ฉินหรูเหลียงไม่มีเวลาว่างอยู่ในจวนเลย
ทุกวันเขาต้องไปที่สนามซ้อม เลือกทหาร ฝึกฝนทหารใหม่
เฉินเสียนได้ยินคนใช้ภายในจวนคุยกันว่าจะสู้รบแล้ว
แล้วก็มีคนพูดว่า แต่จะฉลองตรุษจีนแล้ว ไม่สามารถรอให้ผ่านฉลองตรุษจีนแล้วค่อยไปสู้รบหรือ?
หลิ่วเหมยอู่ที่อยู่ในสวนดอกพุดตานหวาดผวากลัวทั้งวัน เวลานี้ฉินหรูเหลียงก็ไม่มีเวลามาพลอดรักกับนาง บ่อยครั้งที่นางอยากเจอฉินหรูเหลียง ก็ไม่ได้เจอเลย
กองกำลังทหารของต้าฉู่ทางชายแดนทิศเหนือไม่สามารถหมุนเวียนมาใช้ได้ ฉินหรูเหลียงทำได้เพียงฝึกฝนทหารใหม่ วันเวลาผ่านไปฤกษ์งามยามดีสามารถรวบรวมกำลังพลทหารขึ้นมารบใหม่ได้
ไม่รอให้ผ่านช่วงฉลองตรุษจีน วันขึ้นแปดค่ำเดือนสิบสอง บรรยากาศหนาวเหน็บ
อวี้เยี่ยนต้มโจ๊กมาให้เฉินเสียนกินอบอุ่นร่างกาย
พอเปิดประตูห้อง ลมเย็นหนาวเหน็บเข้ากระดูกทางด้านนอกลอยพาดผ่านเข้ามาในห้อง
อวี้เยี่ยนกล่าวด้วยความนิ่งสงบว่า“องค์หญิง ท่านแม่ทัพมาเพคะ อยู่ที่ด้านนอกแล้ว”
นางไม่อยากให้ฉินหรูเหลียงก้าวเข้ามาในห้องแม้แต่ก้าวเดียว แต่ก็ไม่สามารถที่จะไม่ต้อนรับได้
เฉินเสียนไม่อยากให้ฉินหรูเหลียงเข้ามาในห้องของเธอ จึงลุกขึ้น อวี้เยี่ยนหยิบเสื้อคลุมหนามาคลุมร่างกายให้เธอ ผูกเชือกเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เฉินเสียนเปิดประตูออก เงยหน้าขึ้นเห็นฉินหรูเหลียงอยู่ในสายลม
เขาไม่ปะหวั่นพรั่นพรึงกับลมหนาวเหน็บนี้ ลำตัวยังคงยืนตรงหล่อสง่างามเหมือนเดิม แต่โฉมหน้าที่มองดูแล้วเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้ากับไร้เรี่ยวแรง
ฉินหรูเหลียงแววตาเป็นประกาย อ้าปากอยากจะพูดอะไร แต่เห็นสีหน้าเย็นชาว่างเปล่าของเฉินเสียน ก็อดกลั้นข่มอารมณ์ไว้
วันพระไม่ได้มีหนเดียวจริงๆ
เขายังจำปีก่อนได้ เขาก็เย็นชาเหมือนกับนาง ไม่อยากจะมองนาง ไม่อยากพูดคุยกับนางสักประโยคเดียว แม้ว่าวันสำคัญสิริมงคลแพรไหมสีแดงมืดฟ้ามัวดิน เขาก็ไม่เคยเอาใจพะเน้าพะนอนางเลยสักประเดี๋ยวเดียว
และวันนี้พวกเขาเปลี่ยนสลับตำแหน่งกันแล้ว
รู้ว่าไม่ควรที่จะรักนาง แต่เขาเองที่พยายามหาเรื่องยุ่งยาก
เฉินเสียนไม่มีความอดทนที่จะยืนรับลมเย็นเป็นเพื่อนเขา รออีกสักพักหนึ่งไม่เห็นเขาเอ่ยปากพูด ก็จะหมุนตัวกลับเข้าห้อง
ถ้าหากฉินหรูเหลียงชอบยืนที่ลานหน้าเรือนนี้ ยืนสามวันสามคืนเธอก็ไม่มีทางถามสักหนึ่งประโยคหรอกนะ
เพียงแค่กำลังจะหมุนตัว ฉินหรูเหลียงกล่าวขึ้นทันทีว่า“ข้าจะออกศึกแล้ว”
เฉินเสียนชะงักฝีเท้า
เธอกล่าวเสียงราบเรียบว่า“ท่านไม่ได้กราบทูลองค์จักรพรรดิหรือ ว่าข้าทำให้แขนท่านพิการหนึ่งข้างแล้ว?ถ้าหากองค์จักรพรรดิทราบเรื่อง ไม่มีทางให้ท่านออกศึกแน่นอน หลีกเลี่ยงการทำให้ต้าฉู่ขายหน้า”
