เฉินเสียนไม่ยึดติดกับขนบธรรรมเนียมประเพณีเก่าเหล่านี้ แต่ยุคก่อนเคยเห็นตระกูลคนอื่นจัดงานกินเลี้ยงในคืนพระจันทร์เต็มดวง งานฉลองวันเกิดและงานอื่นๆ เพื่อนสนิทมิตรสหายและครอบครัวต่างพาลูกหลานมาร่วมงาน ใครชอบพอกันก็ต่างคนต่างกอดกัน จับมือทักทายระหว่างกัน
ตอนนี้นายหญิงเหล่านั้นอาจจะไม่กล้าเป็นฝ่ายเข้ามากอดเจ้าน่องน้อย แต่เฉินเสียนนั้นก็อุ้มเจ้าน่องน้อยไปเดินเล่นท่ามกลางนายหญิงเหล่านั้นเอง
เมื่อถึงหน้าเรือน ยังพอมีเวลาก่อนที่งานจะเริ่ม
เหล่านายหญิงพบกับเฉินเสียนเดินมา ก่อนจะทำความเคารพต่อกัน
เธอพูดด้วยกริยาวาจาที่สง่างาม ดูแลจัดการอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แสดงให้เห็นถึงบุคลิกที่น่านับถือของนายหญิงของบ้านที่ดี
แต่อีกด้านคือหลิ่วเหมยอู่ที่ถูกทิ้งไว้ให้นั่งอยู่เงียบๆ
หลิ่วเหมยอู่ไม่ใช่ไม่อยากไปร่วมคบค้าสมาคมกับนายหญิงเหล่านั้น แต่เมื่อตอนงานแต่งของนางกับฉินหรูเหลียงนั้นนางได้ก่อเรื่องพูดเจตนาว่าร้ายไว้ หลังจากนั้นก็ยังแสดงกิริยาน่าเกลียดต่อหน้าเหล่าขุนนางในพระราชวังอีก เมื่อพูดถึงเรื่องเหล่านั้นก็ยังคงเป็นเรื่องที่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ในเมืองหลวงนี้
และอีกอย่างหลิ่วเหมยอู่เป็นเพียงแค่อนุภรรยา เหล่าภรรยาหลวงของใต้เท้าไหนเลยจะมองไปที่นางกัน
ก่อนหน้านี้ทุกแห่งหนนั้นต่างนินทาว่าเฉินเสียนว่าคือองค์หญิงเป็นที่ไม่โปรดปราน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
เธอได้ให้กำเนิดลูกชาย ไม่เพียงแต่จักรพรรดิจะให้ความสำคัญกับเธอ ตำแหน่งที่นั่งในจวนแม่ทัพของเธอนั้นก็ยิ่งมั่นคงขึ้นไปอีก
ที่สำคัญใบหน้าขององค์หญิงจิ้งเสียนที่โดนทำร้ายเมื่อก่อนนั้น ตอนนี้เมื่อมองดูแล้วบนใบหน้าของเธอนั้นไม่มีตำหนิเลยแม้แต่น้อย ใบหน้านั้นสวยสง่าเหมือนไม่เคยโดนอะไรมา
เหล่าพ่อบ้านและนายหญิงรู้สึกมหัศจรรย์อย่างยิ่ง หลังจากได้ยินเฉินเสียนพูดว่าเป็นเพราะจักรพรรดิประทานยาขี้ผึ้งให้ นางทายาแล้วใบหน้าจึงค่อยๆฟื้นฟูกลับมาสู่สภาพเดิม
สิ่งของที่ประทานให้ สรรพคุณยานั้นก็ต้องดีเป็นธรรมดา ผู้คนต่างเชื่อกันอย่างไม่มีข้อสงสัย
ตอนนี้เฉินเสียนไม่ใช่คนโง่เหมือนเดิมแล้ว เกิดมารูปร่างสวยงามเช่นนี้ แถมยังมีลูกชายอีก แม่ทัพฉินก็ควรจะสำนึกผิดได้แล้ว
ไม่เช่นนั้นแม่ทัพฉินจะให้ความสำคัญกับแม่ลูกคู่นี้หรือ มีที่ไหนกันที่จะจัดงานฉลองวันเกิดให้ยิ่งใหญ่แบบนี้
เป็นผลให้เหล่านายหญิงทั้งหลายต่างพากันเข้าใกล้เฉินเสียนและเข้ามาเล่นกับเจ้าน่องน้อย พูดชมเชยซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ้าน่องน้อยรูปโฉมงดงาม ช่างเหมือนกับแม่ทัพใหญ่ยิ่งนัก
เฉินเสียนฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มรับ
นายหญิงเหล่านี้ ต่างก็ลืมตาพูดคำเหลวไหลออกมาเป็นชุดๆ
เจ้าน่องน้อยไม่ใช่ลูกของของฉินหรูเหลียง จะไปเหมือนเขาได้อย่างไร?
