อวี้เยี่ยนชะงักงัน ได้ยินเฉินเสียนกล่าวอีกว่า“วันนี้มีงานเลี้ยงสังสรรค์กับสหาย ไม่ใช่แฝงกายปิดโฉมหน้าตัวเองในตลาด ไม่จำเป็นต้องให้ผู้หญิงปลอมเป็นชาย ไม่เช่นนั้นข้ากลัวว่าสักครู่ เหลียนชิงโจวเจอข้าแล้วจะไม่สบายใจได้”
“เพคะ”
ดังนั้นอวี้เยี่ยนจึงอิงการแต่งตัวม้วนผมอย่างในอดีตให้กับเฉินเสียน
เฉินเสียนเคาะสีทาคิ้วที่อยู่บนโต๊ะเล่นตามแต่ใจประสงค์ กล่าวเสียงเบาว่า“เจ้าน่องน้อยโตขึ้นทุกวัน แต่ท่านพ่อของลูกยังไร้เงา”
อวี้เยี่ยนชะงักการเคลื่อนไหว กล่าวขึ้นว่า“เช่นนั้นครั้งนี้องค์หญิงถามคุณชายเหลียนไปตรงๆเลยไหมเพคะ”
เฉินเสียนยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า“พูดอ้อมค้อมกับเขา เกรงว่าเขาก็จะพูดอ้อมเป็นไกลสุดขอบฟ้านะ เจ้าว่าข้าทำไมยังยืนกรานอยากจะหาท่านพ่อของเจ้าน่องน้อยให้พบหรือ?ถ้าหากว่าผู้ใดก็ไม่ใช่ท่านพ่อของเขา แล้วเป็นเพียงคนต่ำต้อยที่ใจกล้าหาญล่ะ”
“ห้ะ?”อวี้เยี่ยนมึนงง นางยังไม่เคยคิดถึงปัญหานี้เลย
เฉินเสียนคิดเพื่อตัวเองแล้วกล่าวขึ้นว่า“พอพูดมาเช่นนี้ ข้าก็ควรที่จะคิดเพื่อตัวเองใช่หรือไม่ เหลียนชิงโจวพูดมาแล้ว ที่จริงก็เป็นคนที่ไม่เลวคนหนึ่ง”
จิตใต้สำนึกของอวี้เยี่ยนก็อยากจะพูดว่า เช่นนั้นใต้เท้าซูจะทำอย่างไร?
แต่คำพูดในปากก็ถูกนางกลืนกลับลงคอไป
เอ๊ะ นางไปใส่ใจว่าใต้เท้าซูจะทำอย่างไรได้ยังไงกันเล่า?แน่นอนว่าไม่ต้องสนใจเขา ทางที่ดีไม่ต้องพัวพันกับองค์หญิงของนางเลย
ครั้นแล้วอวี้เยี่ยนเลยกล่าวอย่างสุขใจว่า“บ่าวก็รู้สึกว่าคุณชายเหลียนเป็นคนที่ดีคนหนึ่งเพคะ”
ไม่ว่าท่านพ่อของเจ้าน่องน้อยเป็นผู้ใด เจ้าน่องน้อยก็คือลูกของเฉินเสียน เฉินเสียนระลึกจุดนี้ได้ รู้สึกว่าท่านพ่อของเขาเป็นผู้ใดก็ไม่ได้สำคัญเช่นนั้นแล้ว
เฉินเสียนไม่สามารถพาเจ้าน่องน้อยไปด้วยได้ จำใจต้องให้อวี้เยี่ยนอยู่กับแม่นมซุยเป็นสหายเล่นของเจ้าน่องน้อย และสั่งให้ด้านหลังครัวเตรียมอาหารอร่อยๆ อีกสักครู่ให้ส่งไปที่สวนสระวสันตฤดูหนึ่งชุด
ส่วนพวกคนรับใช้ ที่มีญาติสนิทอยู่ในเมืองเหลือง อนุญาตเป็นการพิเศษให้กลับไปฉลองตรุษจีนกับครอบครัวได้ และผู้ไม่มีครอบครัวก็อยู่รวมกันฉลองตรุษจีน ทุกคนได้รับเงินเดือนสองเท่า
ค่ำคืนนี้จวนแม่ทัพไม่มีผู้รักษาประตูทางเข้า พวกคนรับใช้อยากจะไปเดินเล่นซื้อของ ก็ออกจากจวนได้อย่างอิสระเสรี
