เฮ่อฟั่งประสานมือคารวะแล้วกล่าวขึ้นว่า“องค์จักรพรรดิผู้ทรงปรีชาญาณ กระหม่อมมีความคิดเห็นพ่ะย่ะค่ะ ต้องการหาผู้หนึ่งจับตามองบัณฑิต ส่งข่าวบอกองค์จักรพรรดิได้ทันท่วงที เช่นนั้นคนผู้นั้นทางที่ดีที่สุดต้องเป็นศัตรูกับบัณฑิตนะพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ? ดูเหมือนว่าในใจของเจ้ามีผู้ที่เลือกไว้แล้ว”
“กระหม่อมอยากแนะนำน้องชายคนเล็กของกระหม่อมเฮ่อโยวพ่ะย่ะค่ะ น้องชายคนเล็กดื้อรั้นหัวแข็ง ชอบเล่นสนุกสนาน ไม่เข้าใจเรื่องในราชสำนัก พอใช้แล้วเขาไม่ร้ายกาจ อีกทั้งยังเขาเกลียดชังบัณฑิตเป็นอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิแปลกใจ กล่าวถามขึ้นว่า“เพราะเหตุใด?”
เฮ่อฟั่งกล่าวว่า“องค์จักรพรรดิไม่รู้หรอกว่า ก่อนจะฉลองเทศกาลวันตรุษจีนน้องชายคนเล็กของกระหม่อมดื่มเหล้าเมามายอยู่บนถนน ประจวบเหมาะกับบัณฑิตเดินผ่านถนนนั้น น้องชายคนเล็กของกระหม่อมไม่รู้ภาษีภาษา หลักปฏิบัติ ลวนลามเขาพ่ะย่ะค่ะ ต่อมาน้องชายคนเล็กได้ถูกบัณฑิตพากลับมาส่งที่เรือน เกียรติยศท่านพ่อป่นปี้ ตีน้องชายคนเล็กของกระหม่อมอย่างรุนแรงต่อหน้าบัณฑิต ตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่น้องชายคนเล็กกล่าวถึงบัณฑิต เขาก็กัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชังพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิหัวเราะแล้วกล่าวว่า“ยังมีเรื่องราวเช่นนี้”
พระองค์ก็เคยได้ยินว่าลูกชายของเฮ่อเซียงนี้ไม่เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ ไม่มีตำแหน่งขุนนาง ไม่มีจุดยืน มีเพียงความแค้นเป็นศัตรูกับซูเจ๋อ บุคคลเช่นนี้เดินทางร่วมกันกับซูเจ๋อ ไม่มีอะไรที่เหมาะสมเท่านี้แล้ว
องค์จักรพรรดิอาจจะรู้ว่าเหตุใดเฮ่อฟั่งถึงมีเจตนาเช่นนี้ เพียงแต่ไม่กล่าวออกมาโดยตรง ด้วยเหตุนี้เรื่องราวเลยกำหนดไว้เช่นนี้
ยังไม่เสร็จ เฮ่อฟั่งกล่าวขึ้นทันทีอีกว่า“กระหม่อมยังมีอุบายที่พลิกแพลง ทั้งทำลายเย่เหลียงได้ อีกทั้งยังขจัดภัยพิบัติทางเหนือได้ด้วย ดึงเป่ยเซี่ยมาเป็นกองกำลังพันธมิตร ยังสามารถขจัดความกังวลใจขององค์จักรพรรดิไปได้พ่ะย่ะค่ะ ”
องค์จักรพรรดิสีหน้าเคร่งเครียดกล่าวว่า“อุบายอันใดกัน?”
