เฉินเสียนไม่คิดว่าจะมาเจอซูเจ๋อที่นี่ เธอจึงไม่ได้เตรียมใจไว้เลย
แต่ก็อย่างที่เหลียนชิงโจวว่า ไหนๆ เธอก็มาแล้ว ถ้าไม่กล้าแม้แต่จะก้าวเข้าประตูไป มันจะดูขี้ขลาดไปหน่อย
ใครไม่รู้อาจจะคิดว่าเธอกลัวซูเจ๋อ
เฉินเสียนจำต้องเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สีหน้าของเธอดูปั่นป่วนและเลือกนั่งโต๊ะตรงมุมที่เตรียมไว้ไกลจากซูเจ๋อมากที่สุด
เหลียนชิงโจวเอ่ยอย่างอึดอัดว่า “ขออภัยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง ตรงนั้นเป็นที่ของกระหม่อม”
เฉินเสียนทำหน้าขรึมและกล่าวว่า “ที่นั่งของเจ้าแล้วยังไง ข้านั่งไม่ได้รึ เจ้าเปลี่ยนไปนั่งข้างเขาไม่ได้หรืออย่างไร”
ม้านั่งเตี้ยๆ ในห้องมีเพียงแค่สามตัวสำหรับคนสามคน
นอกจากที่นั่งของเหลียนชิงโจว ตอนนี้ก็เหลือแค่ที่นั่งซึ่งอยู่ข้างๆ ซูเจ๋อเท่านั้น
เฉินเสียนคิดว่าไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็ต้องยึดที่นั่งของเหลียนชิงโจวเอาไว้
ทว่าเหลียนชิงโจวกลับเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “กระหม่อมใช้ชุดน้ำชาบนโต๊ะไปแล้ว องค์หญิงควรใช้ชุดใหม่บนโต๊ะนั้นนะพ่ะย่ะค่ะ”
ซูเจ๋อเอ่ยขึ้นมาเรื่อยๆ ว่า “ท่านกลัวข้าหรือ”
เฉินเสียนกลอกตา “ใครกลัวท่าน ท่านคิดว่าหน้าตาตัวเองน่ากลัวนักหรือไง ชิ”
ซูเจ๋อหรี่ตามองเธอเล็กน้อย เขายิ้มและกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านคงนั่งตรงนี้ได้สินะ”
เฉินเสียนชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะนั่งลงประหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
บนเรือลำนี้ไม่ได้มีพวกเขาแค่สามคน หลังจากนั้นเหลียนชิงโจวจึงสั่งให้คนยกอาหารเข้ามา คนที่อยู่ข้างนอกยกอาหารที่ดูน่าอร่อยซึ่งเตรียมไว้เรียบร้อยเข้ามาให้ทีละอย่างและจัดวางลงบนโต๊ะ
อาหารเหล่านี้ไม่ใช่อาหารแบบที่เฉินเสียนกินเป็นประจำในเมืองหลวง
เหลียนชิงโจวกล่าวว่า “นี่เป็นอาหารพื้นเมืองบางส่วน องค์หญิงลองชิมดูสิพ่ะย่ะค่ะว่ารสชาติถูกพระโอษฐ์ไหม”
เมื่อลองชิมไปนิดหนึ่งต่อมรับรสของเฉินเสียนก็ถูกกระตุ้น ความอยากอาหารของเธอเพิ่มขึ้นและเธอก็ค่อยๆ รู้สึกผ่อนคลาย
เธอถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้าไปที่เย่เหลียง ทุกอย่างราบรื่นดีไหม”
เดิมทีนี่คือความลับระหว่างเหลียนชิงโจวกับซูเจ๋อ
เมื่อเหลียนชิงโจวเห็นว่าซูเจ๋อไม่พูดอะไร เขาจึงกล่าวว่า “ลำบากองค์หญิงทรงเป็นห่วง ทุกอย่างราบรื่นดีพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนกล่าวอีกว่า “ฉินหรูเหลียงเพิ่งออกไปทำศึกเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งหมดเป็นคุณงามความดีของเจ้า”
เหลียนชิงโจวเอ่ยอย่างคล้อยตามว่า “องค์หญิงทรงยกย่องกระหม่อมเกินไป กระหม่อมเป็นแต่เพียงพ่อค้าธรรมดา จะมีอิทธิพลต่อศึกสงครามระหว่างสองอาณาจักรได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนเหลือบมองเขา “เจ้าทำไม่ได้ แต่ใครบางคนทำได้”
ซูเจ๋อถือตะเกียบไม้ไผ่ธรรมดาๆ ไว้คู่หนึ่ง นิ้วขาวสะอาดที่โค้งงอเล็กน้อยดูประหนึ่งงานศิลปะชั้นดี