เพียงแต่เฉินเสียนไม่อยากเปิดเผย แค่ฟังเป็นคำสิริมงคล ฟังแล้วดูมีความสุข
แม่นมซุยและอวี้เยี่ยนอยู่ข้างๆเฉินเสียนนั้นยุ่งมาก ไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่นิด
ผู้คนมากมายดูวุ่นวาย เพียงแค่ปกป้องให้เจ้าน่องน้อยได้รับความปลอดภัยก็เป็นพอ
หลิ่วเหมยอู่ไม่เข้าใกล้ผู้คนเหล่านั้น แต่ก่อนก็ทำเรื่องให้ตัวเองขายขี้หน้า ได้แต่เพียงยืนพิงอยู่ใต้ต้นหลิวอย่างเปล่าเปลี่ยว มองดูอยู่ไกลๆ
นางคิดโกรธแค้น ถ้าเธอได้เป็นนายหญิงของบ้าน คงเป็นนายหญิงของท่านแม่ทัพอย่างสง่าผ่าเผย ดูท่าแล้วคนเหล่านั้นคงจะมาประจบประแจงเธอ !
แต่ละคนนั้นประจบเพื่อหวังแค่ผลประโยชน์!
ตำแหน่งนั้นเดิมทีต้องเป็นของนาง ทั้งหมดนี่เป็นเพราะถูกเฉินเสียนแย่งไป!เฉินเสียนแย่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเธอไปทั้งหมด!
หลิ่วเหมยอู่ยิ้มมุมปากออกมาอย่างหมาป่า : “เจ้าโอ้อวดให้เต็มที่เถอะ อีกประเดี๋ยวเดียวก็จะหน้าอัปลักษณ์แล้ว ข้าจะคอยดูว่าพวกนางยังจะประจบประแจงเจ้าอยู่หรือเปล่า!”
นางจะทำให้ทั้งเมืองรู้ว่าเฉินเสียนนั้นทำเรื่องไร้ศีลธรรมเสียชื่อเสียง เหมือนกับหนูข้างถนน ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็ถูกคนก่นด่า พูดให้ร้ายลับหลัง!
เพียงแค่นึกถึงเรื่องพวกนี้ ความเคียดแค้นและความโกรธในใจของหลิ่วเหมยอู่นั้นถึงพอจะควบคุมไว้ได้อยู่
ออกมาทางด้านหลังของสวนดอกไม้ หลิ่วเหมยอู่ถาม: “ของที่ให้เตรียมไว้พร้อมหรือยัง?”
เซียงหลิงพูด: “นายหญิงวางใจได้ บ่าวเตรียมไว้อย่างเหมาะสมแล้ว”
“หึ เฉินเสียน ข้าจะรอดูว่าครั้งนี้เจ้าจะภูมิใจไปได้ถึงไหน!”