เฮ่อฟั่งกล่าวด้วยความเคารพนอบน้อม“อุบายที่ยืมมือผู้อื่นจัดการพ่ะย่ะค่ะ”
วันต่อมาพระราชโองการประกาศบนราชสำนัก แต่งตั้งให้ซูเจ๋อดำรงตำแหน่งเป็นทูตเจรจากับเย่เหลียง ไปจัดการเจรจาสงบศึกของสองเมืองบริเวณชายแดนโดยฉับพลัน
แต่ทว่า ลายลักษณ์อักษรบนพระราชโองการบอกอย่างชัดเจน ว่าต้าฉู่เสนอเงื่อนไขให้เพียงสามคูเมือง สั่งให้ซูเจ๋อไปต้อนรับขับสู่กับเย่เหลียง ภารกิจที่หนักอึ้งต้องจัดการเรียบร้อย
ประกาศพระราชโองการนี้แล้ว ขุนนางแต่ละระดับต่างพากันเงียบไม่กล่าวสิ่งใด
มีเพียงซูเจ๋อที่เดินออกมาจากกลุ่มขุนนาง ก้มศีรษะลงแล้วรับพระราชโองการนี้
ใครก็ดูออกว่าองค์จักรพรรดิให้ปัญหาหนึ่งที่แก้ยากกับซูเจ๋อ
เย่เหลียงต้องการห้าคูเมือง และต้าฉู่ยินยอมให้เพียงสามคูเมือง เดิมสามคูเมืองนี้ต้าฉู่เคยแย่งชิงมาจากเย่เหลียงอีกด้วย
หากนี่ทำให้เย่เหลียงโมโห ก่อให้เกิดการเจรจาสันติภาพของทั้งสองเมืองล้มเหลว เช่นนั้นซูเจ๋อก็กลายเป็นนักโทษของต้าฉู่
หากว่าซูเจ๋อไม่ดำเนินการตามพระราชโองการ มาตรแม้นว่าการเจรจาสันติภาพสำเร็จลุล่วงแล้ว หากเขายังมีโอกาสกลับมาที่ราชสำนัก องค์จักรพรรดิก็ยังสามารถใช้การค้านพระราชโองการนี้ลงโทษเขาเช่นเดิม
ไม่ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังล้วนตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก ขุนนางแต่ละระดับต่างพากันปาดเหงื่อ แท้ที่จริงแล้วไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงทำอย่างกับไม่วิตกกังวลรับพระราชโองการนี้มา
หลังจากช่วงเช้าตรู่สิ้นสุดลง จวนตระกูลเฮ่อก็ได้รับพระราชโองการ แต่งตั้งให้เฮ่อโยวดำรงตำแหน่งเป็นรองท่านทูต แล้วสั่งให้เฮ่อโยวกับซูเจ๋อออกเดินทางร่วมกัน
ผู้ที่มาแจ้งข่าวให้ทราบคือบุคคลของพระราชวังที่อยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิ ได้นำความหมายขององค์จักรพรรดิบอกกับเฮ่อโยวอย่างชัดเจนและครอบคลุม
แม้ว่าเขาเป็นท่านรองทูตในนาม ครั้งนี้ยังแบกภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเช่นกัน ยิ่งต้องควบคุมดูแลซูเจ๋อท่านทูตผู้นี้ ในกรณีที่เขามีการกระทำพฤติกรรมอะไร เฮ่อโย่วต้องรีบรายงานมาที่เมืองหลวงอย่างรวดเร็วด้วย
ระหว่างทางจะมีขุนนางตรงจุดพักม้าที่รับส่งจดหมายด่วนไปที่ราชสำนักโดยเฉพาะ เฮ่อโยวเพียงแค่ต้องไปถึงจุดพักม้าทุกที่แล้วเขียนจดหมายส่งกลับเข้ามาในเมืองหลวงก็พอแล้ว
เฮ่อโยวรับคำสั่งอย่างมีหลักการคล่องแคล่ว และก้มศีรษะลงขอบคุณที่องค์จักรพรรดิโปรดปราน
เมื่อก่อนเขารู้เพียงกินนอนเล่นไปวันๆ ไม่สนใจเกี่ยวกับการปกครองบ้านเมือง และก็ไม่เคยมีตำแหน่งขุนนางเลย แท้ที่จริงแล้วไม่รู้เหตุใดองค์จักรพรรดิถึงได้เลือกเขา
รู้ว่าเขางงงวย คนของพระราชวังผู้นั้นก็กล่าวอย่างคลุมเครือว่าเป็นเพราะเรื่องที่เฮ่อโยวลวนลามบัณฑิตถูกจับมัดห้อยเฆี่ยนตี เฮ่อโยวก็เข้าใจทันที
องค์จักรพรรดิกับบัณฑิตไม่ใช่สหายที่สนิทดีต่อกัน ครั้งนี้เลยต้องการหาคนคนหนึ่งจับตาดูเขา
คนของพระราชวังกลับไป เฮ่อเซียงเกิดความกระสับกระส่ายเป็นอย่างมาก
เฮ่อโยวไม่เคยออกไปไกลเรือน เฮ่อเซียงก็ไม่อยากให้เขาเข้ามาในวงจรเหล่านี้เลย
เฮ่อเซียงกล่าวว่า“ช่วงบ่ายข้าจะเข้าไปในพระราชวังขอร้องอ้อนวอนให้องค์จักรพรรดิเรียกคืนคำสั่งที่ประกาศใช้แล้ว และเลือกผู้อื่น”
แต่ทว่าเฮ่อโยวเมินเฉยเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้นว่า“ไม่ต้องแล้ว ข้าจะไปเอง เมื่อก่อนท่านเกลียดชังข้าที่ไม่เรียนไม่มีวิชา พอดีกับที่ข้ามีโอกาสที่จะเปลี่ยนทีละก้าวๆ”
เฮ่อเซียงกล่าวขึ้นว่า“เจ้าอายุยังน้อย เรื่องในราชสำนักจะง่ายอย่างที่เจ้าคิดที่ไหนกันเล่า!”