ฉินหรูเหลียงยิ้มเจื่อนๆสักพักหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า“ข้าคือท่านแม่ทัพใหญ่ของต้าฉู่ ข้าควรที่จะอยู่ในยุทธศาสตร์สนามรบ ถ้าหากว่าองค์จักรพรรดิรู้ว่าข้ามือพิการหนึ่งข้าง ไม่เฉพาะข้าที่ไม่ได้มีความสงบ จิ้งเสียนท่านก็จะไม่ได้รับความสงบด้วย ”
เฉินเสียนหมุนตัวมามองเขา ในแววตาเย็นชาเยือกเย็น ไม่แยแส
ฉินหรูเหลียงกล่าวอีกว่า“วันมะรืนนี้จะออกศึก ข้ามาบอกท่านก่อนสักหน่อยหนึ่ง หลังจากที่ข้าไป ไม่รู้ว่าวันใดจะได้กลับมา จวนแม่ทัพยังต้องขอรบกวนท่านดูแลหน่อยนะ”
เฉินเสียนกล่าวว่า“ปัจจุบันนี้ข้ายังเป็นนายหญิงในนามของจวนแม่ทัพอยู่ ยังไม่ถึงกับทอดทิ้งทุกคนแล้วไม่สนใจหรอก”
ฉินหรูเหลียงพยักหน้าเงียบๆ สุดท้ายกล่าวว่า “ทางด้านหลิ่วเหมยอู่ หวังว่าท่านจะอดทนให้อภัยนางบ้าง ถ้าหากนางหัวแข็งทำผิดสิ่งใด ขอความกรุณาท่านไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนาง ถ้าหากทำผิดใหญ่หลวง สามารถเก็บไว้รอให้ข้ามาจัดการได้หรือไม่?”
เฉินเสียนแสยะยิ้มที่มุมปาก กล่าวอย่างเย็นชาว่า“ข้าว่าแล้วท่านจะไม่มีเหตุผลมาพูดกับข้าได้อย่างไร ที่แท้ตัดใจทิ้งนางไม่ลง ถ้าหากท่านตัดใจทิ้งนางไม่ลง พานางไปสมัครเป็นทหารด้วยกันก็จบ ไม่จำเป็นต้องให้อยู่ในเรือนแล้วคิดถึงเป็นทุกข์หรอก”
“ออกศึกสู้รบเหมือนการเล่นแบบเด็กๆที่ไหนกัน จะเอาหญิงออกไปดูแลด้วยได้อย่างไรกัน”
เฉินเสียนเปิดเปลือกตาเงยมองท้องฟ้ามืดเย็นยะเยือก กล่าวว่า“กับผู้อื่นท่านเป็นผู้ไร้จิตใจ โหดทารุณ จะมีเพียงแต่หลิ่วเหมยอู่เท่านั้น ท่านหลงรักเสียจนมากล้น ท่านกับนางทะเลาะกันจนเป็นเช่นนี้แล้ว แต่ทว่าก่อนเดินทางท่านไม่เคยลืมนางเลย”
ฉินหรูเหลียงกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า“ตั้งแต่เล็กนางก็ได้รับความทุกข์มากมาย ตอนที่ข้าพานางกลับมาจากด่านชายแดนด้วยก็สัญญาไว้ว่าจะดูแลนางตลอดชีวิต ข้างกายนางไม่มีญาติมิตรแล้ว โดดเดี่ยวเพียงลำพัง จำเป็นต้องได้รับการปกป้องดูแลนะ”
เฉินเสียนไม่ทุกข์ร้อน กล่าวว่า “ใช่สิ ผู้อื่นไม่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง ผู้อื่นไม่จำเป็นต้องรับการปกป้องดูแลหรอก แต่ไหนแต่ไรข้างกายผู้อื่นมีคนอยู่ด้วยมากมาย บนโลกนี้นางเป็นผู้ที่บริสุทธิ์อ่อนแอที่สุด ฉินหรูเหลียง ท่านสายตาดีเสียจริงนะ”
ฉินหรูเหลียงใจบีบรัดแน่น
ช่วงปีที่ผ่านมา เฉินเสียนไม่เคยเป็นเช่นนี้เลย
ราชสำนักเกิดกบฏ ผู้คนถูกฆ่าตายจำนวนมาก
เธอกลายเป็นลูกกำพร้า ตกจากท้องฟ้าลงมากองโคลน ผู้คนมากมายจนนับไม่ถ้วนยืนมองดูอยู่ด้านข้าง ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาดึงเธอขึ้นเลย
เธอจากองค์หญิงผู้ไร้เดียงสาน่ารักกลายเป็นคนบ้าเสียสติ
เหตุใดฉินหรูเหลียงไม่เคยรู้สึกว่าเธอน่าสงสารเลย?