ใกล้จะถึงเวลาเริ่มพิธี ผู้คนในจวนต่างพากันเริ่มจุดโคมไฟ
โคมไฟนั้นประดับอยู่บนยอดไม้ได้อย่างสวยงาม ส่องแสงสว่างไปทั่วหน้าเรือน
ฉินหรูเหลียงพูดกล่าวทักทายพอเป็นพิธี จากนั้นก็เข้าไปทักทายกับผู้คนที่เข้ามาร่วมงาน
ในลานจัดงานแขกผู้ชายและแขกผู้หญิงนั้นนั่งแยกกัน ตรงกลางถูกกั้นด้วยตาข่ายบางหนึ่งชั้น
เวลาที่เฉินเสียนอุ้มเจ้าน่องน้อยออกมา แขกผู้ชายได้แต่มองดูคร่าวๆ แต่มองเห็นเธอนั่งอย่างเพียบพร้อมบนโต๊ะหลัก
วันนี้เฮ่อเซียงก็มาร่วมงานฉลองวันเกิดด้วย จึงดึงตัวเฮ่อโยวมาร่วมงานด้วย
เฮ่อโยวไม่ชอบเข้าร่วมงานฉลองอะไรแบบนี้ แต่ทนไม่ไหวกับคำบ่นของเฮ่อเซียง บอกว่าโชคดีที่ได้ฉินหรูเหลียงช่วยเขาไว้ ก็ต้องมาร่วมแสดงความยินดีเป็นธรรมดา
เดิมทีเฮ่อโยวจะออกไปเที่ยวเกเรข้างนอก สุดท้ายเฮ่อเซียงจึงรีบพูดขึ้นทันทีว่า “เจ้ากล้าออกไป ข้าจะตัดขาหมาของเจ้า!”
สำหรับเฮ่อโยวแล้วการข่มขู่แบบนี้เป็นเรื่องที่พบบ่อย อีกอย่างตาแก่ก็ไม่เคยทำจริงเลยสักครั้ง
เมื่อตาแก่เห็นว่าข่มขู่เขาไม่ได้ จึงพูดอีกว่า “เจ้ากล้าออกไป เงินเดือนนี้เจ้าจะไม่ได้แม้แต่นิดเดียว!”
เฮ่อโยวใจนั้นคิด เดือนนี้เพิ่งได้เป็นคนหัวแถว การไม่มีเงินใช้นั้นอยู่ยากลำบากกว่าหมาของเขาถูกตัดขาเสียอีก!
ดังนั้น เฮ่อโยวจึงมากับบิดาด้วยความอึดอัดใจ เมื่อถึงจวนแม่ทัพก็เข้ามาแสดงความยินดี
เฮ่อโยวนั่งอย่างน่าเบื่อหน่ายอยู่ด้านข้าง ในมือถือตะเกียบ แล้วก็เคาะไปที่ถ้วยชามที่อยู่ด้านหน้า รอเวลาเจ้าของบ้านที่อยู่ด้านหลังตาข่ายนั้นปรากฎตัวออกมา เขาเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วพูดอย่างอึดอัดใจว่า “ ทำไมคนนั้นถึงมองแล้วรู้สึกคุ้นตาขนาดนี้?”
เวลานั้นเฉินเสียนก็ได้นั่งอยู่ข้างๆฉินหรูเหลียงแล้ว
เฮ่อเซียงได้ยินที่เฮ่อโยวพูด จึงตบไปที่หัวด้านหลังของเขา แล้วพูดต่อด้วยเสียงเบาว่า “นั้นคือองค์หญิง! ยังไม่มีมารยาทอีก !ลูกอกตัญญู ไม่ใช่ว่าเห็นผู้หญิงคนไหนก็หน้าคุ้นไปหมดหรอกนะ!”
เฮ่อโยวลูบไปที่หัวที่โดนตบ เหลือบตามองบน แล้วพูดว่า “ท่านพ่อ พูดก็พูดสิ จะขยับไม้ขยับมือทำไม!”
