“พูดถึงปัญหาวิธีการใช้เรือลำนี้” เหลียนชิงโจวกล่าว
เฉินเสียนพูดอย่างสบายๆ “เรือลำนี้มีหลายชั้นและหลายห้อง อย่างไรก็ตามในขณะนี้เจ้าไม่สามารถใช้มันเพื่อขนส่งสินค้าได้ สามารถนำมันมาใช้ทำเงินได้”
“ทำเงินได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“สามารถเปิดโรงเตี๊ยม เปิดโรงเหล้า หรือเป็นโรงน้ำชาโรงละครก็ได้” เฉินเสียนหันหลังพิงราวบันได มองไปที่เหลียนชิงโจว
“เมื่อน้ำขึ้นในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ยังคงสามารถบรรทุกผู้โดยสารในแม่น้ำเพื่อชมทิวทัศน์ได้ ในวันธรรมดา ยังสามารถจอดไว้ที่ชายฝั่ง และจัดให้เป็นที่สำหรับดื่มกินเที่ยวเล่นเป็นที่พักอาศัย ยังกลัวจะทำเงินไม่ได้?”
ในเมืองหลวงที่มั่งคั่งร่ำรวยแห่งนี้ ไม่เคยขาดแคลนคนรวย ขาดเพียงแค่ความสนุกสนาน
เมื่อมีสถานที่นี้ให้เป็นที่ผ่อนคลายอารมณ์ให้คนรวยแล้ว นั้นไม่ใช่จะเป็นถ้ำทองคำ
สิ่งที่สำคัญที่สุด ผู้คนเดินทางมาจากทุกทิศทุกทางเพื่อมารวมตัวกันที่นี่ และยังสามารถรับข่าวสารจากพื้นที่ต่างๆ โดยตรง
ดวงตาของเหลียนชิงโจวสว่างขึ้นเล็กน้อยและพูดว่า “องค์หญิงคิดถึงวิธีนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนกล่าว “วิธีนี้มีประโยชน์มากกว่าการใช้เพื่อขนส่งสินค้าใช่หรือไม่? เราไม่ต้องลงทุนค่าใช้จ่ายมากเกินไป เพียงแค่ปล่อยเช่าให้กับโรงเตี๊ยม โรงน้ำชา และร้านอาหารต่างๆ และเก็บค่าเช่าทุกเดือน”
ด้วยวิธีนี้รายรับที่ได้ของแต่ละเดือน ก็คือเงินจำนวนมาก
หลังจากตกลงเรื่องนี้กับเหลียนชิงโจวแล้ว เฉินเสียนก็เดินลงบันไดไม้ที่ยื่นออกมาจากเรือ เดินอยู่บนฝั่งไปไม่กี่ก้าว ก็หยุดเดินและมองย้อนกลับไป
เหลียนชิงโจวกำลังเฝ้าส่งนาง ด้านหลังมีท้องฟ้าและน้ำอยู่รอบตัวเขา
เฉินเสียนหรี่ตาลง ในที่สุดก็ถามขึ้น “ทำไมเขายังไม่มา?”
เหลียนชิงโจวรู้ว่าเธอกำลังถามถึงใคร เขาอยู่ในแสงสะท้อน ทำให้เฉินเสียนไม่เห็นท่าทีของเขา
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “กระหม่อมขอประทานอภัยองค์หญิง กระหม่อมไม่ได้พบกับท่านอาจารย์ซูมานานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เหลียนชิงโจวเปลี่ยนความสนใจของเฉินเสียนได้ทันเวลา “ถ้าท่านอาจารย์ซู ทราบว่าองค์หญิงคิดถึงเขามากเช่นนี้ เขาต้องดีใจมากอย่างแน่นอน”
เฉินเสียนกล่าวขึ้น “ข้าก็เพียงแค่ถามไปอย่างนั้น ข้าไปล่ะ”
เมื่อมองเห็นด้านหลังของเฉินเสียนเดินไปไกล เหลียนชิงโจวค่อยๆ ถอนหายใจออกมา
ในเทศกาลโคมไฟวันนี้ ในเวลากลางคืนมีโคมไฟในงานแสดงต่างๆ อย่างคึกคักมีชีวิตชีวา
เฮ่อโยวขอให้เฉินเสียนออกมา และหลังจากพบเฉินเสียนก็ไม่รอช้า ได้ดึงนางไปที่โรงเหล้า
เฮ่อโยวตื่นเต้นเรียกให้เสี่ยวเอ้อร์เอาเหล้ามา
เฉินเสียนเล่นจอกเหล้า และมองดูผู้คนที่เดินไปมาบนถนน แสงไฟก็พลุกพล่าน แต่ก็ไม่มีอารมณ์สนใจ
เธอพูดว่า “ครั้งก่อนที่ออกมาดื่มเหล้า เจ้ายังไม่เข็ดรึ? ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกพ่อของเจ้าแขวนไว้แล้วค่อยเฆี่ยนตี”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เฮ่อโยวก็รู้สึกโมโห และพูดว่า “คราวที่แล้วโชคไม่ดี ได้เจอกับบัณฑิต ท่านก็ไม่สนใจข้าเลย ยังปล่อยให้ข้าผิวปากให้เขา! ท่านไม่เห็นหรือว่าคนผู้นั้นดูสุภาพอ่อนโยน แต่จริงๆ แล้วเป็นคนที่กินเนื้อไม่คายกระดูก!”
