“ข้าไม่เอา! พวกเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ข้าไม่เอา!”
เวลานั้นเอง จู่ๆ ประตูก็มีเสียงเคาะดังขึ้น
เสียงเคาะประตูไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป แต่กลับนำมาซึ่งความกดดันที่หนักหน่วง
ทั้งห้องเงียบกริบโดยปริยาย
เหลียนชิงโจวรีบพูดขึ้นว่า : “มัวแต่อึ้งอยู่ทำไม รีบไปเปิดประตูสิ! ไปเปิดประตูเร็ว”
เฉินเสียนเอียงหัวอิงเก้าอี้ เท้าคางใช้ความคิด แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ข้าจำได้ว่าข้าไม่ได้สั่งบริการอย่างอื่นนี่นา”
เหลียนชิงโจวจึงรีบพูดขึ้นว่า : “เปิดประตูแล้วเดี๋ยวก็รู้เองหรอกน่า”
จากนั้นหนุ่มหล่อคนหนึ่งจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู ก็เจอกับชายชุดดำผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตู เขาอึ้งไปชั่วขณะ : “คุณชายผู้นี้……”
ซูเจ๋อสีหน้าเรียบเฉย ทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยไอเย็นยะเยือก หรี่ตาลงจ้องมองหนุ่มหล่อด้วยแววตาที่เย็นชา
เต็มไปด้วยไอพิฆาต
หนุ่มหล่อผู้นั้นจู่ๆ ก็เงียบไป ในใจรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เมื่อเห็นซูเจ๋อเดินเข้ามา หนุ่มหล่อผู้นั้นก็รีบหลีกทางให้ทันที
เมื่อเหลียนชิงโจวเห็นหน้าซูเจ๋อ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกสนิทสนมกับเขาขนาดนี้ เขามาได้ตรงเวลาพอดี หากว่าเขามาช้ากว่านี้แม้แต่ครึ่งนาที เกรงว่าตัวเขาเองคงจะไม่สามารถรักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้อีกแล้ว
ซูเจ๋อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “ออกไปให้หมด แล้วปิดประตูซะ”
บรรดาหนุ่มหล่อต่างพากันสบตากัน
เฉินเสียนหงายหน้าหลับตาพริ้มอย่างสงบ ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาดูว่าเป็นใคร แต่กลับได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้กฤษณา เธอจึงขมวดคิ้วขึ้น
พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ออกไปทำไม มีแขกมาใหม่อีกหนึ่งคน ไปเรียกหนุ่มหล่อมาปรนนิบัติเพิ่มอีกสองคน”
เมื่อพูดจบ ก็มีสายตาที่ลุ่มลึกหันไปจ้องมองเธอ และเธอเองก็ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียว
เหลียนชิงโจวที่มีแรงขึ้นมา จึงพูดขึ้นว่า : “พวกเจ้ารีบออกไปก่อนเถอะ พวกเขามีเรื่องที่ต้องสะสางกัน เดี๋ยวพวกเจ้าจะพลอยได้รับบาดเจ็บไปด้วย”
หนุ่มหล่อทั้งสี่เป็นคนมีปฏิภาณไหวพริบ ตั้งแต่ซูเจ๋อเข้ามา พวกเขาก็รู้สึกบรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความหนักหน่วง
จึงพากันถอยออกจากห้องไป
เฉินเสียนพูดขึ้นเสียงเบา : “จนถึงวันนี้ เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งรู้สึกว่า ไม่ใช่แค่จะมีใครสักคนคอยเคียงข้างกาย ผ่อนปรนความเบื่อหน่าย เป็นเพื่อนฆ่าเวลา มิน่าล่ะ เวลาหญิงงามเข้าประตูมาแล้ว ก็ไม่ยอมเสียเวลาอยู่ข้างนอกอีกเลย หากเป็นข้า ข้างกายมีบรรยากาศแวดล้อมที่สวยงาม ข้าก็คงจะปิดประตูไม่ยอมออกไปไหนเป็นแน่แท้ แล้วใต้เท้าซู ท่านมาผิดที่หรือเปล่า?”
