เซียงซั่นดูเหมือนจะหวาดกลัวในตัวเฉินเสียนมากกว่า ไม่กล้าเข้าใกล้เธอนักและห่างออกไปไม่กี่ก้าว แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า: “ท่านแม่ทัพได้ยินว่าองค์หญิงอยากไปเอายาบำรุงที่คลังเก็บของ แต่ได้ยินหมอหลวงจากวังบอกว่าร่างกายขององค์หญิงทรงอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถใช้ยาบำรุงได้เพคะ มิเช่นนั้นอาจจะเกิดผลไม่ดีได้เพคะ
ท่านแม่ทัพไม่ให้องค์หญิงไปเอายาบำรุง ก็เพื่อตัวองค์หญิงเองนะเพคะ ให้ท่านหมอมาตรวจอาการองค์หญิงก่อนดีกว่านะเพคะ หากร่างกายขององค์หญิงดีขึ้น การใช้ยาบำรุงก็เป็นเหตุสมควร แต่หากร่างกายองค์หญิงไม่ดีขึ้น ก็ต้องรอให้ร่างกายองค์หญิงฟื้นฟูดีแล้วค่อยใช้ยาบำรุงเพคะ”
พูดจบ เซียงซั่นก็เรียกให้หมอมาตรวจชีพจรของเฉินเสียน
สีหน้าของเฉินเสียนนิ่ง และยื่นมือออกไปให้ตรวจแต่โดยดี
หมอครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ส่ายหัวแล้วกล่าวว่า: “ร่างกายขององค์หญิงนั้นอ่อนแอ ทั้งปราณและเลือดก็อ่อนแอเช่นกัน ช่วงนี้ไม่ควรใช้ยาบำรุง รอให้ครรภ์นายหญิงมั่นคงดีก่อน ค่อยดูกันอีกที”
เฉินเสียนหัวเราะ ร่างกายของนาง นางรู้ดีว่าเป็นอย่างไร
รอจนกว่าครรภ์จะมั่นคงดีแล้ว ของที่เหลียนชิงโจวส่งมาก็คงตกอยู่ในท้องของหลิ่วเหมยอู่หมดแล้วน่ะสิ
เฉินเสียนกล่าวอย่างเย็นชาว่า: “ลำบากท่านหมอแย่เลย ที่พูดไร้สาระทั้งๆที่เห็นอยู่เช่นนี้ เหนื่อยหรือไม่ แม่นมจ้าวช่วยยกชามาให้ท่านหมอที”
หมอเก็บอาการไม่ค่อยอยู่ ตอบว่า: “ไม่ ไม่ต้องขอรับ”
เซียงซั่นยิ้มเย้ยหยันพร้อมกับกล่าวว่า: “ดูแล้วองค์หญิงคงจะไม่มีดวงนะเพคะ นายหญิงของข้าหลังจากใช้ยาบำรุงแล้วก็ดีขึ้นอย่างมาก ภายหลังองค์หญิงก็มิจำเป็นต้องไปที่คลังแล้วนะเพคะ ถึงแม้จะคิดถึงสุขภาพขององค์หญิงและเด็กในท้องแล้ว ทางคลังเก็บของก็ไม่ยอมเช่นกันเพคะ”
เฉินเสียนหรี่ตาลง ไม่ขัดแย้งใดๆ
เซียงซั่นพูดอย่างดูถูกอีกว่า: “ท่านแม่ทัพและนายหญิงกำลังรอบ่าวกลับไปรายงานอยู่เพคะ เชิญองค์หญิงรับแดดต่อเถอะเพคะ”
พูดจบ นางก็พาหมอเดินจากไปพร้อมกัน
แม้แต่แม่บ้านจ้าวที่อายุมากกว่าเซียงซั่นมาก ก็ยังอดไม่ได้ที่จะโกรธ
นายใครนายมัน ถึงแม้แต่ก่อนแม่บ้านจ้าวจะไม่ใช่คนรอบตัวเฉินเสียน แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อลูกในท้องของเฉินเสียนทั้งนั้น
ท่านแม่ทัพไม่อยากได้เด็กคนนี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องรักษาเด็กคนนี้ไว้ให้ได้
หลังจากที่เซียงซั่นพาท่านหมอกลับไปแล้วนั้น เฉินเสียนก็หลับตาลงรับแดดต่อ แสงอันนุ่มนวลส่องไปยังร่างกายของเธอ ทำให้ทั้งตัวเธอเต็มไปด้วยแสงสีทองอร่าม
สายลมพัดผ่านปอยผมข้างหูเธอ สีผมของเธอกลายเป็นสีทอง ใบหน้าอันขาวใสของเธอ หากไม่ใช่เพราะรอยแผลเป็นอันน่ากลัวนั้น เธอก็ถือเป็นสาวงามคนหนึ่งเลยทีเดียว
แม่บ้านจ้าวคิดว่า หากองค์หญิงไม่เสียโฉม ด้วยนิสัยเช่นนี้ของนาง คงจะได้รับความรักจากท่านแม่ทัพมากกว่าแน่นอน
หากต้องโทษก็ต้องโทษแต่ก่อนที่องค์หญิงโง่เขลาไปหน่อย และยังยึดติดกับท่านแม่ทัพมากเกินไปด้วย
เฮ้อ เรื่องในอดีตไม่พูดถึงดีกว่า
เฉินเสียนได้ยินเสียงถอนหายใจของแม่บ้านจ้าว เลยยกมุมปากขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า: “ในเมื่อเป็นของของข้า ถึงแม้จะให้สุนัขคาบไปก็ตาม แล้วใครสั่งให้นางอ้าปากมารับเมื่อไหร่กัน?”
