ซูเจ๋อมองเธอด้วยแววตาที่ลุ่มลึก เขายกมือขึ้นทัดผมให้เธออย่างอ่อนโยน แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ท่านจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าข้ามาเพราะอะไร”
“ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าการเจรจาสันติภาพครั้งนี้จะล้มเหลว แล้วท่านเคยคิดหรือเปล่าว่าท่านอาจจะต้องโทษได้ หลังจากที่ท่านกลับไปแล้ว ท่านยังกลับไปเป็นบัณฑิตที่ปลอดภัยไร้กังวลได้อีกหรือไม่?” เฉินเสียนถามขึ้นด้วยเสียงลอดไรฟัน
ซูเจ๋อตอบกลับไปว่า : “ไม่เคยคิด”
เฉินเสียนพูดขึ้นด้วยความโมโห : “งั้นท่านก็ควรจะไปคิดพิจารณาให้ดี”
ซูเจ๋อเห็นสีหน้าท่าทีที่ทั้งเครียดและร้อนใจเป็นกังวลของเธอ ราวกับว่าจะระเบิดในวินาทีถัดไปยังไงอย่างงั้น
เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน : “อย่าโมโหเลย โมโหแล้วผมขาวจะงอกนะ ท่านให้ข้าไปคิดพิจารณาดีๆ แต่ตอนนี้มันสายไปแล้ว สู้สงบจิตสงบใจนั่งดื่มชาไม่ดีกว่าหรือ”
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “ใครจะดื่มชากับท่าน อย่ามาไม้นี้! ท่านเป็นคนที่คิดไตร่ตรองวางแผนได้ดีเสมอมาไม่ใช่หรือ องค์จักรพรรดิตั้งใจจะทำลายท่าน ท่านก็ยอมให้ทำลายอย่างนั้นหรือ?! ความคิดเห็นที่ท่านบอกกับข้าก่อนหน้านี้ล่ะ ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะยังใช้แผนแกล้งป่วยได้อีก”
ซูเจ๋อพูดขึ้นเป็นปี่เป็นขลุ่ยว่า : “อืม ในเมื่อท่านเองก็ยังพูดมาแบบนี้ ครั้งนี้ข้าอาจหลีกเลี่ยงได้ ครั้งหน้าฝ่าบาทก็คงจะหาวิธีมาจัดการข้าอยู่ดี คิดไปคิดมา เดินทางออกจากเมืองหลวงตามมาจีบท่านน่าจะคุ้มกว่า”
เฉินเสียนพูดอะไรไม่ออก
ตอนนี้เธอกำลังรู้สึกว่าเหตุผลที่ใช้เกลี้ยกล่อมซูเจ๋อนั้นแย่มาก
ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “อาเสียน วันนี้ท่านเข้าใจข้าแล้วใช่หรือไม่ ว่าตอนนั้นทำไมข้าถึงวิตกกังวลและกระวนกระวายใจขนาดนั้น”
ใช่ เธอเข้าใจแล้ว
เธอก้มหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ตอนนี้ข้ารู้สึกเกลียดมากที่ไม่สามารถเตะท่านให้กระเด็นกลับไปที่เมืองหลวงได้ในทันที”
ร่างที่สูงโปร่งของซูเจ๋อพิงเข้ากับกำแพง จู่ๆ ซูเจ๋อก็ดึงเฉินเสียนเข้ามาในอ้อมกอด
เรี่ยวแรงทั้งหมดของเฉินเสียนเธอใช้มันไปกับการระบายอารมณ์โมโหหมดแล้ว ตอนนี้จึงไม่มีแม้แต่แรงจะผลักเขาออก
การควบคุมและการยับยั้งชั่งใจของเธอ เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของเขานั้น มันไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้เลย
ในขณะที่เขากำลังพูด ความสั่นสะท้านของแผ่นอกของเขาพลอยทำให้จิตใจของเธอสั่นไหว : “ท่านเข้าใจก็ดีแล้ว ตอนนั้นข้าร้อนใจแค่ไหน ที่ไม่ยอมให้ท่านไปคนเดียว เพราะหากท่านไปแล้วก็จะกลับมาไม่ได้อีก”
เขาประคองท้ายทอยของเธอซบลงบนแผ่นอกของเขาเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ตอนนี้ยังดี มีข้าอยู่ด้วย จะต้องให้ท่านกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยแน่นอน”