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ท่านควรจะมา”
เฉินเสียนสีหน้าเรียบเฉย แล้วพูดขึ้นว่า : “นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ท่านควรจะมายุ่งเหมือนกัน”
นัยน์ตาเรียวยาวของซูเจ๋อ แววตาดำสนิท
ทั้งคู่ที่กำลังปะทะสงครามประสาทกัน เหลียนชิงโจวค่อยๆ ถอยไปที่ประตู เขาแตะจมูกพลางพูดขึ้นว่า : “พวกท่านคุยกันตามสบาย ข้าจะออกไปรอข้างนอก”
“หยุดอยู่ตรงนั้น”
“หยุดอยู่ตรงนั้น”
เฉินเสียนและซูเจ๋อออกคำสั่งพร้อมกันด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดและเย็นชา
เหลียนชิงโจวยืนนิ่งอยู่หน้าประตูไม่กล้าขยับ
ซูเจ๋อปรากฏตัวอยู่ที่นี่ นอกจากเหลียนชิงโจวที่ทรยศหักหลังไปแพร่งพรายความลับแล้ว จะเป็นใครไปได้อีก
เฉินเสียนยังไม่ทันได้เอาเรื่องกับเหลียนชิงโจว ซูเจ๋อก็ถามขึ้นมาว่า : “ชิงโจว เจ้าเป็นคนพานางมาที่นี่หรือ?”
ไม่รอให้ฉินหรูเหลียงได้ทันตอบ เฉินเสียนก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ พูดขึ้นอย่างตลกว่า : “เหลียนชิงโจว เจ้าอยากรู้ไม่ใช่หรือ ว่าใครเป็นคนบอกข้าเรื่องที่เจ้าชอบชายรูปงามน่ะ? นี่ไง ก็คนตรงหน้าเจ้านี้แหละ”
เหลียนชิงโจว : “……”
เฉินเสียนพูดขึ้นต่อว่า : “เจ้าชอบผู้ชาย ข้าก็ชอบผู้ชาย พวกเราจึงพากันมาในที่ที่มีแต่ผู้ชาย ไม่เห็นผิดตรงไหน?”
ซูเจ๋อที่กำลังพูดกับเหลียนชิงโจว แต่ตากลับจ้องมองแต่เฉินเสียน : “วันข้างหน้าหากข้ารู้ว่าเจ้าพานางมาที่แบบนี้อีก เจ้าจะต้องชดเชยด้วยโทษตายเท่านั้น”
เหลียนชิงโจว : “……”
ทำไมสองคนนี้ทะเลาะกัน แต่คนที่โดนลูกหลงกลับเป็นเขาคนเดียว?
เฉินเสียนฉีกยิ้มที่มุมปาก พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้าเป็นคนรวบเขาเข้ามาเอง จะทำไม? ท่านจะทำอะไรได้หรือ?”
ชิงโจวแอบปลื้มเบาๆ : ในที่สุดองค์หญิงก็พูดเรื่องจริงสักเรื่อง
ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “อาเสียน ต้องทำถึงขนาดนี้หรือ?”
เฉินเสียนยิ้มขึ้นที่มุมปากบางเบา หรี่ตาลงไม่มองเขา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย : “ข้าจำได้ว่าข้าเองได้พูดกับท่านอย่างชัดเจนไปแล้ว วันข้างหน้าข้าไม่อยากจะเห็นหน้าท่านอีก”
“และข้าก็ยังจำได้ชัดเจน ที่ท่านบอกว่าเกลียดข้า”
“แล้วท่านยังอยู่ตรงนี้ทำไม? เวลานี้ท่านควรจะอยู่ที่บ้านเคียงคู่กับสาวงามไม่ใช่หรือ?”
