เฉินเสียนขึ้นรถม้าแล้ว
รถม้าค่อยๆ เลี้ยวเข้าสู่ถนนใหญ่ วิ่งอยู่พักหนึ่ง
แต่หลังจากนั้น เฉินเสียนก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล
เพราะเห็นรถม้าวิ่งไปถึงหอสุราที่เป็นจุดนัดพบแล้ว แต่กลับไม่มีวี่แววว่ารถม้าจะหยุดลง
เฉินเสียนจึงถามถึงสาเหตุด้วยความสงสัย คนบังคับรถม้าจึงตอบกลับมาว่า : “ใต้เท้าเปลี่ยนสถานที่กะทันหัน ข้าน้อยจึงต้องส่งองค์หญิงไปอีกที่หนึ่งขอรับ”
เวลานี้ความมืดมิดคืบคลานเข้ามาจากทุกสารทิศ รถม้าเลี้ยวเข้าตรอกตรอกหนึ่ง ผ่านถนนที่ขรุขระอยู่พักหนึ่ง เฉินเสียนเปิดหน้าต่างรถม้าออกมาดู ก็เห็นตรอกที่ทอดยาวและเงียบสงัด ทำไมจู่ๆ ถึงมีความรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ
แต่กลับนึกไม่ออก
เมื่อรถม้าถึงหน้าประตูเรือนๆ หนึ่งแล้วก็ค่อยๆ หยุดลงช้าๆ
เฉินเสียนลงจากรถม้ามาแล้ว พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นมีคนมาเปิดประตูออกมาจากด้านใน ซูเจ๋อในชุดเสื้อแขนกว้างยืนอยู่ในวงกบประตู บรรยากาศของสวนด้านหลังของเขาสวยสดงดงามเลือนรางดุจภาพวาด
เฉินเสียนเลิกคิ้วขึ้นสูง
ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “มาแล้วหรือ”
เฉินเสียนกวาดตามองไปรอบๆ ไม่ผิดแน่ เธอนึกออกแล้ว
ที่นี่ไม่ใช่ที่อื่นใด มันเป็นประตูหลังเรือนของซูเจ๋อ!
เธอจำมันได้อย่างชัดเจน หลังจากที่มาครั้งที่แล้ว ซูเจ๋อส่งเธอกลับจากประตูหลังนี่เอง
เฉินเสียนสีหน้ามืดมน : “เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ ว่าข้าจะเชิญท่านทานข้าวที่หอสุรา แล้วทำไมถึงให้มาที่เรือนท่านได้?”
“อาหารที่หอสุรามีหรือจะอร่อยกว่าอาหารที่บ้าน”
“งั้นท่านก็ทานข้าวอยู่ที่บ้านทุกวันก็จบนี่นา!”
“แต่ท่านบอกเองนี่นา ว่าท่านจะเชิญข้าทานข้าว”
เฉินเสียนทั้งฉุนทั้งขำ : “จริงสิ ข้าเชิญท่านมากินข้าวที่บ้านท่าน ช่างน่าตื่นเต้นเสียจริง!”
ซูเจ๋อหัวเราะ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านรับปากแล้ว ว่าให้ข้าเป็นคนเลือกสถานที่เอง รู้สึกว่าท่านไม่ได้บอกไว้ว่าห้ามเป็นบ้านของข้า”
เฉินเสียนที่พึ่งตามทัน : “ท่านแกล้งข้า ท่านหลอกข้าว่าจะไปที่หอสุรา ท่านคงตั้งใจวางแผนจะให้ข้ามาที่บ้านของท่านตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก!”
“ในบ้านสบายใจกว่าเป็นไหนๆ อาเสียน เชิญ”
เฉินเสียนเองก็รู้ว่ามายืนคุยกันอยู่หน้าประตูแบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ในเมื่อมาก็มาแล้วแต่กลับไม่ยอมเข้าไป เดี๋ยวจะมาคิดว่าเธอกลัวเขาจริงๆ
สวนแห่งนี้เธอรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ทั้งคู่เดินเคียงไหล่ผ่านทางเดินเล็กๆ มาด้วยกัน
ในสวนมีดอกพลัม ในช่วงฤดูนี้ เมื่อเผชิญกับอากาศที่หนาวเย็น ดอกไม้จึงเริ่มเบ่งบานชูช่อเกสรควบแน่นตามกิ่งก้านสาขาของต้น และเริ่มจะมีกลิ่นหอมกรุ่นอ่อนๆ
จากนั้นเฉินเสียนก็สังเกตเห็นว่าที่เรือนของซูเจ๋อไม่ได้เตรียมอาหารมื้อค่ำไว้
ซูเจ๋อจึงพูดขึ้นว่า : “มาถึงเรือนข้าทั้งที จะยอมขาดทุนได้อย่างไรกัน แน่นอนว่าต้องทานอาหารฝีมือของท่านนะสิ”
เฉินเสียนหรี่ตาลง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้าองค์หญิงทั้งคน ไปลงมือทำอาหารให้ท่านทาน ซูเจ๋อ ท่านฝันหวานเกินไปแล้ว!”