ตอนที่เฉินเสียนกำลังจะไปเธอลูบไล้ใบหน้ารูปไข่ของเจ้าน่องน้อย แล้วกล่าวว่า“เด็กดี เหนื่อยแล้วก็นอน ท่านแม่จะกลับมาดึกหน่อยแล้วจะอยู่โต้รุ่งคืนส่งท้ายปีด้วยนะ ตอนนี้ท่านแม่ต้องออกไปจัดการเรื่องใหญ่ที่งงงวยไม่เข้าใจ ที่มันติดอยู่ในใจมาเป็นเวลานาน”
อวี้เยี่ยนไม่วางใจที่เฉินเสียนออกไปเพียงลำพัง แต่ได้ยินว่าเรือนเหลียนชิงโจวส่งเกี้ยวมารับ ถึงได้วางใจอยู่ที่สวนสระวสันตฤดู
สำหรับพ่อบ้านของจวนแม่ทัพ เป็นผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลม
ตอนที่ฉินหรูเหลียงจะไปออกศึกได้กำชับไว้ ไม่ต้องยุ่งเรื่องส่วนตัวของเฉินเสียน
เพราะว่าตอนที่เขาอยู่ที่จวนแม่ทัพยังยุ่งไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพ่อบ้านจิ๊บจ๊อยผู้หนึ่ง
เฉินเสียนจะไปที่แห่งใด ทำสิ่งใด พ่อบ้านก็ไม่ได้ถามมากมาย เพียงแค่จัดวางคนปิดประตูโดยไม่ลงกลอนให้กับเฉินเสียน จนถึงตอนที่เธอกลับจึงปิด
เวลานี้มีเกี้ยวนุ่มๆมารอคอยหน้าประตูแล้ว เหลียนชิงโจวยังเหมือนเมื่อก่อนเลย
เฉินเสียนเข้าไปในเกี้ยว ด้านในนุ่มและสบายเช่นเคย
อยู่บนถนน บนถนนเคลือบไปด้วยเงาของแสงไฟ แสงไฟริบหรี่พาดผ่านส่องเข้ามา ตามมาด้วยเสียงสนุกคึกครื้นของผู้คน
เฉินเสียนมองทะลุผ่านม่านหน้าต่างไปทางด้านนอก เห็นเด็กเล็กยืนอยู่บริเวณริมถนน ในมือถือดอกไม้ไฟสีเงินเล่นอย่างสนุกสนาน
บริเวณถนนหนทางกว้าง เหล่าประชาเอาไม้ฟืนก่อเป็นกำแพงสูงขึ้น จุดเป็นประกายไฟสว่างไสว สาดส่องสะท้อนที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเบิกบาน
ผู้คนเต้นระบำหมุนรอบกองไฟนั้น ร้องเพลงหัวเราะอย่างสนุกสนาน
เกี้ยวนุ่มๆเดินทางไปที่ริมแม่น้ำหยางชุน
เธอยังคงคุ้นเคยกับที่นี่มาก แต่ดาดว่าสาเหตุจากอากาศหนาวเย็น ทิวทัศน์ข้างแม่น้ำเทียบกับครั้งก่อนของสารทฤดูช่วงค่ำคืนเงียบอ้างว้างอย่างมาก
แต่ที่ไม่เหมือนกับในอดีตก็คือ เฉินเสียนยืนอยู่ริมแม่น้ำ หลุบตาขึ้นมองก็เห็น บนแม่น้ำหยางชุนตรงน้ำลึกนั้นมีเรือใหญ่จอดเทียบท่า
แสงไฟบนเรือสวยงาม สาดสะท้อนส่องสลัวที่แม่น้ำ ระลอกคลื่นมืดดำ ใหญ่กว่าที่เฉินเสียนจินตนาการไว้
เรือใหญ่ขับมาจากท่าเรือทางด้านนั้น เรือได้ไปขนถ่ายสินค้าที่ท่าเรือก่อน
มันหยุดจอดอยู่บนแม่น้ำไม่เคลื่อนไหว ดึงดูดความสนใจให้ผู้คนที่อยู่ริมฝั่งพากันมามุงชม
เมื่อก่อนตอนที่ฉลองเทศกาลมีเรือที่ประดับประดาอย่างสวยงามท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ แต่ไม่เคยเห็นเรือใหญ่ขับมาถึงที่นี่เลย