เป็นที่รู้กันดีว่า ตระกูลเฮ่อเซียงมีลูกชายเจ้าสำราญที่ทำให้เขาปวดหัวมากที่สุดคนหนึ่ง
เมื่อเห็นเพื่อนขุนนางร่วมงานเดินเข้ามา สีหน้าของเฮ่อเซียงค่อนข้างจะอึดอัด หัวเราะแห้งๆแล้วพูดว่า “ลูกชายของข้าชอบทำตัวน่าเกลียด เลยทำให้ทุกท่านหัวเราะ”
เฮ่อโยวไม่ชอบการกระทำของบิดาแบบนี้เป็นที่สุด เห็นเห็นอยู่ว่าเขาดึงตัวเองเข้ามา สุดท้ายแม้แต่พูดเขายังไม่ได้พูดเลยสักคำ
เฮ่อโยวมองไปยังที่ด้านหลังผ้าแพรนั่น ยิ่งทำให้รู้สึกว่าองค์หญิงที่อุ้มลูกอยู่นั้นเหมือนเคยรู้จักที่ไหนมาก่อน
เขาเคยเห็นองค์หญิงจิ้งเสียนมาก่อนหรือไม่? อาจจะเคยเจอ แต่ว่าเขาลืมไปแล้วว่าเธอหน้าตาเป็นอย่างไร ทำไมถึงรู้สึกได้คุ้นตาแบบนี้
ที่นั่งอีกข้างของฉินหรูเหลียงนั้นคือหลิ่วเหมยอู่
ตอนที่ยังไม่ถึงเวลากินอาหาร หลิ่วเหมยอู่ลุกขึ้นก่อน แล้วเดินมาตรงหน้าเฉินเสียนเพื่อเคารพน้ำชากับนาง
เซียงหลิงที่อยู่ด้านข้างยกถาดรองขึ้นมา ในถาดรองนั้นถูกเตรียมถ้วยชามาสองใบพอดี
หลิ่วเหมยอู่เริ่มรินน้ำชาก่อน พูดเบาๆว่า “องค์หญิง ชาถ้วยนี้ข้าควรมาเคารพแก่ท่านตั้งนานแล้ว เพียงแต่รอมาถึงตอนนี้ไม่รู้ว่ามันสายไปหรือไม่”
เฉินเสียนอุ้มเจ้าน่องน้อยให้กับแม่นมซุยอย่างไม่รีบร้อน แล้วยืนขึ้น ยิ้มแล้วพูดว่า “ได้อย่างไรกัน ยากที่จะเห็นเจ้าเป็นแบบนี้ ข้าประหลาดใจยิ่งนัก”
หลิ่วเหมยอู่พูด “เมื่อก่อนเป็นเหมยอู่ที่ไม่รู้ความ ทำให้องค์หญิงไม่สบายใจหลายเรื่อง เหมยอู่กับองค์หญิงเป็นคนข้างกายของแม่ทัพเหมือนกัน ควรจะเป็นพี่น้องกัน เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เหมยอู่อยากจะขอโทษองค์หญิงสำหรับอดีตที่ผ่านมา อยากให้องค์หญิงประทานอภัย”
เฉินเสียนเลิกคิ้วแล้วพูดว่า “ครอบครัวเดียวนั้นไม่ผิด เพียงแต่พี่น้องน่าจะไม่ค่อยเหมาะสม หรือเจ้าอยากเป็นองค์หญิง?”
สีหน้าหลิ่วเหมยอู่ค่อนข้างจะรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แล้วพูดว่า “องค์หญิงพูดเป็นเล่น เหมยอู่ไม่กล้าคิด เป็นเพราะเหมยอู่นั้นพลั้งปากไป”
ฉินหรูเหลียงที่อยู่ด้านข้างเห็นหลิ่วเหมยอู่ได้รับความน้อยใจ จึงช่วยพูดว่า“ เหมยอู่มีเจตนาดีอยากจะสนิทสนมสามัคคีกับท่าน ท่านก็น่าจะพอได้แล้ว”
เฉินเสียนพูดเบาๆว่า “ท่านหมายถึงคำพูดไหนกัน ไม่ใช่เพราะเหมยอู่บอกว่าอยากเป็นพี่น้องกับข้ารึ พี่น้องของข้าก็คือองค์หญิง? ข้าก็พูดไปตามท้องเรื่อง”
หลิ่วเหมยอู่แสดงสีหน้าอย่างผู้บริสุทธิ์ แล้วพูดว่า “องค์หญิง เหมยอู่อยากจะสนิทสนมกับท่านด้วยใจจริงเพคะ”