ทั้งๆ ที่เฉินเสียนเต็มไปด้วยอารมณ์เดือดแท้ๆ แต่เธอกลับไม่ต่อต้านเลย ความเย่อหยิ่งทะนงตนของเธอถูกซูเจ๋อกำจัดอย่างง่ายดาย
“ข้าหวั่นใจเหลือเกิน” ใบหน้าของเธอซบลงบนคอเสื้อของเขา แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก
“ไม่ต้องกลัว ฟ้าย่อมมีทางออกให้เราเสมอ”
“ซูเจ๋อ ถ้าเกิดว่าฝ่าบาทไม่ได้ให้ท่านมาเป็นทูตเจรจาสันติภาพ ท่านก็ยังจะคิดหาวิธีดันทุรังฝ่าอันตรายมาหาข้าให้ได้ใช่หรือไม่?”
ซูเจ๋อตอบกลับไปว่า : “ข้าจะคิดหาวิธีมาเป็นทูตเจรจาสันติภาพให้ได้ ก็จะสามารถมาหาเจ้าได้อย่างเปิดเผย ไม่ต้องไปฝ่าฟันอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น”
เขาพูดได้อย่างพลิ้วไหวเบาใจ แต่ความจริงแล้วสถานการณ์ในตอนนี้ เขาเหมือนกำลังห้อยอยู่ปลายหน้าผา ที่สามารถจะตกลงไปได้ทุกเมื่อ หากพลาดพลั้งตกลงไป ร่างกายคงแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี
เธอไม่อยากให้เขาได้รับอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น
ถ้าหากเป็นไปได้ เธออยากให้เขาเป็นแค่บัณฑิตธรรมดา สีหน้าท่าทางที่ตั้งใจเรียนรู้หนังสือ สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนไท่ ทำเกี่ยวกับความรู้และการศึกษา
ท่ามกลางเสียงท่องอ่านตำรา สองแขนเสื้อที่โปร่งพลิ้ว อิสระและเสรีอย่างสิ้นเชิง ในโถงห้องเรียนที่ปลอดโปร่งสดใสสว่าง และนอกโถงห้องเรียนที่เต็มไปด้วยกลีบดอกอู่ถงร่วงหล่นเต็มพื้น
แต่เธอเองรู้ดีแก่ใจ ว่าตั้งแต่เขาถือดาบขึ้นเขาเพื่อมาช่วยชีวิตเธอ เขาก็ไม่สามารถกลับไปเป็นบัณฑิตคนเดิมแบบนั้นได้อีกแล้ว
เฉินเสียนค่อยๆ สงบลงอย่างช้าๆ พูดขึ้นน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า : “จากนี้ต่อไปท่านวางแผนไว้อย่างไรบ้าง ท่านจะใช้คูเมืองทั้งสามแคว้นไปเจรจาสันติภาพกับอาณาจักรเย่เหลียงได้อย่างไรกัน?”
“จะทำได้หรือไม่วันข้างหน้าค่อยว่ากันอีกที”
“ไม่ได้”
“แต่ว่า” ซูเจ๋อก้มหน้าลงมา กอดเธอไว้ในอ้อมกอดอย่างแนบแน่น สัมผัสใบหูของเธออย่างแผ่วเบา พูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า : “ระวังหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง”
เฉินเสียนหรี่ตาลง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ก็ได้ งั้นรอให้ท่านคิดพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว ค่อยมาคุยกันใหม่”
ในขณะที่เฉินเสียนกำลังเปิดประตูออก เฮ่อโยวที่แอบฟังอยู่นอกประตูยังไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเกือบจะล้ม
เขาสบตากับเฉินเสียนด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ข้าเพิ่งมา ฮ่าๆๆๆ เพิ่งจะมา”
เขาที่รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก เกิดอะไรขึ้นในห้องนั้นกันแน่
ดูทั้งคู่ที่ค่อนข้างสงบ สีหน้าท่าทีไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งทะเลาะกันเสร็จ
เมื่อเฉินเสียนกลับห้องแล้ว เฮ่อโยวก็รีบเข้าไปถามซูเจ๋อด้วยความสงสัยทันทีว่า : “ตอนที่ข้าไม่อยู่พวกท่านทำอะไรกัน?”