การมองเขากิน เรียกได้ว่าเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งก็ว่าได้
ซูเจ๋อวางตะเกียบลงและกล่าวว่า “คืนนั้นท่านวิ่งหนีอะไร”
เฉินเสียนแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “คืนไหน”
“คืนที่คุณชายรองแห่งตระกูลเฮ่อถูกจับได้และถูกทุบตี”
เฉินเสียนกระตุกมุมปากและกล่าวว่า “คนที่ผิวปากให้ท่านคือเฮ่อโยว ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย ถ้าไม่วิ่งข้าจะมาอยู่กินอาหารมื้อดึกที่นี่ได้หรือ เขาเมามากแต่ท่านยังลดตัวไปเถียงกับเขา”
“โชคดีที่ท่านวิ่งเร็ว” ซูเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและชำเลืองมองเธอ “ท่านร้อนตัวหรือ”
เฉินเสียนตอบทันทีว่า “ข้าแค่ไม่อยากเห็นหน้าท่าน”
เหล้าบนเตากำลังเดือด ชั่วขณะนั้นในห้องเกิดความเงียบจนเหลือเพียงแค่เสียงน้ำเดือดปุดๆ ตามมาด้วยกลิ่นหอมหวานกลมกล่อมของสุรา
เหลียนชิงโจวเดินไปหยิบกาต้มน้ำและกล่าวว่า “นี่คือเหล้าหมักสับปะรดสูตรพิเศษของเย่เหลียง องค์หญิงอยากลองชิมไหมพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนยกจอกเหล้าบนโต๊ะ “เต็มจอก”
เหลียนชิงโจวรินเหล้าให้เธอและเตรียมจะกลับไปนั่งที่ของตัวเอง
เฉินเสียนกล่าวขึ้นมาว่า “ทำไมไม่รินให้เขาด้วยล่ะ”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ข้าไม่ดื่มสุรา”
เฉินเสียนเพิ่งรู้ว่าว่าซูเจ๋อไม่เคยดื่มสุรา
เธอกล่าวว่า “คนที่ไม่ว่าเวลาไหนก็ยังรักษาสติไว้มั่นคงอย่างท่าน คงจะพลาดเรื่องสนุกๆ ไปเยอะ”
แต่เดิมเฉินเสียนก็ไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้ ตอนที่ดื่มสุรากับเฮ่อโยวเธอมีสติอยู่เสมอ แต่เฮ่อโยวควบคุมตัวเองไม่ได้ จึงเมาเละอยู่คนเดียว
เหล้าหมักสับปะรดที่เหลียนชิงโจวนำมาวันนี้หอมหวานและอร่อยถูกปาก รสชาติของมันไม่เข้มจนเกินไป ไปๆ มาๆ เฉินเสียนก็ดื่มไปแล้วสองจอกโดยไม่รู้ตัว
ขณะที่เธอกับเหลียนชิงโจวชนจอกกัน ซูเจ๋อกลับดื่มเพียงแค่ชาเท่านั้น
ชาของซูเจ๋อถูกตั้งต้มไว้บนเตาด้านซ้ายมือ เมื่อชาเดือดเขาจึงหยิบขึ้นมาและรินน้ำชาสีเขียวใสลงในถ้วย และวางถ้วยนั้นลงบนโต๊ะตรงหน้าเฉินเสียนโดยไม่สนว่าเธอจะดื่มหรือไม่
ซูเจ๋อกล่าวว่า “เหล้าสับปะรดแม้จะไม่ทำให้มึนเมา แต่ก็ยังเป็นเหล้า”
ขณะนั้นเฉินเสียนกำลังโยกศีรษะไปมา เธอหยิบตะเกียบขึ้นมาเคาะถ้วยและฟังเสียงใสที่ดังมาจากปลายตะเกียบอย่างเพลิดเพลิน
เธอหรี่ตาและยกมุมปากเล็กน้อย เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ท่าทางเหมือนคนเมา เธอโน้มตัวไปพูดเบาๆ ที่ข้างหูของซูเจ๋อว่า “ท่านกลัวว่าข้าจะเมาเหรอ วางใจได้ ถึงข้าจะเมา แต่ข้าก็ไม่ผิวปากลวนลามท่านที่ข้างถนนอย่างเฮ่อโยวหรอกน่ะ”
ซูเจ๋อจิบชาโดยที่ออกความเห็นใดๆ
ซูเจ๋อกล่าวขนาดนั้นแล้ว เหลียนชิงโจวจึงช่วยเกลี้ยกล่อมว่า “องค์หญิงดื่มไม่ได้แล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ดื่มอีกจะยิ่งเมา”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ปกติข้าไม่ดื่ม แต่ถ้าอยู่กับเจ้า เหลียนชิงโจว ถึงเมาก็ไม่เป็นไร”