พอมองไป สองชั้นบนและล่างมีโคมไฟสีแดงส่องสว่างไสว สง่างามราวกับเป็นเรือท่องเที่ยวขนาดใหญ่มหึมา
เฉินเสียนเป่าลมหายใจออกมาทางปาก หรี่ตามองยิ้มออกมา
เธอจำได้ตอนที่เหลียนชิงโจวจะจากไปเคยพูดว่า ตอนกลับมา ให้ขึ้นเรือไปตามกระแสน้ำ
เวลานี้มีคนมาเชิญเฉินเสียนให้ขึ้นเรือ
บันไดไม้ไม่โคลงเคลงปลอดภัยเหยียดยื่นลงมาจากเรือใหญ่ เฉินเสียนยกชายกระโปรงเหยียบบันไดไม้แล้วก้าวเดินทีละก้าวๆ
หลังจากขึ้นเรือ ดวงตาเป็นประกายแวววาว ทัศนวิสัยที่มองเห็นสูงกว่าผู้อื่น ตรงหน้าเป็นบนดาดฟ้าของเรือ เหลียนชิงโจวยืนมือไขว้หลัง ใบหน้ามีรอยยิ้ม
โคมไฟสีแดงตรงระเบียงทางเดินขับให้ชุดสีสันสวยงามผมดำขลับเด่นขึ้น ร่างกายสูงหุ่นดี ชุดผ้าฝ้ายห้อยลงมาถึงเท้าโอนอ่อนผ่อนตาม หล่อรูปงาม สุกสกาวราวกับพระจันทร์
พอเห็นเฉินเสียนมา เหลียนชิงโจวประสานมือคารวะอย่างนุ่มนวล ระยะห่างค่อนข้างไกลมาก แล้วกล่าวขึ้นว่า“องค์หญิง ไม่เจอกันนานเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนรู้สึกว่าเขาไม่ร้อนไม่หนาว ไม่มีกิริยาท่าทางแปลกประหลาด รู้สึกสนิทสนมอบอุ่นเสียจริง
เฉินเสียนมีรอยยิ้มเช่นกัน เดินไปแล้วกล่าวว่า“ยังคิดว่าเจ้าเป็นห่วงการหาเงินอยู่ เลยลืมว่าต้องกลับมาฉลองเทศกาลตรุษจีนเสียแล้ว”
เหลียนชิงโจวกล่าวว่า“ยังดีที่กระหม่อมมาทันเวลาภายในคืนเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนเห็นเขาเดินทางอย่างยากลำบาก จึงเดินไปด้านหน้าเอื้อมมือปัดจีบเสื้อที่ไหล่ของเขา แล้วกล่าวขึ้นว่า“เดินทางกลับมาไกลพันลี้ ระหว่างการเดินทางน่าจะเหน็ดเหนื่อยมาก วันนี้ก็ไม่รีบร้อนหรอกนะ เหตุใดไม่พักผ่อนก่อนแล้วค่อยเชิญข้ามา”
ท่าทางการกระทำที่เป็นธรรมชาติของเธอทำให้เหลียนชิงโจวมึนงง
พูดตามหลักเหตุผล เมื่อก่อนตอนที่เฉินเสียนกระทำอย่างสนิทสนมชิดเชื้อเช่นนี้ น่าจะมีความคิดที่ไม่ดีอะไรแน่
เหลียนชิงโจวก้าวถอยหลัง เขินอับอายจนเหงื่อตกกล่าวว่า “กระหม่อมมีใจที่อยากจะพุ่งกลับเรือนพ่ะย่ะค่ะ ไม่เหนื่อยสักนิดหนึ่งเลย ถ้าหากไม่เชื้อเชิญองค์หญิงมาก่อน เกรงว่าค่ำคืนนี้ไม่มีวิธีที่จะหลับอย่างสงบพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนมองปฏิกิริยาของเขา ราวกับจะยิ้มก็ไม่ยิ้มกล่าวขึ้นว่า“เจ้าถอยทำไม กลัวว่าข้าจะกินเจ้าหรือ?”
