เวลารอบๆ ดูเหมือนจะหยุดนิ่ง ปลายจมูกที่ชนกันค่อยๆ สับหลีก ลมหายใจติดขัดและยุ่งเหยิง
เขาหรุบตาต่ำ ในแววตามีแสงประกายรำไร… หากสายตาของเขาคือเครื่องพันธนาการ เขาก็ปรารถนาที่จะกักขังจิตวิญญาณที่อยู่ในก้นบึ้งทั้งหมดของเธอไว้ในนั้น
ภาพจำในอดีตผุดขึ้นมาในความคิดของเฉินเสียนอย่างควบคุมไม่อยู่ ทว่าคราวนี้แตกต่างจากการสัมผัสอย่างแผ่วเบาบนชายคาบ้านเมื่อคราวก่อน
ลมหายใจของเขามีทั้งแผ่วเบาและหนักหน่วง ไม่ใช่แค่หยุดอยู่เพียงผิวเผิน แต่ยังสำรวจไปทีละขั้นตอน
เฉินเสียนไม่เคยถูกจูบต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้
กกหูของเธอเริ่มร้อนขึ้น ลมหายใจของซูเจ๋อรินรดเข้ามาที่ประสาทสัมผัสทั้งหมดของเธอ ทำให้หัวใจของเธอสั่นระรัวและแทบหายใจไม่ออก
เธอทำตัวเหมือนเป็นหญิงสาวที่ไม่ยอมจำนนต่อซูเจ๋อ ตัวของเธอขลุกขลักและแข็งทื่อ พยายามผลักซูเจ๋อออกไปทว่าทำไม่สำเร็จ
ขุนนางทั้งสองสนอกสนใจรูปร่างหน้าตาของหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของซูเจ๋อเป็นอย่างมาก คนหนึ่งอยากรู้อยากเห็น คนหนึ่งสนใจสอดส่องความสวยงามตามสัญชาตญาณ
ดังนั้นทั้งสองจึงเข้ามาทักทายและไม่เต็มใจที่จะจากไป
แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าซูเจ๋อจะจูบสตรีผู้นี้ที่ข้างถนนจริงๆ
พวกเขาอยากจะเห็นรูปลักษณ์ของเฉินเสียนชัดๆ แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ หากอยู่ต่อไปรังแต่จะทำให้เสียบรรยากาศ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องจากไปพร้อมกับความคับข้องใจ
ทั้งสองมองหน้ากัน ในวันพรุ่งนี้ ชื่อเสียงอันใสสะอาดของบัณฑิตซูคงจะหมดลงไปเป็นแน่แท้
เฉินเสียนรู้สึกว่าเธอกำลังว้าวุ่นจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร เธองุนงงสับสน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซูเจ๋อเปิดฟันของเธอออกจากกันได้อย่างไร
บางทีเธออาจจะพลั้งเผลอ และเธอก็พ่ายแพ้จนหมดรูป
ซูเจ๋อรั้งเอวของเธอเข้ามาอีกครั้งและดึงมาไว้แนบชิดลำตัวของเขา
เขากวนเมฆให้เกิดฝนอยู่ในปากของเธอ เฉินเสียนไม่มีทางหนีพ้น ริมฝีปากของเธอคลึงเคล้าอยู่กับริมฝีปากของเขา แม้ว่าจะพยายามหลบหลีกก็ยังหลีกหนีสัมผัสจากลิ้นของเขาไม่พ้น
เธอรู้สึกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวไร้เรี่ยวแรง รู้สึกราวกับว่าเท้าของเธอกำลังเหยียบอยู่บนปุยฝ้ายที่อ่อนนุ่ม
เธอพยายามลืมตามองเขาก่อนจะค่อยๆ หรุบตาต่ำลง
ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นซูเจ๋อ
บุรุษที่กำลังจูบเธออย่างลึกซึ้งคือคนแบบที่ปรากฏอยู่ในความคิดของเธอ
ภายหลัง เธอยอมปล่อยให้ตัวเองเอื้อมมือปีนขึ้นไปบนไหล่ของซูเจ๋อ คล้องคอของเขาไว้ เธอเอนกายเข้าไปคลอเคลีย อาศัยการประคับประคองจากเขา
ในอนาคตหลังจากนี้เฉินเสียนมักจะนึกถึงฉากที่เกิดขึ้นในคืนนี้เสมอ เธอกับซูเจ๋อโอบกอดและจูบกันบนถนนใหญ่ท่ามกลางหิมะ ทั้งยังรู้สึกบ้าคลั่งเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางมองเห็นใบหน้าของพวกเขา
มีเพียงพวกเขาที่เห็นใบหน้าของกันและกัน อยู่ใกล้แค่ลมหายใจกั้น
ไม่รู้ว่าขุนนางทั้งสองนั้นจากไปตั้งแต่เมื่อใด