ส่วนมากเป็นเพราะว่ามีหลิ่วเหมยอู่เสริมให้เด่นขึ้น ความโดดเด่นนี้ทำให้เธอดูเหมือนว่าไม่น่าสงสารเลยสักนิดหนึ่ง
น้อยมากที่ฉินหรูเหลียงจะสามารถสงบใจลงได้ แล้วมาพูดคุยดีๆกับเฉินเสียนไม่กี่ประโยคนี้
“เฉินเสียน ท่านติดหนี้นางนะ”ฉินหรูเหลียงกล่าว
เฉินเสียนกล่าวถามว่า“ข้าติดหนี้นางอย่างไรกัน”
ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า“เมื่อก่อนข้าไม่ได้เกลียดชังท่านเท่าไหร่นัก ถ้าหากข้ารู้ว่าในการกบฏครั้งนั้นข้าช่วยชีวิตท่าน ขัดขวางฝ่าบาทไม่ให้ใช้ดาบฆ่าท่าน เป็นการวางแผนจากผู้อื่นอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว ข้าก็ไม่เคยที่จะเสียใจภายหลัง”
“แต่ข้าช่วยเขาช่วยชีวิตท่านไว้ ต้องแลกกับตระกูลหลิ่วทั้งตระกูลถูกริบทรัพย์ หลิ่วเหมยอู่ต้องอยู่ด้านนอกอย่างยากลำบาก ไร้ที่อยู่อาศัย”ฉินหรูเหลียงมองเธอแล้วกล่าวว่า“เวลานั้นข้ารู้สึกว่า ข้าผิดที่ช่วยท่านไว้”
เฉินเสียนชะงักงัน
ฉินหรูเหลียงยิ้มแหยแล้วกล่าวว่า“ท่านยังจำบัณฑิตซูเจ๋อคนปัจจุบันนี้ได้หรือไม่? ข้างกายของท่านมักมีเขาติดตามดูแลอยู่ มักมีเขาอยู่เพื่อระบายความกลัดกลุ้มแก้ไขความทุกข์ให้กับท่าน ข้างกายของท่านมีเขาคอยจัดการให้ ปกป้องดูแลท่าน ไม่จำเป็นจะต้องมีคนอยู่ข้างๆอีกใช่หรือไม่? แต่ว่าข้างกายหลิ่วเหมยอู่ ไม่มีผู้ใดสักคน”
“เพราะฉะนั้นท่านกับหลิ่วเหมยอู่มีจุดจบที่ครอบครัวแตกคนในครอบครัวตายเหมือนกัน แต่ทว่าท่านห่างไกลไม่ได้น่าสงสารเช่นนาง ”ฉินหรูเหลียงกล่าวแล้วหยุดจากนั้นก็กล่าวต่ออีกว่า“ถ้าหากไม่ใช่ซูเจ๋อ ตระกูลหลิ่วไม่มีทางมีจุดจบอย่างปัจจุบันนี้ เป็นเขา มือข้างเดียวพังทลายตระกูลหลิ่ว เป็นเขาอีกเช่นกัน ทำร้ายหลิ่วเหมยอู่ให้ถูกเนรเทศ พเนจรเป็นจัณฑาล”
“เพราะฉะนั้นต่อมาข้าถึงได้เสียใจภายหลังอยู่บ่อยๆ ถ้าหากว่ารู้ว่าต่อมาจะมีผลลัพธ์เช่นนี้ ตอนแรกที่เกิดการกบฏข้าไม่ควรทำตามเขาเพื่อจะช่วยท่านไว้ ”
ภายในใจของเฉินเสียนกระตุกวูบโดยฉับพลัน