ซูเจ๋อใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบกลับไปว่า : “ทำเรื่องบางเรื่องที่ไม่ได้อันตรายและไร้พิษไร้ภัย”
เฮ่อโยวจินตนาการคิดเองเออเอง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ท่านมีใจให้กับเฉินเสียนใช่หรือไม่? ข้าขอบอกไว้เลย เฉินเสียนเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพ หากท่านกล้าไม่เคารพนาง ระวังตัวไว้ให้ดี ข้าอาจจะฟ้องท่านได้”
ปกติแล้วซูเจ๋อคุยกับเขาไม่เคยเกินสามคำ เพราะเฮ่อโยวมักชอบจะขู่เรื่องจะฟ้องร้องเขา และชอบพูดเรื่องความผิดของเขาอยู่เสมอ
เฮ่อโยวก็แค่ขู่เขาไปตามประสา เพราะเขาเองก็ไม่ได้อยากจะทำให้เฉินเสียนเดือดร้อน
ซูเจ๋อเดินไปที่ข้างเตียง เอนตัวลงนอนทั้งชุดที่ใส่ ร่างที่สูงยาวของเขา ค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ สรีระที่มองจากด้านข้างของเขานั้นลึกตื้นสลับกันไป แสงไฟเป็นประกายส่องสว่างชัดเจน แม้แต่เฮ่อโยวเองที่เป็นชายทั้งแท่งยังรู้สึกว่ามันงดงามดุจภาพวาดก็ไม่ปาน
ซูเจ๋อพูดขึ้นด้วยความใจเย็น : “เจ้าปกป้องนางขนาดนี้ ข้าเองก็วางใจแล้ว”
เฉินเสียนที่เอาแต่ครุ่นคิด เพราะซูเจ๋อไม่ยอมบอกเธอว่าหลังจากนี้เขาจะวางแผนรับมือยังไงต่อ เขาบอกแค่ว่าเอาไว้ค่อยคุย แต่กลับไม่ได้บอกเวลาที่ชัดเจน
ทุกๆ ครั้งที่เฉินเสียนถามเขา ซูเจ๋อก็มักตอบแค่ว่าเอาไว้ค่อยคุยกัน แต่ไม่ยอมบอกว่าเมื่อไหร่ ดูแล้วเขาคงตั้งใจจะไม่บอกเธอมากกว่า
กองกำลังเคลื่อนที่ได้เดินทางมุ่งหน้าไปยังเขตชายแดน
ไกลออกไปทางทิศใต้ ตลอดการเดินทางยิ่งอยู่ก็ยิ่งรกร้างเข้าไปเรื่อยๆ
พื้นที่แห่งนี้ใกล้กับสนามรบ ประชาชนจึงพากันย้ายออกห่าง เพราะสงครามก่อให้เกิดความไม่สงบ พืชผลที่ปลูกไว้ถูกทำลายเสียหายไปหมด จึงกลายเป็นเมืองร้างไร้ผู้คน
จากการคาดคะเน ใช้เวลาอีกไม่กี่วันก็จะเดินทางเข้าสู่เขตชายแดน
เฮ่อโยวที่มักจะชอบแกล้งหยอกล้อชิงซิ่งเล่นสนุกขบขัน ระหว่างทางจะได้ไม่เบื่อหน่าย
ตลอดทางที่ผ่านมา กองกำลังเคลื่อนที่ไม่ได้พบเจอกับเหตุการณ์อันตรายใดๆ ทุกคนต่างพยายามหาความสุขในช่วงเวลาแห่งความลำบาก สนุกสนานเฮฮา