เหลียนชิงโจวเนื้อตัวสั่น ตั้งแต่ตอนที่เฉินเสียนขึ้นมาบนเรือและลูบชุดเขาให้เรียบร้อย เขาก็รู้สึกมาตลอดว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น
เหลียนชิงโจวกล่าวว่า “องค์หญิงกล่าวเกินไปแล้ว”
เฉินเสียนรู้สึกว่าคืนนี้คือโอกาสที่เหมาะสม ทั้งถูกที่และถูกเวลา
อือ… แต่ถ้าซูเจ๋อไม่อยู่ที่นี่ทุกอย่างก็จะสมบูรณ์แบบ เธอคงจะจัดการปัญหาส่วนตัวกับเหลียนชิงโจวได้สะดวก
ถ้ายังไม่ดื่มเหล้าและมีซูเจ๋ออยู่ที่นี่ด้วย เธอคงจะพูดสิ่งเหล่านี้กับเหลียนชิงโจวไม่ได้แน่
แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว เธอดื่มเหล้าแล้วและมีความกล้าหาญเต็มเปี่ยม
เหลียนชิงโจวเองก็ไม่ได้ดื่มมากไป หลังจากดื่มเหล้าเขาก็เปลี่ยนไปดื่มชาต่อ
ขณะที่เขากำลังจิบชาอยู่นั้น จู่ๆ เฉินเสียนก็วางตะเกียบลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เหลียนชิงโจว เรามาคบหาดูใจกันไหม”
พรืด… เขาสำลักชาออกมา
เหลียนชิงโจวทำหน้าตกอกตกใจ “คบ… คบหาดูใจ?” เขาหันไปมองซูเจ๋อโดยอัตโนมัติ “แบบนี้คงไม่เหมาะกระมัง องค์หญิงคงดื่มมากเกินไปแล้ว”
เฉินเสียนเลิกคิ้ว “ไม่เหมาะยังไง เจ้าแต่งงานแล้วรึ”
“กระหม่อมยังพ่ะย่ะค่ะ แต่องค์หญิงทรงอภิเษกแล้ว”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ไม่ช้าก็เร็วข้าก็ต้องหย่า” เฉินเสียนเอ่ยอย่างไม่ค่อยมีสติ “เจ้าวางใจได้ ตลอดเวลาหนึ่งปีกว่าที่ข้าแต่งงานกับฉินหรูเหลียง ข้าไม่เคยมีความสัมพันธ์กับเขาเลยสักครั้ง เจ้าเองก็ดูไม่เลว ถ้าต่อไปเจ้าน่องน้อยได้เจ้ามาเป็นพ่อก็คงจะดีไม่น้อย”
เหลียนชิงโจวเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “องค์หญิงนั้นสูงส่ง กระหม่อมเป็นเพียงพ่อค้า ไหนเลยจะคู่ควรกับพระองค์ องค์หญิงอย่าทรงล้อเล่นเช่นนี้สิพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมตกใจแทบแย่”
เฉินเสียนหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “ข้าไม่ได้ล้อเจ้าเล่น เหลียนชิงโจว เจ้ากล้าปฏิเสธข้างั้นหรือ หรือว่าเจ้าไม่ชอบข้า”
ซูเจ๋อหรี่ตา
เหลียนชิงโจวพูดทั้งๆ เหงื่อตก “กระหม่อมเพียงแต่รู้สึกกับเจ้าหญิงดั่งเช่นสหาย ถ้าหากทำสิ่งใดให้องค์หญิงเข้าใจผิด กระหม่อมขอองค์หญิงทรงอภัย!”
เฉินเสียนไม่ได้ขัดเคืองและถามเรื่อยๆ ว่า “แล้วเจ้าน่องน้อยล่ะ เจ้าชอบเขาไหม”
“ท่านชายน้อยน่ารักน่าเอ็นดู ในภายภาคหน้าเขาจะกลายเป็นมังกรและหงส์ในหมู่ผู้คน กระหม่อมจะพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อรับใช้เขาพ่ะย่ะค่ะ!”
เฉินเสียนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายและกล่าวว่า “แต่พ่อของเจ้าน่องน้อยเป็นใครก็ไม่รู้ ข้าดูๆ แล้วไม่เห็นใครสักคนที่พอจะใช้ได้ ถึงอย่างไรข้าก็รู้จักคนไม่มากนัก เหลียนชิงโจว รูปร่างหน้าตาเจ้าก็ดูดีใช้ได้”
เหลียนชิงโจวรีบกล่าวว่า “ที่นี่ยังมีอีกคนที่ดูดีกว่ากระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ!”
เฉินเสียนหันไปมองซูเจ๋อ ซูเจ๋อก็กำลังมองเธอเช่นกัน