“ที่แท้ท่านเกลียดชังข้าเช่นนี้ เป็นเพราะว่าซูเจ๋อหรือ?”เธอถาม
“ใช่สิ เป็นเพราะเขา”ฉินหรูเหลียงกล่าว“เพราะว่าเขาเป็นคนเลวทรามต่ำช้า”
เฉินเสียนหัวเราะเยาะเย้ยออกมาทันที เธอหยุดหัวเราะไม่ได้สักนิดเดียว
เธอเดินลงมาตามขั้นบันไดทีละก้าวๆ ยืนอย่างสง่าผ่าเผยอยู่ตรงหน้าฉินหรูเหลียง เงยหน้ามองเขา แล้วกล่าวถามว่า“เป็นเพราะเขาท่านเลยเคยเกลียดชังข้า ขอถามหน่อยแม่ทัพฉิน ข้าเคยทำอะไรผิดหรือไม่? ข้าเคยวางแผนให้ท่านมาช่วยชีวิตข้าหรือไม่?ข้าเคยวางแผนให้ตระกูลหลิ่วถูกริบทรัพย์หรือไม่? ที่ตายไปคือตระกูลของนาง ที่ตายไปคือ ตระกูลของข้า ฉินหรูเหลียง ข้าเคยมีสิ่งใดที่ทำผิดต่อท่านหรือไม่? ”
ฉินหรูเหลียงเม้มริมฝีปาก ตอบไม่ได้
เวลานั้นเธอโง่เขลา เธอจะมีกลอุบายเช่นซูเจ๋อได้อย่างไร
เฉินเสียนกล่าวถากถางว่า“ข้าก็ยังไม่เคยทำสิ่งใด แต่ทว่าท่านนั้นเพราะคนอีกคนหนึ่ง เอาความเกลียดชังทั้งหมดมายัดไว้บนตัวข้า ท่านไม่เคยต่ำช้าที่ไหนกันเล่า?”
เธอก้มหน้าหัวเราะเสียงต่ำ กล่าวเสียงเบาว่า“ท่านบอกว่าเป็นซูเจ๋อที่พังทลายตระกูลหลิ่ว ท่านทำไมไม่พูดว่าตระกูลหลิ่วหาเรื่องใส่ตัวล่ะ ถ้าหากไม่ใช่ว่าหลิ่วเหวินเฮ่าสังหารเสด็จพ่อขององค์จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ จะมีภัยพิบัติเช่นนี้หรือไม่ ซูเจ๋อเพียงแค่คล้อยตามคำสั่ง กลายเป็นกริชที่แหลมคมเท่านั้นเอง”
“ถ้าหากเขาไม่เป็นกริชที่แหลมคมนี้ มีโอกาสที่องค์จักรพรรดิจะสั่งให้ท่านมาทำ สั่งให้ท่านริบทรัพย์ตระกูลหลิ่ว เนรเทศภรรยาและลูกๆตระกูลหลิ่ว ท่านน่าจะเกลียดชังตัวเองเข้ากระดูกใช่หรือไม่?”
ฉินหรูเหลียงกล่าวแล้วหยุดและกล่าวเสียงต่ำอีกว่า“เขาไม่มีทางไปทำเป็นกริชที่แหลมคม นั่นคือเขาอยากช่วยท่าน ต้องการช่วยชีวิตท่าน!เขาต้องการหันเหความสนใจกับความขัดแย้งของทุกคน ไม่เพียงแต่ตระกูลหลิ่ว ยังมีครอบครัวขุนนางท่านอื่น เวลานั้นเขาจับผู้ใดก็เหมือนหมาบ้ากัดผู้นั้น!”