ซูเจ๋อจึงพูดขึ้นว่า : “หากท่านไม่อยากเห็นหน้าข้า ก็อย่ามาในที่แบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นคราวหน้า ข้าก็จะมาอีกอย่างแน่นอน”
เฉินเสียนหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไม่ว่าท่านจะมาหรือไม่มา ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็มาเล่นให้สนุกสิ”
เธอเดินผ่านเขาไป พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านเล่นอยู่ที่นี่ให้สนุก ข้าเองไม่ขออยู่ร่วมด้วย”
ซูเจ๋อแอบบอกกับเหลียนชิงโจวว่า : “เหลียนชิงโจว ไปส่งนาง”
เฉินเสียนหยุดเดิน จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า : “ยิ่งท่านมายุ่มย่ามกับเรื่องของข้ามากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งเกลียดท่านมากขึ้นเท่านั้น”
ซูเจ๋อสีหน้าเรียบเฉย ตอบกลับไปว่า : “เหรอ? แต่ข้ายุ่งจนเคยชินแล้ว เกรงว่าจะแก้ไม่หาย”
เฉินเสียนไม่อยากเสวนาให้มากความ จึงเดินออกจากห้องไป
ซูเจ๋อค้ำตัวลงบนโต๊ะ ทิ้งสายตามองกาน้ำชานั่น จากนั้นก็ยื่นมือที่ขาวสะอาดเปิดฝาเหยือกสุราออก
เหล้าที่อยู่ในเหยือกยังเต็มล้น ไม่มีใครแตะ
เขาพูดพึมพำคนเดียวว่า : “อาเสียน เป็นเพราะข้าเคยชอบท่านมากขนาดไหน ในวันนี้ท่านถึงได้เกลียดข้ามากขนาดนี้” เขายิ้มขึ้นบางเบา : “หากเป็นเช่นนั้น ก็ดีแล้ว”
พูดจบ เขาก็ขยับแขนเสื้อเบาๆ เทสุราที่เต็มเหยือกนั่นลงเต็มโต๊ะ
แขนเสื้อของเขาชุ่มไปด้วยสุราที่หกออกมา
ทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นสุราคละคลุ้ง
ซูเจ๋อสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกจากห้องไป
หนุ่มหล่อในหอฉู่อวี้ได้ออกมาส่งเขาหน้าประตู
เขาไม่ได้ปกปิดอะไรทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าจะมีคนเห็นเขาเข้าออกในที่แบบนี้ก็ไม่เป็นไร
ชื่อเสียงเรียงนามสำหรับเขาแล้ว ไม่ได้สนใจเลยว่ามันจะย่ำแย่ลงไปอีก
ซูเจ๋อเดินไปจนถึงหน้าประตู ได้ยินเสียงจากหนุ่มหล่อขาวใสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า : “คุณชายเดินทางปลอดภัย ยินดีต้อนรับเสมอขอรับ”
ซูเจ๋อหยุดลงตรงหน้าประตูอยู่ครู่หนึ่ง เขาหันหน้าไปมองหนุ่มหล่อที่ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นก็ขยับสายตามองที่ช่วงเอวของหนุ่มหล่อผู้นั้น
ที่เอวของหนุ่มหล่อผู้นั้นมีป้ายไม้แขวนอยู่ ด้านหนึ่งเขียนชื่อของตัวเองส่วนอีกด้านนั้นเขียนชื่อหอฉู่อวี้ ระบุฐานะตำแหน่งชัดเจน
ซูเจ๋อนำเงินหนึ่งแท่งวางลงบนมือของหนุ่มหล่อผู้นั้น แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ป้ายชื่อที่เอวให้ข้าได้หรือไม่”
หนุ่มหล่อที่ได้เงินแล้ว ยิ้มขึ้นอย่างดีอกดีใจ แกะป้ายออกจากเอวส่งมอบให้เขา แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “หากคุณชายชอบ ก็เชิญนำมันไปได้”
ป้ายหอฉู่อวี้ไม่ใช่ของหายาก หากหนุ่มหล่อในหอทำหายก็สามารถทำใหม่ได้
เมื่อซูเจ๋อได้ป้ายแขวนเอวแล้ว ก็นำมันเก็บลงไปในแขนเสื้อ แล้วจึงจากไป
เมื่อเดินทางกลับถึงเรือนแล้ว อนุภรรยาทั้งสองก็มาต้อนรับที่หน้าประตู ได้กลิ่นคละคลุ้งของสุราโชยแตะจมูก
อนุภรรยาจึงถามขึ้นว่า : “ใต้เท้าไปไหนมาหรือเจ้าคะ ทำไมกลับมาดึกป่านนี้ ใต้เท้า……ดื่มสุราหรือเจ้าคะ?”