เฉินเสียนหัวเราะ “ข้าจะไม่ห้ามเจ้าได้อย่างไร คือข้าห้ามเจ้าไม่ได้ต่างหาก”
เฮ่อโยวตบโต๊ะหนึ่งที และกล่าวว่า “ความเกลียดชังนี้ ข้าคุณชายตกลงกับเขาแล้ว”
ถ้าเฉินเสียนจำไม่ผิด ซูเจ๋อได้พูดครั้งก่อนว่าเฮ่อโยวเป็นคนจิตใจบริสุทธิ์และสามารถคบค้าสมาคมได้
กลับมาครั้งนี้เฮ่อโยวเกลียดเขา จนกัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชังแล้ว
เฮ่อโยวพูดว่า “ฮึ ยังคิดว่าเขาซื่อตรงและตรงไปตรงมา และเป็นสุภาพบุรุษ แต่คาดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดเขาก็เป็นคนหน้าซื่อใจคด”
“จะเริ่มพูดจากตรงไหน?”
“ท่านคงไม่รู้แน่นอน ข้าได้ยินมาว่าในคืนวันส่งท้ายปีเก่า บัณฑิตซูได้บังคับจูบหญิงสาวที่ถนน และจากนั้นได้ยินไปถึงองค์จักรพรรดิ”
ในใจของเฉินเสียนตกตะลึง
ทำไมนางจะไม่รู้ คนอยู่ในเหตุการณ์ก็คือตัวนางเอง
“เรื่องเช่นนี้ต้องเป็นเรื่องที่อื้อฉาวแน่นอน จะเป็นไปได้อย่างไรว่าองค์จักรพรรดิจะไม่ลงโทษ แต่ได้เห็นแก่เขาที่ทำเพื่อราชสำนักมานาน ทำให้เขามีครอบครัวล่าช้า ในวันที่สองของปีใหม่ องค์จักรพรรดิตั้งใจเลือกนางสนมสองคนที่สวยงามราวกับดอกไม้ ส่งไปที่จวนของท่านบัณฑิต เขาไม่แม้แต่จะปฏิเสธ จึงรับไว้ด้วยรอยยิ้ม”
หลังจากที่เฮ่อโยวตวาดคำพูดอะไรเหล่านี้ เฉินเสียนก็ฟังไม่เข้าหู
เพียงแค่รู้สึกว่ารอบข้างนอกจะเสียงดังแล้วยังเสียงดัง
ลำคอของนางแห้งและเริ่มกระหาย ได้นำจอกที่วางอยู่บนโต๊ะดื่มเข้าไป
สุดท้ายคือเผ็ดร้อนในลำคอ
เฮ่อโยวยังพูดต่อ “กล้าได้กล้าเสียพอ! งั้นข้าก็หมด………เฮ้ ท่านจะไปแล้วรึ?”
เฉินเสียนวางจอกเหล้าลงอย่างแรง แล้ววางมือบนโต๊ะลุกขึ้นยืน เดินออกไปโดยที่ไม่พูดอะไรเลย
เฮ่อโยวรีบพูดขึ้น “ท่านจะไปไหน เหล้ายังดื่มไม่หมดเลย!”