สองพ่อลูกมีความแตกต่างกันทางความคิด เฮ่อโยวก็ไม่มีทางที่จะพูดคุยกับท่านพ่อเหมือนอย่างเมื่อก่อนที่ไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่อีกแล้ว
เขาเติบโตและก็ไม่สนิทแล้ว
เฮ่อโยวกล่าวว่า“นั่นก็เป็นเรื่องของข้า ท่านไม่ต้องยุ่ง ได้จังหวะกับที่ข้าเบื่อที่จะอยู่ที่เรือนนี้แล้ว ข้าสามารถออกไปผ่อนคลายได้”
เฮ่อโยวหมุนตัวเดินออกจากโถงบุปผา เฮ่อเซียงมองตามแผ่นหลังของเขา คำพูดมากมายอยากจะพูดก็หยุดลง
เฮ่อโยวกล่าวอีกว่า“ต่อไปข้าจะพยายาม แต่ไม่ใช่เพื่อทำตามที่ท่านปรารถนา เพียงแค่ไม่อยากให้ท่านย่าของข้าผิดหวัง”
เมื่อก่อนเฮ่อเซียงเป็นผู้ที่ตั้งความหวังเข้มงวดกับเขา ตอนนี้เขาต้องการให้เฮ่อโยวกลับมาเป็นเหมือนก่อนที่ผ่านมาก็ไม่ได้แล้ว
ซูเจ๋อช่วงเวลาเล็กน้อยก็ล่าช้าไม่ได้เลย หลังจากที่เขารวมตัวกันกับเฮ่อโยวที่หน้าประตูเมืองแล้ว ในวันเดียวกันนั้นเลยได้ออกเดินทางจากเมืองหลวงด้วยกัน
หลังจากเข้าคิมหันตฤดู อากาศค่อยๆร้อนแผดเผา
ระหว่างการเดินทางของเฉินเสียนราบรื่นดี เดินทางมาหลายวัน ช่วงเดินทางเหน็ดเหนื่อยมาก
การเดินทางใต้พระอาทิตย์ที่ร้อนแผดเผา ในกองกำลังองครักษ์ที่คุ้มกันเพื่อไปส่งเธอต่างเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
เฉินเสียนนั่งรถม้า ระหว่างการเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงการสั่นสะเทือนโคลงเคลง การเดินทางก็มิอาจรวดเร็วได้
แต่นั่งอยู่ในรถม้าทั้งวันแล้ว เฉินเสียนก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ตัวจะมีอาการปวดหลังหรือเอว
ระหว่างการเดินทาง เรื่องการการใช้ชีวิตจุกจิกทั้งหมดของเธอล้วนแล้วแต่เป็นนางสนมชิงซิ่งที่มาด้วยกันจัดการ
ชิงซิ่งจัดการคล่องแคล่วเป็นระเบียบ แต่ก็ดูออกว่าปฏิบัติกับเฉินเสียนอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก ตอนที่หยุดพักม้าเป็นที่แรก เฉินเสียนเห็นในเวลาดึกดื่นนางเขียนจดหมายมอบให้กับขุนนาง
ไม่อยากถูกเฉินเสียนพบเข้าแล้วจับได้ ชิงซิ่งก็ไม่ลุกลี้ลุกล้นแม้แต่น้อยเลย
เฉินเสียนกระตุกคิ้ว ถามราวกับไม่มีอะไรว่า“บนจดหมายนั้นเขียนสิ่งใดหรือ?”