วันนี้เดินทางไปยังจุดพักผ่อนก่อนฟ้ามืดไม่ทัน เหมือนเช่นเคย ทุกคนต่างพากันหาที่พักใต้ต้นไม้ใหญ่
ตกดึก ทั้งแมลงและกบต่างพากันร้องระงมท่ามกลางเขาใหญ่ ดูครึกครื้นและมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
เหล่าบรรดาทหารคุ้มกันที่มากประสบการณ์มอบหมายงานกันอย่างชัดเจน ก่อไฟ หาแหล่งน้ำ ล่าสัตว์ แบ่งหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม
ชิงซิ่งค่อยๆ ปรับตัวได้ดีขึ้น ไม่ใช่นางกำนัลน้อยที่เอาแต่หวาดระแวง จดจ่ออยู่กับเฉินเสียนคนเดียวจนไม่เป็นอันจะทำอะไรเหมือนในตอนแรก
นางเริ่มต่อปากต่อคำกับเฮ่อโยว ส่วนเฮ่อโยวเมื่อเห็นว่ามีคนอื่นเถียงสู้ ก็ยิ่งเล่นหนักขึ้นเรื่อยๆ
ชิงซิ่งสังเกตเห็นว่าเฮ่อโยวพูดมากและปากร้าย ชอบใช้นางไปๆ มาๆ ความจริงแล้วเขากลับไม่มีอุปนิสัยลูกคนรวยผู้สูงศักดิ์ที่ชอบชี้นิ้วสั่งอย่างเดียว
เวลาที่เขาเหนื่อย ก็นอนพักบนพื้นเหมือนกับทุกคน เวลาที่เขาหิว ก็กินอาหารแห้งที่รสชาติแย่เหมือนกับทุกคน ไม่เรื่องมากเลือกเล็กเลือกน้อย
เขาเพียงแค่ชอบหยอกล้อชิงซิ่งเล่นตามประสา
เปลวไฟกลางป่าส่องแสงสีเหลืองขุ่นมัว
ชิงซิ่งนำผ้ามาปูกับพื้น ให้เฉินเสียนนั่งบนผ้า ผ้าค่อนข้างกว้าง เฉินเสียนจึงเรียกซูเจ๋อเข้ามานั่งด้วย
ซูเจ๋อเป็นบัณฑิตที่ทั้งรักสะอาดและรักความเป็นระเบียบเรียบร้อยไร้ที่ติ
ระหว่างที่กำลังเดินทางในช่วงกลางวัน ร่างกายของซูเจ๋อฟื้นฟูดีแล้ว เขาก็ไม่ได้นั่งรถม้าคันเดียวกันกับเฉินเสียนอีก แต่กลับขี่ม้านำอยู่ข้างหน้าแทน
สถานการณ์แบบนี้มีผู้อื่นอยู่ร่วมด้วย ซูเจ๋อเองต้องสำรวมและพึงมีมารยาทตามขนบธรรมเนียมที่สมควรจะมีต่อเชื้อพระวงศ์
เมื่อเห็นว่าเฉินเสียนเชื้อเชิญเขานั่ง เขาจึงกล่าวขอบคุณ แล้วค่อยหย่อนตัวนั่งลงอย่างสงบใกล้ๆ กับเฉินเสียน
ไม่นาน เหล่าทหารคุ้มกันก็ได้นำน้ำสะอาดและสัตว์ที่ล่าได้มาด้วย จากนั้นก็นำไปย่างบนกองไฟ
ในมือของซูเจ๋อจับไม้ปิ้งเนื้อสัตว์ป่าอยู่ มือที่ขาวเนียนสะอาด พลิกเนื้อย่างเป็นพักๆ แสงเปลวไฟกระทบลงบนโครงร่างของเขาสั่นไหววูบวาบไปมา