ในขณะที่ซูเจ๋อขยับแขนเสื้อ ป้ายแขวนเอวก็ร่วงหล่นตกลงสู่พื้น และเขาเองก็ไม่ทันได้สังเกต อนุภรรยาได้แอบเหยียบมันซ่อนไว้ด้วยความระมัดระวัง
เขาบอกไว้ว่าค่ำคืนนี้จะไปพบปะสังสรรค์ที่เรือนของใต้เท้าผู้หนึ่ง
ซูเจ๋อกลับถึงหอนอนแล้ว อนุภรรยาผู้นั้นจึงค่อยๆ ขยับเท้าที่เหยียบออก ก้มลงเก็บแผ่นป้ายแขวนเอวนั้นขึ้นมา
นานมากแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินซูเจ๋อบอกว่าจะออกไปพบปะสังสรรค์
เรื่องนี้หากทำความเข้าใจแล้วจะต้องรีบทูลต่อองค์จักรพรรดิ ฝ่าบาทจะได้ทรงรู้ว่าเขากำลังติดต่อกับเจ้าหน้าที่คนไหนเป็นการส่วนตัว
แต่พอมองดูป้ายแขวนเอวนั่นดีๆ บนนั้นถูกเขียนชื่อของผู้หนึ่งไว้ พอพลิกมาดูอีกด้าน อนุภรรยาผู้นั้นก็ถึงกับอึ้งไป : “หอฉู่อวี้?”
เมื่อตรวจสอบชัดเจนแล้ว จึงได้รู้ว่าหอฉู่อวี้เป็นหอที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง และข้างในล้วนแต่เป็นชายทั้งสิ้น
จากนั้นก็สั่งคนให้ไปสอบถามที่เรือนของใต้เท้าผู้นั้นที่ซูเจ๋อเคยกล่าวอ้างถึง จึงได้รู้ว่าค่ำคืนนั้นซูเจ๋อไม่ได้ไปที่เรือนของใต้เท้าผู้นั้นเลย
ใต้เท้าผู้นั้นหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงซูเจ๋อ รีบปฏิเสธทันควัน แสดงหลักฐานว่าซูเจ๋อไม่ได้อยู่ที่นั่นในค่ำคืนนั้น
แล้วค่ำคืนนั้นซูเจ๋อไปที่ไหน นี่มันชัดเจนจนไม่อาจชัดเจนได้อีก
เขาไปที่หอฉู่อวี้อย่างแน่นอน
เป็นชายแท้ๆ จะไปที่แบบนั้นทำไมกัน นอกเสียจากจะไปเที่ยวขลุกอยู่กับบรรดาชายหน้างามในหอนั่น!
อนุภรรยาทั้งสองไม่อยากจะเชื่อเลย
ที่แท้แล้วตั้งแต่พวกนางก้าวเข้าสู่ประตูเรือนนี้ ซูเจ๋อที่ไม่เคยเข้าใกล้พวกนางเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่เป็นเพราะฐานะไม่คู่ควร แต่เป็นเพราะเขาไม่เคยเปิดใจเลยต่างหาก
เวลานั้นอนุภรรยาทั้งสองรู้สึกเย็นวาบไปทั้งใจ
ชายที่สมบูรณ์แบบไร้เทียมทานทั้งคน สุดท้ายแล้วกลับชอบผู้ชายด้วยกัน ช่างเป็นเรื่องที่สังเวชใจจนไม่คิดว่าจะมีเรื่องนี้อยู่ในโลกมนุษย์นี้ได้
อนุภรรยาทั้งสองดูแล้ว ซูเจ๋อคงจะปกปิดมานาน และในที่สุดเขาก็คงจะเก็บมันไว้ไม่อยู่ จึงโผล่หางจิ้งจอกออกมา
ในท้ายที่สุดอนุภรรยาก็ได้นำเรื่องนี้ไปทูลต่อฝ่าบาท ส่งสารผ่านนกพิราบไปยังพระราชวังหลวง