ชิงซิ่งก้มศีรษะลงมือซ้อนกัน แล้วกล่าวขึ้นว่า“บ่าวเพียงแค่รายงานความปกติสุขเข้าไปในเมืองหลวงเพคะ”
เฉินเสียนไม่ได้กล่าวถามสิ่งใดมากอีก แต่ก็ใกล้ชิดกับนางไม่ได้แล้ว
ในเวลากลางวัน เฉินเสียนอยู่ในรถม้าเลือกที่จะไม่เรียกชิงซิ่งมาปรนนิบัติ เพียงแค่ถึงเวลาที่จำเป็นเธอถึงจะเรียกนาง
ตามหลักกฎเกณฑ์ ชิงซิ่งจำเป็นต้องเดินอยู่ด้านหน้ารถม้า
องครักษ์ไม่พอใจที่นางเดินช้ามาก ก็เลยได้ยกนางขึ้นม้า แสงแดดอยู่บนศีรษะสาดส่องลงมาจนทำให้ตาลายเวียนศีรษะอย่างไม่ต้องพูดเลย ขาทั้งสองข้างต้องขนาบบนหลังม้าแน่นไม่สามารถผ่อนคลายได้เลยแม้แต่น้อย
ในใจของชิงซิ่งมีคำพูดที่คับแค้นใจ แต่ทว่านางไม่กล้าที่จะแสดงมันออกมา
เฉินเสียนนั้นก็ทำเหมือนไม่รู้เรื่องใดเลยตามสถานการณ์
รอจนถึงตอนเย็นเข้าไปพักผ่อนที่จุดพักม้า ชิงซิ่งเหนื่อยจนเหลือจะทน เฉินเสียนสั่งให้นางกลับไปพักผ่อนที่ห้อง นางนอนแผ่อยู่บนเตียง ขนาดเคลื่อนไหวสักหน่อยหนึ่งยังขี้คร้านเลย
เช่นนี้ ชิงซิ่งก็หมดความสนใจในการเขียนจดหมาย ผ่านจุดพักม้าตามปกติหลายที่นางถึงได้ฝืนใจเขียนจดหมายขึ้นมาหนึ่งฉบับ
ช่วงดึกดื่นผู้คนเงียบสงบ เฉียนเสียนเปลี่ยนชุดแล้วปล่อยผมนอนอยู่บนเตียง ตอนที่แสงเทียนในห้องมืดสลัวดับลง ได้นำที่อวี้เยี่ยนสวมในช่วงกลางวันวางไว้บนมือ ลูบไล้อย่างพิถีพิถัน
ริ้วรอยบนใบหน้าทุกจุดล้วนถูกเธอหลอมซึมลึกอยู่ในหัวใจ เธอหลับตาลงก็สามารถนึกออกว่ามีรูปร่างอย่างไร
เมื่อก่อนคิดว่า เพียงแค่ออกจากเมืองหลวง ก็สามารถที่จะลืมบุคคลที่อยากลืมได้
ตอนนี้เธอเพิ่งจะรู้สึกว่ามันน่าตลกนัก
ไม่เพียงแต่ว่าไม่สามารถลืมได้ กลับกันเวลานานยิ่งซึมลงเข้าไขกระดูกอย่างชัดเจน
สรุปชื่นชอบมากเท่าไหร่กันนะ ถึงได้คิดถึงฝังลึกมิลืมเลือน
ซูเจ๋อ
ไม่รู้ว่าเขาอยู่ในเมืองหลวงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดี
ทุกค่ำคืนเฉินเสียนต้องกุมปิ่นปักผมที่เขามอบให้เข้านอน โชคดีที่ยังมีสิ่งของชิ้นนี้สามารถฝากความหวังให้เธอได้ ทำให้เธอหนุนหมอนคิดถึง หลับสบายตลอดคืน
เมื่อจมดิ่งหมกมุ่นเข้ามา หลังจากที่เธอหลงรักเขาแล้ว สิ่งที่เตรียมไว้เมื่อครั้งก่อนทั้งหมดกลายเป็นสูญเปล่า อุปสรรคขวางกั้นทั้งหมดก็สูญสิ้นมลายหายไป
เปลวไฟพริ้วไหว เฉินเสียนรู้เพียงว่า ตัวเองคิดถึงเขามาก
พลิกตัวไปมาแล้วคิด