หิมะเริ่มตกอีกครั้ง บรรยากาศโดยรอบเงียบงัน ทันใดนั้นเฉินเสียนก็เห็นว่าผมของซูเจ๋อเปลี่ยนเป็นสีขาว
ความปั่นป่วนของซูเจ๋อค่อยๆ กลับไปสู่ความสงบ เขายังคงจูบเธอ ซูเจ๋อถอนริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่งและวนเวียนกลับไปจุมพิตที่ริมฝีปากของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ริมฝีปากของเขาแดงก่ำ ลมหายใจสีขาวพ่นออกมาทางจมูก กระแสน้ำที่มืดลึกดั่งยามราตรีในแววตาของเขายังไม่จางหายไป
ทั้งสองมองหน้ากันอยู่เช่นนั้นและหายใจหอบอยู่เนิ่นนาน ต่างสิ้นวิธีที่จะทำให้สงบลง
ริมฝีปากของเฉินเสียนบวมแดง มันทั้งหอมหวานและน่าประทับใจ ความรู้สึกร้อนวูบวาบจากริมฝีปากแผ่ซ่านไปทั่วทั้งกาย ซูเจ๋อเหยียดนิ้วออกและเช็ดที่มุมปากของเธออย่างแผ่วเบา
เฉินเสียนถามด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าว่า “พวกเขาไปแล้วหรือ”
“ไปแล้ว”
“ไม่เป็นไรแล้วหรือ”
“ไม่เป็นไรแล้ว”
เฉินเสียนต้องการออกห่างจากซูเจ๋อเล็กน้อย เธอคลายมือที่คล้องอยู่ที่คอของเขา
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นเพียงแค่การแสดงซึ่งทำเพื่อป้องกันไม่ให้สองคนนั้นเห็นหน้าเธอ แต่เธอก็รู้สึกว่าการอยู่ในสภาพนี้กับซูเจ๋อต่อไปเป็นเรื่องที่อันตราย
เธออยากจะหายใจแรงๆ และอยากจะหนีออกมา
ทว่าแค่ถอยหลังไปเพียงก้าวเดียว เธอก็พบว่าเท้าของเธอไร้เรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิง ขาทั้งสองข้างของเธออ่อนปวกเปียกและแทบจะไหลลงไป
ซูเจ๋อโน้มตัวลงไปอุ้มเธอขึ้นมาได้ทันเวลา
“ท่านวางข้าลงเถอะ” เฉินเสียนเอ่ยเบาๆ
ซูเจ๋อก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างสงบและมั่นคง เขาเอ่ยว่า “ข้าทำให้ท่านเป็นแบบนี้ ข้าควรจะรับผิดชอบให้ถึงที่สุด”
“ก็แค่การแสดงเพราะมีเหตุจำเป็นไม่ใช่รึ ข้ารู้ ข้าไม่ได้คิดจะให้ท่านมารับผิดชอบ”
“แค่การแสดงเพราะจำเป็นงั้นหรือ ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันควบคุมไม่ได้” ซูเจ๋อถาม “ตอนนี้ท่านควรกระจ่างได้แล้วว่ารสนิยมของข้าปกติดี”
เขาอุ้มเฉินเสียนก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว ไม่รู้ว่าเสียงประทัดดังมาจากเรือนไหนไม่หยุดไม่หย่อน
เสียงหวีดของดอกไม้ไฟดังขึ้น เขาก้มศีรษะลงและยิ้มให้เฉินเสียน ดูเหมือนโลกนี้จะไม่มีอะไรเทียบได้เลยกับรอยยิ้มบนริมฝีปากของเขา
เขากล่าวว่า “อาเสียน สวัสดีปีใหม่”
เมื่อกลับไปถึงสวนสระวสันตฤดู ทั้งสองก็ถูกหิมะปกคลุมไปทั่วทั้งตัว
อวี้เยี่ยนกับแม่นมซุยกำลังรอให้เฉินเสียนกลับมา เมื่อเห็นว่าเธอกลับมาแล้วจึงรีบไปตักน้ำร้อนใส่เตามาให้ เพื่อให้ทั้งคู่อบอุ่นร่างกาย
เมื่อถึงเที่ยงคืน ทุกครอบครัวต่างจุดประทัดกันอย่างเต็มที่ เสียงดังมาจากทั้งใกล้และไกล หมดตรงนั้นจุดตรงนี้ เป็นเช่นนี้ไม่มีวี่แววว่าจะหยุด
ที่จวนแม่ทัพก็เตรียมประทัดไว้หลายพวงเช่นกัน เสียงอึกทึกที่ดังขึ้นทำให้หูแทบหนวก
ทุกคนต่างมีความสุข อวี้เยี่ยนเล่นสนุกอย่างร่าเริงและดึงแม่นมซุยออกไปปั้นตุ๊กตาหิมะด้วยกันในลาน
เจ้าน่องน้อยหลับไปก่อนแล้วและตื่นขึ้นมาหลังจากผ่านเที่ยงคืนมาครู่หนึ่ง
เขาลืมตาใสแป๋วและเตะขาอย่างกระสับกระส่าย
เฉินเสียนเอามือป้องหูให้เขา เขาไม่ได้มีท่าทีตกใจกลัวแม้แต่น้อย