เฉินเสียนไม่หันกลับและพูดอย่างเมินเฉย “ข้ามีธุระ วันหลังจะดื่มเป็นเพื่อนเจ้า”เฮ่อโยวกำลังจะพูดไปด้วยกัน นางก็เดินก้าวยาวๆ ออกประตูไป และยังพูดขึ้นต่อว่า “อย่าตามข้ามา”
เหลียนชิงโจวคาดไม่ถึงว่า เฉินเสียนจะมาหาเขาในเวลานี้
หากไม่ใช่เรื่องการค้าขาย ช่วงเวลานี้เขาสามารถหลบซ่อนจากนางได้
เมื่อเฉินเสียนมีความคิดที่จะถามถึงซูเจ๋อแล้ว เหลียนชิงโจวก็เปลี่ยนเรื่องขึ้นทันที
โชคดีที่เหลียนชิงโจวได้โล่งอกคือ จากคำถามที่นางถามบนเรือในวันนั้น นางไม่เคยถามถึงอีกเลย
เหลียนชิงโจวยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเป็นฝ่ายเชิญนางให้มาเล่นก่อน เกรงว่าจะสร้างปัญหาให้กับตัวเอง
แต่เมื่อเห็นเฉินเสียนเดินตรงเข้ามาในบ้านของเขา เหลียนชิงโจวชิงก็รู้สึกว่านางรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว
เฉินเสียนเข้ามาในห้องโถง และตรงเข้าถึงตรงหน้าเหลียนชิงโจว และพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่า ซูเจ๋อ รับอนุภรรยาเข้ามาแล้ว?”
เหลียนชิงโจวกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “องค์หญิงฟังใครพูดมาพ่ะย่ะค่ะ ข่าวลือเหล่านี้ท่านไม่เชื่อก็ได้”
เฉินเสียนเข้าหาเขา และจ้องตรงเข้าไปในดวงตาของเขา พูดน้ำเสียงที่เย็นชา “เหลียนชิงโจว ถ้าเจ้ากล้าที่จะโกหกอีกแม้แต่คำเดียว ก็อย่าโทษข้า ที่ต่อไปจะไม่เป็นเพื่อนกับเจ้าอีก”
นานมาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เหลียนชิงโจวเห็นนางมีท่าทางเช่นนี้
เขาอ้าปากถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ถึงอย่างไรองค์หญิงก็รู้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องถามกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไมเจ้าไม่พูดแต่แรก เขาให้เจ้าปิดบังข้ารึ?”
เหลียนชิงโจวยอมรับโดยปริยาย
“ดี ดีมาก”เฉินเสียนได้ถอยหลังไปสองก้าว ความรู้สึกกดดันหายไปกะทันหัน และเธอโค้งริมฝีปากและยิ้ม “รับเข้าเรือนไปครึ่งเดือนแล้ว ส่วนข้าไม่รู้อะไรเลยจนกระทั่งวันนี้ พวกเจ้าทำได้ดีมาก”
หลังจากที่พูดจบ นางก็ได้เดินออกไป
ครึ่งเดือนมานี่ นางคิดถึงซูเจ๋อตลอดเวลา
คิดถึงกลิ่นหอมที่อยู่บนตัวเขา คิดถึงเสียงพูดและเสียงหัวเราะ อดที่จะคิดถึงเขาในวันส่งท้ายปีเก่าไม่ได้
เธอยังคงเต็มใจที่จะเชื่อ จูบนั้นของซูเจ๋อถือว่าอดใจไว้ไม่ได้
ช่วงเวลาความคิดของเธอในขณะนั้นไม่ใช่อดกลั้นไว้ไม่ได้
แต่เธอต้องเป็นบ้าแล้วแน่ๆ ในช่วงเวลานั้นอยากจะทิ้งความฟุ้งซ่านทุกอย่างไปชอบผู้ชายที่จูบนางคนนี้
เธอเป็นบ้าจนถึงขั้นถอนแนวป้องกันออก และปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งไปทีละขั้น
เธอคิดว่า ผู้ชายที่เหมือนกับซูเจ๋อ คงไม่มีใครที่จะไม่ชอบ งั้นเธอปล่อยให้ตัวเองชอบไปตามอำเภอใจแล้วจะทำไมล่ะ
ซูเจ๋อพูด อาจจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่จะไม่ได้มาเจอกับเธอ
เธออยู่ในช่วงเวลานี้ ได้คิดถึงเขาจริงๆ
เพียงแต่คาดไม่ถึงว่า ในวันที่สองของปีใหม่เขาต้อนรับอนุภรรยาเข้าเรือนแล้ว
จนถึงตอนนี้ ได้ปิดบังเธอมานานถึงครึ่งเดือน
เฉินเสียนไม่มีความรู้สึกพิเศษอะไร นอกจากหัวใจที่ว่างเปล่า ความรู้สึกดีๆ นั้นได้ถูกความจริงซัดสาดเข้ามา ทำให้มันหายไปอย่างหมดสิ้น
เธอคิดละเอียดรอบคอบ รู้สึกว่าซูเจ๋อเอากระบองมาตีแสกกลางหน้าได้ดีมาก ถือว่าปลุกเธอทันเวลาและตัดความคิดที่หยิ่งผยองที่เธอไม่ควรมี
โชคดี ที่เธอก้าวไปข้างหน้าเพียงเท้าข้างเดียว และเธอยังสามารถเอากลับเข้ามาได้