ซูเจ๋อทวนความทรงจำอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ก่อนหน้านี้ ท่านเองก็เคยทำอาหารให้เหลียนชิงโจวไม่ใช่หรือ? ในวันเกิดของเขา ท่านทำเค้กวันเกิดให้เขา ข้าเองก็เคยชิม หวานมาก”
เฉินเสียนนิ่งไปครู่หนึ่ง : “ท่านอยากกินหรือ?”
ซูเจ๋อพยักหน้าเบาๆ
เฉินเสียนจึงถามขึ้นว่า : “วันนี้เป็นวันเกิดของท่านหรือ?”
ซูเจ๋อยืนอยู่ใต้แสงไฟ ยิ้มบางเบา : “หากท่านบอกว่าเป็นวันเกิดของข้า เกรงว่าใต้หล้าปฐพีนี้ก็ไม่มีผู้อื่นใดจะจำได้ แต่หากจะพูดว่าเป็นวันที่ข้าได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็คงจะเป็นวันนี้ของทุกปีกระมัง ฉะนั้นนี่ถือว่าเป็นวันเกิดของข้าหรือไม่ ข้าเองก็ไม่อาจรู้เหมือนกัน”
“วันเริ่มต้นชีวิตใหม่ก็คือการเกิดใหม่” เฉินเสียนพูดขึ้น : “หากท่านบอกข้าว่าเป็นวันนี้ ข้าจะได้เตรียมมาล่วงหน้า ตอนนี้กว่าจะทำเสร็จเกรงว่าคงต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามให้หลังแล้วล่ะ ห้องครัวอยู่ไหน?”
ซูเจ๋อจึงพาเฉินเสียนไปที่ห้องครัว
ไฟในห้องครัวสว่างกระจ่างชัด แต่ไม่มีคนใช้แม้แต่คนเดียว
วัตถุดิบที่อาจจะต้องใช้ได้ถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว ดูเหมือนว่าจะเหลือแค่ขั้นตอนสุดท้าย——ก็คือรอเธอลงมือทำอาหารให้ซูเจ๋อ
เฉินเสียนดึงแขนเสื้อขึ้น ล้างมือจนสะอาด เตรียมไข่และแป้ง แล้วเริ่มลงมือทำ
เธอก้มหน้าก้มตาทำ แล้วพูดขึ้นโดยไม่เงยหน้าว่า : “คราวหน้าหากต้องการอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม หากท่านอยากกินอาหารฝีมือข้า เพียงแค่ท่านพูดออกมา ข้าก็ทำให้ท่านได้ ในเมื่อตั้งใจจะขอบคุณท่านอยู่แล้ว ที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นมิตรภาพเหมือนกัน”
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเสริมอีกคำ : “เพียงแต่ฝีมือการทำอาหารของข้าไม่อร่อย ถึงท่านจะร้องไห้ก็ต้องทนกินมันเข้าไป”
ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “ข้ากลัวว่าท่านจะปฏิเสธ”
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นมามองเขา แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “คนอย่างท่านก็กลัวถูกผู้อื่นปฏิเสธด้วยหรือ? ท่านหน้าตาดีขนาดนี้ ใครจะปฏิเสธท่านได้ลงคอกัน?”
“ท่านเองก็ปฏิเสธข้าอยู่เสมอไม่ใช่หรือ?”
“มีที่ไหนกัน!” เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “ถ้าข้าจะปฏิเสธท่าน ข้ายังจะมายืนอยู่ในห้องครัวนี้ทำไม? ถ้ายังจะเสแสร้งไร้เดียงสาต่อ เชื่อหรือเปล่าว่าแป้งทั้งกะละมังนี้จะปลิวไป”
จากนั้นเฉินเสียนที่กำลังตีส่วนผสมของไข่ จู่ๆ ก็เหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามซูเจ๋อว่า : “เมื่อครู่นี้ท่านบอกว่าเคยกินขนมเค้กที่ข้าอบให้เหลียนชิงโจว?” พูดจบเฉินเสียนก็หรี่ตาลงด้วยสายตาข่มขู่ : “ท่านยังไม่ยอมรับอีกหรือ ว่าคนในค่ำคืนนั้นก็คือท่าน?”
