สู้ให้พวกเขาได้ผ่านค่ำคืนที่มีที่หลบลมหลบฝนไม่ดีกว่าหรือ”
“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ!” เฉินเสียนไม่อยากจะไปต่อล้อต่อเถียงกับเขา เธอพูดแค่ว่า : “ท่านยากจนนักไม่ใช่หรือ คนที่ออกจากเรือนพกเงินแค่ไม่กี่เหรียญทองแดง เวลาจะทำเรื่องร้ายกาจขึ้นมา ก็กระเป๋าหนักใช่ย่อย”
ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “มีประสบการณ์จากครั้งก่อนแล้ว วันนี้ออกจากเรือนมาจึงพกมามากหน่อย”
เมื่อเดินจนใกล้จะถึงปากทาง ทั้งสองข้างทางเริ่มมีแสงไฟสลัวที่ไม่สว่างมากนัก
ซูเจ๋อที่จับแขนของเฉินเสียนไว้จู่ๆ ก็หยุดเดิน แล้วพูดขึ้นเสียงเบา : “ครั้งที่แล้วท่านว่าจะเชิญข้าทานข้าวไม่ใช่หรือ งั้นถัดไปอีกสองวันเป็นไง”
เฉินเสียนยังไม่ทันจะได้ตอบ อวี้เยี่ยนก็เดินเข้ามารับแล้ว
เฉินเสียนรู้สึกแปลกใจมาก เมื่อครู่นี้เธอกับซูเจ๋อกำลังทะเลาะกันไม่ใช่เหรอ แล้วนี่ก็ถือว่าคืนดีกันแล้วอย่างงั้นเหรอ?
ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องกินข้าวขึ้นมา ใช่ว่าเธอจะไม่มีปัญญาเลี้ยงซะหน่อย สิ่งสำคัญก็คือเลี้ยงตอบแทนเขาที่ช่วยเหลือเธอถึงสองครั้ง จากนั้นเฉินเสียนจึงพยักหน้าด้วยความหดหู่ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ดูความสะดวกของท่านเป็นหลักก็แล้วกัน อวี้เยี่ยน เรากลับกันเถอะ”
อวี้เยี่ยนเห็นสีหน้าท่าทางของทั้งคู่ไม่ค่อยชอบมาพากลเท่าไหร่ นางกำมือแน่น รวบรวมความกล้าแล้วถามซูเจ๋อต่อหน้าว่า : “ท่าน ท่านรังแกองค์หญิงของเราใช่หรือเปล่าเจ้าคะ!”
ซูเจ๋อหรี่ตาลง อวี้เยี่ยนก็รีบเงียบปากในทันที
เฉินเสียนและอวี้เยี่ยนเดินนำอยู่ข้างหน้า ส่วนซูเจ๋อนั้นเดินตามหลังมาไม่ห่างมาก จนเห็นเฉินเสียนเดินเข้าประตูจวนท่านแม่ทัพอย่างปลอดภัยแล้ว
อวี้เยี่ยนเห็นเฉินเสียนดูหดหู่ไม่ร่าเริงเลย เมื่อเดินเข้าประตูสวนสระวสันตฤดูแล้ว สุดท้ายก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ : “องค์หญิง ใต้เท้าซูรังแกองค์หญิงใช่หรือไม่เพคะ องค์หญิงบอกหม่อมฉัน หม่อมฉันจะไปกับองค์หญิงเพื่อไปประณามเขา!”
“เกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิงในตรอกมืดๆ นั่น เขา หรือว่าเขา……ทำอะไรมิดีมิร้ายกับองค์หญิงเพคะ……”
เมื่อเฉินเสียนได้สติ ก็หันไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกของอวี้เยี่ยน แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “องค์หญิงของเจ้าดูเป็นคนไม่ค่อยสนใจอะไรขนาดนั้นเชียวหรือ จะทำอะไรทั้งที ไม่เลือกสถานที่ที่ดีกว่านั้นหน่อยหรือ?”
อวี้เยี่ยนเห็นเฉินเสียนนอกจากผมที่ยุ่งกระเซอะกระเซิงแล้ว เสื้อผ้าก็ยังเรียบร้อยดี ดูแล้วคงจะไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
อวี้เยี่ยนก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ : “แล้วทำไมองค์หญิงถึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาแบบนี้ล่ะเพคะ ใต้เท้าซูคงจะต้องทำอะไรให้องค์หญิงไม่พึงพอใจแน่ๆ”
แม่นมซุยได้ยินแล้วก็รีบมาเปิดประตู
แสงไฟเหลืองอร่ามสาดส่องออกมาจากตัวห้อง
เฉินเสียนยืนอยู่หน้าหอนอน เวลานี้อารมณ์จิตใจของเธอสงบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว เธอหันไปมองอวี้เยี่ยน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เขาบอกว่าข้าหึง”
อวี้เยี่ยนพูดอะไรไม่ออก
จากนั้นเฉินเสียนก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ช่างน่าตลกเสียเหลือเกิน เธอหมุนตัวเดินเข้าหอนอน พลางหัวเราะเสียงดัง : “เหอะๆ เขาบอกว่าข้าหึงเขาอย่างงั้นหรือ”
แม่นมซุยและอวี้เยี่ยนหันหน้ามาสบตากัน แม่นมซุยเอ่ยปากถามอวี้เยี่ยนว่า : “สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
อวี้เยี่ยนส่ายหน้า แสดงสีหน้าว่านางเองก็งงเหลือเกิน
จากนั้นเฉินเสียนที่อยู่ในหอนอน
ก็ทั้งเตะขาเตียงทั้งก่นด่าอย่างบ้าคลั่ง : “หึง หึง หึงกับผีน่ะสิ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! ขอร้องกรุณาอย่าดูถูกระดับสติปัญญาของข้า! หลงตัวเองชะมัด ทั้งๆ ที่ข้าด่าท่านฉอดๆ อยู่แท้ๆ หน้าตาดีจะทำอะไรก็ได้อย่างงั้นเหรอ!”
อวี้เยี่ยนและแม่นมซุยเข้ามา มองเฉินเสียนที่ระบายอารมณ์ความโกรธกับขาเตียงด้วยความอึ้งและตกตะลึงตาค้าง
เฉินเสียนที่หายใจค่อนข้างหอบ เธอเท้าสะเอวแล้วสูดลมหายใจลึก พูดกับตัวเองพึมพำว่า : “ก็ได้ ท่านมันหน้าตาดี ถือเสียว่าท่านเก่ง จริงสิ แล้วทำไมจู่ๆ ข้าถึงโมโหขึ้นมาอีกเนี่ย?”
ขาเตียงสั่นไหว เจ้าน่องน้อยที่หลับอยู่ในตอนแรกก็ตื่นขึ้นมา ค่อยๆ ลืมตาขึ้น หันไปจ้องมองเฉินเสียน
เฉินเสียนจึงพูดกับเขาว่า : “เจ้าลูกชาย หลับตาลงแล้วนอนต่อเสีย”
แม่นมซุยหัวเราะแห้งๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “อวี้เยี่ยน รีบไปตักน้ำมาให้องค์หญิงอาบน้ำจะได้พักผ่อน”
เฉินเสียนที่แช่อยู่ในน้ำ พยายามใช้ความคิดว่าเป็นเพราะอะไรตัวเองถึงได้โมโหขนาดนี้
จากนั้นก็ได้บทสรุปว่า คงอาจจะเป็นเพราะท้องฟ้าที่มืดสนิท จึงส่งผลต่อวิสัยทัศน์และอารมณ์จิตใจของคนเรา