อยากจะแก้แค้นนาง ยังต้องกลัวไม่มีวิธีอีกงั้นรึ?
หลิ่วเหมยอู่กินเข้าไปอย่างไร เฉินเสียนก็จะให้นางคายออกมาอย่างนั้น
จวนแม่ทัพใหญ่โตจนเฉินเสียนไม่พบเห็นฉินหรูเหลียงเลยแทบทั้งวัน
ในตอนที่ฉินหรูเหลียงอยู่ ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่กับหลิ่วเหมยอู่ทั้งนั้น
เฉินเสียนมิได้เข้าไปรบกวนเวลาพรอดรักของทั้งสอง ฉินหรูเหลียงก็ต้องปล่อยให้นางเดินเล่นในจวนได้อย่างอิสระ
เฉินเสียนก็จำเป็นต้องออกจากเรือนไปสูดอากาศบ้างเช่นกัน
อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว ในฤดูใบไม้ผลิที่หลังสวนดอกไม้เต็มไปด้วยดอกไม้และพุ่มหญ้า
สีของฤดูใบไม้ผลิในสวน แทบจะปิดไม่อยู่
วันนี้ เฉินเสียนตัดสินใจจะไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้
เธอสวมเสื้อคลุมยาวสีครีม ปักด้วยลายกิ่งไม้พันกันตรงปลายเสื้อ ปกคอตั้งสูง และติดกระดุมสองเม็ดอันสวยงามบนคอเธอ เผยให้เห็นถึงเรือนร่างอันสูงเพรียว
เรือนร่างของเฉินเสียนดูผอมบาง ในตอนนี้ท้องของเธอยังไม่ปรากฏให้เห็นชัดนัก
เสื้อตัวนี้ทั้งๆที่เป็นเสื้อตัวเก่า แต่เมื่อสวมอยู่บนตัวนางก็มีกลิ่นอายของความโบราณและความอบอุ่นออกมา มีความสวยงามแบบธรรมชาติแผ่ออกมาจากตัวนางด้วย
หากไม่ใช่ว่านางเสียโฉมล่ะก็
แผลบนใบหน้าเธอหายหมดแล้ว เหลือเพียงรอยแผลเป็นสีชมพูจากผิวที่ประสานกันใหม่ ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจน
ในช่วงที่ตั้งครรภ์อยู่นั้น เฉินเสียนรู้ดีว่าไม่ควรใช้แป้ง และเธอเองก็ไม่ได้ชอบเรื่องพวกนี้เช่นกัน
เข้าออกในจวนแม่ทัพ หากสามารถใช้ใบหน้าใบนี้ต่อกรกับฉินหรูเหลียงและหลิ่วเหมยอู่ได้ ก็มิใช่เรื่องเสียหาย
ตอนนี้ สองคนนั้นพยายามไม่เจอหน้าเธอ แม้แต่ตอนรับอาหารก็เป็นคนละเวลา
ก่อนออกไป เธอได้เปิดกล่องเครื่องสำอาง แต่ในกล่องมิใช่แป้งสีชาดที่สวยงามหรือเครื่องประดับใดๆ แต่เป็นผงหูจี้ที่บดไว้เมื่อไม่นานมานี้
แม่บ้านจ้าวเห็นนางนั่งลงอยู่ข้างๆโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเกียจคร้าน และใช้เล็บนิ้วก้อยควักเอาผงแป้งออกมาเล็กน้อย
ได้ยินว่าหลิ่วเหมยอู่ชอบดีดกู่เจิงและเพลิดเพลินกับฤดูใบไม้ผลิที่ข้างสระน้ำ
ช่วงที่เฉินเสียนไปนั้นยังเช้าอยู่ ยังไม่เห็นหลิ่วเหมยอู่มา
เธอนั่งลงในศาลา ฝั่งบริเวณสระน้ำเป็นสวนดอกซิ่งผืนหนึ่ง ในช่วงนี้ดอกซิ่งกำลังเบ่งบานอย่างอุดมสมบูรณ์และขาวสะอาด
เป็นพุ่มๆเหมือนดั่งหิมะที่ตกลงมา
บรรยากาศที่นี่ดีจริงๆ เพียงแค่ได้นั่งในศาลาและรับลมฤดูใบไม้ผลิ พร้อมกับชมดอกซิ่งที่กำลังโปรยปรายเหมือนดั่งสายฝน ก็เป็นสิ่งที่น่ายินดีเช่นกัน
เฉินเสียนไม่ได้นั่งนานนัก ก็เห็นเรือนร่างที่สง่างามกำลังเดินออกมาจากสวนดอกซิ่ง
ซึ่งเป็นหลิ่วเหมยอู่นั่นเอง