“องค์หญิงล้อเล่นเก่งเสียจริงพ่ะย่ะค่ะ”เหลียนชิงโจวยกมือบอกให้ทราบว่า“ด้านนอกอากาศหนาวเย็น ขอเชิญองค์หญิงเข้าไปก่อนเถิดค่อยคุยนะพ่ะย่ะค่ะ”
เหลียนชิงโจวพาเธอเข้าไปในห้องที่ใหญ่โตโอ่อ่า ด้านในที่นั่งสีเขียวอมน้ำเงินวางแผ่อยู่ ด้านบนที่นั่งจัดวางด้วยหมอนอิงผ้าต่วน
โต๊ะไม้จันทร์สีเข้มเตี้ยและเล็กประดับอยู่ในนั้น บริเวณมุมวางเตาไฟอบอุ่น กลิ่นหอมของชาลอยตามลม สบายอกสบายใจอย่างมาก
สายตาเฉินเสียนมองเข้าไปทีละน้อย กล่าวเสียงเจื้อยแจ้วขึ้นว่า“เหลียนชิงโจว เจ้านี่เพลิดเพลิน……..”
แต่ทว่ายังไม่ทันพูดจบ สายตาของเฉินเสียนมองเห็นคนที่นั่งชิมรสชาอย่างไม่ทุกข์ร้อนอยู่ภายในห้องนั้น ชะงักงันทั้งตัว ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว กล่าวด้วยความตื่นตระหนกว่า“ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?”
ซูเจ๋อวางถ้วยชาลงช้าๆ หลุบตาขึ้นมองเฉินเสียน แล้วกล่าวขึ้นว่า“เหตุใดข้าถึงอยู่ที่นี่ไม่ได้”
เหลียมชิงโจวกระแอมไอ ทำให้ความเก้อเขินหมดสิ้นไปแล้วกล่าวขึ้นว่า“วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า คนเยอะสนุก คนเยอะสนุกคึกครื้น”
ซูเจ๋อหดรูม่านตาให้เล็กลง มองการก้าวเดินของเธอต่อไป ปากกล่าวพูดคำที่เธอกล่าวออกมาเมื่อครู่นี้อีกครั้งหนึ่งว่า“ถอยทำไม กลัวว่าข้าจะกินท่านหรือ?”
น้ำเสียงกับท่วงทำนองของคำพูดนี้ เหมือนกับน้ำเสียงเมื่อครู่นี้ของเฉินเสียนเลย
บนสีหน้าของเหลียนชิงโจวไม่แสดงออกท่าทาง แต่ทว่าในใจนั้นแอบหัวเราะ
นี่ใช่หรือไม่ว่าสรรพสิ่งต่างๆมักจะมีการสร้างการข่มกัน สิ่งหนึ่งมักจะมีอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถมากำราบได้?
เหลียนชิงโจวกล่าวกู้หน้าว่า“องค์หญิงมาแล้ว ก็เข้าไปนั่งโต๊ะเดียวกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ อีกสักครู่กินข้าวเสร็จ กระหม่อมจะพาองค์หญิงชื่นชมเรือนี้”