หากลูกจากครอบครัวอื่นตกอยู่ภายใต้เสียงประทัดที่ดังอึกทึกเช่นนี้ คงตกใจกลัวจนร้องไห้งอแง
เจ้าน่องน้อยดูเหมือนจะคึกคักร่าเริงกว่าปกติเมื่อเห็นว่าซูเจ๋ออยู่ที่นี่ด้วย เขาทำปากทำมือหมุบหมับเหมือนกำลังแยกเขี้ยวกางกรงเล็บคำราม เหลือบมองซูเจ๋อไม่วางตาเหมือนไม่เต็มใจจะละสายตาไปจากเขา
ซูเจ๋อกล่าวว่า “คงเป็นเพราะไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว เขาจำข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ดูเหมือนเขาจะสงสัยเล็กน้อย”
ใบหน้าของเฉินเสียนเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เธอจัดเสื้อผ้าของเจ้าน่องน้อยให้เรียบร้อยและเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าว่าแต่ท่าน บางทีแม้แต่แม่ของเขาเขายังเหม็นหน้าเลย”
ซูเจ๋อเลิกคิ้ว “ช่างบังอาจอะไรเช่นนี้”
ขณะนั้นเอง เจ้าน่องน้อยก็ยื่นมืออันสั้นป้อมของเขามาทางซูเจ๋อ
เฉินเสียนหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าตัวเล็กไร้จิตสำนึก เห็นแม่ของเจ้าแล้ว เหตุใดจึงไม่รักใคร่กันบ้างฮึ”
ว่าแล้วจึงหันไปหาซูเจ๋อ “เขาอยากให้ท่านอุ้ม ท่านอยากอุ้มเขาไหม”
ซูเจ๋อจับมือเล็กๆ ของเจ้าน่องน้อยเอาไว้
มือใหญ่ที่เรียวยาวจับมือเล็กๆ อันอ่อนนุ่มนั้นไว้ราวกับเติมเต็มซึ่งกันและกัน ประหนึ่งภาพวาดที่กลมกลืนกันที่สุดในโลก
ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ ไม่ว่าใครมาเห็น ในใจก็คงอดรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาไม่ได้
นี่คือสิ่งที่เฉินเสียนรู้สึกเสมอ และเป็นเหตุผลที่ทำให้เธออยากรู้ว่าใครคือพ่อที่แท้จริงของเจ้าน่องน้อย
เจ้าน่องน้อยควรมีความรักของพ่อ
นึกไม่ถึงว่าเจ้าน่องน้อยจะใช้มือทั้งสองข้างคว้ามือของซูเจ๋อไว้ พยายามจะให้ซูเจ๋ออุ้ม
ซูเจ๋ออุ้มเขาขึ้นมาและวางลงบนตัก ปล่อยให้เขาซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของตนเองอย่างว่าง่าย และกล่าวว่า “ชุดเล็กๆ นี่น่ารักมาก”
เฉินเสียนเอื้อมมือไปหยอกล้อกับเจ้าน่องน้อยและบอกว่า “ยังมีอีกมากในตู้ แต่ละตัวน่ารักทั้งนั้น คราวหน้าข้าจะให้ใส่สีและรูปแบบที่ต่างกัน”
ผ่านไปครู่หนึ่งเฉินเสียนก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ดูเหมือนเขาจะชอบท่าน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเด็กที่ไม่มีพ่อ ท่านช่วยพ่อของเขากอดเขาหน่อยก็แล้วกันนะ”
เจ้าน่องน้อยผล็อยหลับอย่างรวดเร็วบนตักของซูเจ๋อ
เฉินเสียนคิดว่าเจ้าน่องน้อยอาจจะรู้สึกได้เหมือนกันว่าซูเจ๋อมีเวทมนตร์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสงบ
เป็นครั้งแรกที่เธอถึงขนาดหวังให้เวลาในค่ำคืนนี้ยาวนานขึ้นอีกนิด อยากให้เวลาเดินช้าลงอีกหน่อย
เธอคงถูกครอบงำไปแล้วแน่ๆ
จนกระทั่งเลยเที่ยงคืนไปแล้ว เมื่อซูเจ๋อกำลังจะจากไป จิตใจของเธอยังคงสับสนว้าวุ่น
“อาเสียน”
เฉินเสียนรู้สึกจั๊กจี้บริเวณใบหู เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นมือของซูเจ๋อเอื้อมมาสัมผัสที่หูของเธอ เขาลูบผมเธอและทัดไว้หลังใบหูอย่างแผ่วเบา
เขาเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนจนเฉินเสียนลืมไปเลยว่าจะต้องหลีกเลี่ยง