แววตาซูเจ๋อที่เต็มไปด้วยการปกปิด พูดขึ้นว่า : “เอ่อ ข้าหลุดปากแล้วเหรอ”
เฉินเสียนไม่รอให้เขาได้อธิบาย ก็ไล่ตีเขาไปทั่วห้องครัว
ซูเจ๋อที่หลบไปด้วยพลางหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านบอกว่าวันนี้เป็นวันเกิดของข้า อาเสียน ท่านจะตีข้าไม่ได้นะ”
เฉินเสียนพูดขึ้นหายใจหอบ : “ได้ ตอนนี้ข้าจะปล่อยท่าน เดี๋ยวจะให้ท่านสำลักขนมเค้กให้หนัก”
ซูเจ๋อเห็นท่าทีที่คล่องแคล่วของเธอ จึงพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ : “ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนนี้ ท่านทำสิ่งเหล่านี้ไม่เป็น ห้องครัวทั้งห้องไม่มีอาหารหน้าตาแบบนี้”
เฉินเสียนรู้สึกเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา จึงพูดขึ้นว่า : “ตอนที่ข้าสลบไป วิญญาณล่องลอยเดินทางไปทั่วปฐพีแล้วจึงค่อยย้อนกลับมา ได้ความรู้มากมาย แบบนี้ไม่ได้หรือไง?”
ซูเจ๋อหรี่ตาลง เก็บซ่อนแววตานั้นไว้
เฉินเสียนไม่นึกเลยว่า ตอนนี้เธอและเฉินเสียนคนเก่า สรุปแล้วคือคนคนเดียวกัน หรือเป็นคนสองคนกันแน่นะ?
แล้วเธอที่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้ กำลังใช้ชีวิตแทนผู้อื่น หรือมีชีวิตเพื่อตัวเองกันล่ะ?
คำพูดของซูเจ๋อทำให้เธอรู้สึกค่อนข้างหนักอึ้ง
ซูเจ๋อหั่นผักตามคำขอของเฉินเสียน เธอตั้งใจจะใช้แป้งที่เหลือทำอาหารอย่างอื่น
เฉินเสียนที่ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว จึงหาเรื่องอื่นมาชวนคุยแทน : “ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าท่านได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ มันหมายความว่ายังไงหรือ?”
ซูเจ๋อจึงพูดขึ้นว่า : “ข้าร่อนเร่พเนจรตั้งแต่เด็ก ต้องหนีตลอด และถูกไล่เข่นฆ่าตลอด หลังจากนั้นก็เจอกับผู้มีพระคุณได้ช่วยชีวิตไว้ ชีวิตกลับมาสงบอีกครั้ง”
ในใจของเฉินเสียนจู่ๆ ก็แน่นขึ้นมา : “ทำไมถึงมีคนตามฆ่าท่าน?”
“อาจจะเป็นเพราะการมีชีวิตอยู่ของข้า ไปเกะกะขวางทางใครเข้า
เฉินเสียนหยุดนิ่งไป แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “งั้นต้องยิ่งมีชีวิตอยู่เข้าไปใหญ่ ขวางพวกมันให้ตายกันไปข้าง”
ซูเจ๋อหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “หลังจากนั้นข้าก็คิดแบบนี้เหมือนกัน”
“แล้วผู้มีพระคุณของท่านล่ะ? ยังมีชีวิตอยู่ไหม?”
“เขาได้จากโลกนี้ไปแล้ว”
“เขามีคนในครอบครัวรึเปล่า?”
“ลูกสาวกำพร้าหนึ่งคน”
เฉินเสียนเงยหน้ามองเขา จู่ๆ ก็ถามขึ้นมาว่า : “ยังเป็นเด็กหรือว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว?”
“เป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ มันทำไมหรือ” ซูเจ๋อถาม
เมื่อเฉินเสียนได้สติ เธอก็รีบตีส่วนผสมต่ออย่างแรง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไม่ทำไม เพียงแต่รู้สึกว่าท่านควรจะดูแลเขาให้ดี หากโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีท่านที่เป็นแบบนี้ทั้งคนอยู่ข้างหน้า การจะมีชายสักคนเข้ามาในดวงใจของนางคงจะเป็นเรื่องยาก”
ซูเจ๋อไม่ได้ตอบอะไร
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงพูดขึ้นว่า : “นางมีชายในใจอยู่แล้ว และได้แต่งงานไปแล้ว”
เป็นครั้งแรกที่เฉินเสียนได้ยินน้ำเสียงที่โศกเศร้าจากคำพูดของเขา
เธอจึงพูดต่อว่า : “เหรอ ข้ายังนึกว่านางจะหลงใหลในรูปร่างหน้าตาของท่านเสียอีก”
ซูเจ๋อยิ้มขึ้นอย่างบางเบา : “นางเองก็รู้สึกว่าข้าเป็นคนที่แย่มาก”