ไม่รู้ว่ารับรู้ถึงความเจ็บปวด หรือจะเป็นรับรู้ถึงความวิตกกังวลของเฉินเสียน
หลังจากนั้นไม่นาน ซูเจ๋อก็ขมวดคิ้วและลืมตาขึ้นอย่างเงียบๆ
ในดวงตาของเขามีท้องฟ้า ที่มืดดำราวจะจับเธอเข้าไปขังไว้อย่างไรอย่างนั้น
ซูเจ๋อมองดูเธออย่างตื่นตระหนกตกใจ จากนั้นยื่นมือออกมาเช็ดน้ำตาที่เบ้าตาของเฉินเสียนอย่างอ่อนโยน
ปลายนิ้วเย็นยะเยือก
ซูเจ๋อถอนหายใจยาว และยิ้มอย่างสบายใจให้กับเธอ แม้ว่าสภาพจะดูไม่ค่อยดี แต่เป็นรอยยิ้มก็น่าหลงใหล
เขาพูดว่า “อย่าร้อง ข้าไม่เป็นไร”
เฉินเสียนขยี้ตาเหมือนกับทรายเข้าตาและยิ่งมีความคันขึ้นเล็กน้อย ที่เบ้าตาที่เปียกชื้นได้จ้องมองไปที่เขา “ท่านไม่เป็นไรแล้วทำไมไม่ลืมตา? ท่านไม่เป็นไรแล้วทำไมไม่ขานตอบข้ามาล่ะ?”
ซูเจ๋อยิ้มอย่างจริงใจและพูดว่า “ข้าขอโทษ ข้าทำให้ท่านเป็นห่วงแล้ว แต่เห็นท่านเป็นห่วงเช่นนี้ มีประโยชน์กับข้ามาก”
“ท่านจงใจแกล้งข้ารึ?”
ซูเจ๋อมองไปรอบๆ และพูดว่า “อาเสียน ท่านกัดข้าเจ็บนิดหน่อย”
เฉินเสียนเมื่อครู่มีความกังวลแค่ไหน แต่ตอนนี้ก็โมโหมากเท่านั้น
ทั้งที่เธอหวาดกลัวเช่นนั้น ซูเจ๋อกลับจงใจที่ทำให้เธอตกใจ เขาจงใจทำให้การหายใจบางเบา เพื่อรอดูเธอทำเรื่องตลก
เฉินเสียนลุกขึ้นไม่อยากจะสนใจเขา ยังไม่ถึงไหนซูเจ๋อก็ยื่นมือออกไปดึงเธอกลับมา แล้วกดเธอไว้ในอ้อมกอด
ความโกรธของเฉินเสียนยากที่จะบรรเทาลง กำลังจะดิ้นออก เสียงนุ่มๆ ของเขาได้ดังมาจากเหนือศีรษะ “อย่าขยับ ข้าได้รับบาดเจ็บ เจ็บมาก”
เฉินเสียนด่าด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ “ได้รับบาดเจ็บแล้วยังจะเล่นอยู่ได้ มีท่านที่ได้รับการทารุณเช่นนี้หรือ?”
ซูเจ๋อจับเส้นผมของเธอ นิ้วเรียวเสียบสลับกับเส้นผมของเธอ และพูดว่า “ใช่ ข้าก็ได้รับการทารุณ เมื่อครู่ ท่านกลัวที่จะสูญเสียข้าไปหรือไม่?”
เฉินเสียนปากแข็งไม่ยอมรับ “ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว”
ซูเจ๋อหัวเราะ “ใช่รึ ข้ากลับกลัว ถึงแม้เท้าข้างหนึ่งของข้าจะเหยียบเข้าไปที่ยมโลกแล้ว ข้าก็จะพยายามดึงกลับมาให้ได้”
เฉินเสียนยื่นมือออกไปกอดเขา
ซูเจ๋อที่เป็นแบบนี้ จะบอกเธอไม่กลัวที่จะสูญเสียไปได้เช่นไร
ก็เมื่อครู่นี้ เธอหวาดกลัวมาก
ซูเจ๋อนอนราบ มองขึ้นไปบนดวงจันทร์ที่อยู่เหนือศีรษะ แล้วพูดเบาๆ ว่า “แต่สุดท้ายผู้คนก็จะต้องตาย หากข้าตายก่อน อาเสียน ท่านจะเสียใจไหม?”
เฉินเสียนรู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที และถามว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านจะยอมให้ข้าเสียใจ?”
ซูเจ๋อยิ้มแล้วพูดว่า “ทั้งที่ข้ากำลังหลอกถามท่าน แต่ท่านกลับมาหลอกถามข้าคืน”
เฉินเสียนพูดขึ้นอย่างแข็งกร้าว “ใครบอกท่านจะตายเร็ว ข้าต้องการให้ท่านตายช้ากว่าข้า”
เฮ่อโยวลุกขึ้นจากพื้นดินที่เต็มไปด้วยดินกรวดและฝุ่นผงในลักษณะที่เวียนศีรษะ ในเวลาแรกปัดฝุ่นออก จากนั้นกอดชิงซิ่งขึ้นมาดู
นางยังคงไม่ลืมตา
การได้หล่นร่วงลงมาได้ปลุกเฮ่อโยวขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาได้รู้ว่าทุกอย่างนี้ไม่ใช่ความฝัน
เมื่อถึงฟ้าสาง ชิงซิ่งก็ไม่ลืมตาขึ้นอีกเลย
เพราะว่านางได้ตายไปแล้วจริงๆ
จากนั้นเฮ่อโยวได้แบกชิงซิ่งขึ้นแล้วเดินอ้อมตีนเขาไปข้างหน้าพร้อมกับเฉินเสียนและซูเจ๋อ
ระหว่างทางมีแต่ความเงียบ
พวกเขาหาแหล่งน้ำจนพบ และได้จุดไฟพื้นที่ว่างตรงข้างลำธาร
เปลวไฟสลัวส่องประกายสะท้อนภาพเงาของคนทั้งสามคน
เฮ่อโยวอยู่ด้านข้าง วางชิงซิ่งบนพื้นหญ้าเบาๆ และตักน้ำขึ้นมาเพื่อเช็ดใบหน้าที่เปื้อนเลือดของนางให้สะอาด
เฉินเสียนไม่สามารถปลอบเขาได้ เพราะอาการบาดเจ็บของซูเจ๋อ ก็จำเป็นที่จะต้องได้รับการจัดการโดยเร็วที่สุด
เฉินเสียนเห็นเสื้อผ้าของซูเจ๋อเสียหายมาก แม้ว่าเสื้อผ้าสีดำจะไม่มีคราบเลือด แต่สีแดงสดก็ทำให้เปียกโชกเต็มเสื้อผ้าสีขาว
เธอล้างแผลง่ายๆ โดยใช้น้ำล้างออก ยืนขึ้นและพูดว่า “ท่านรอก่อนนะ ข้าจะหาสมุนไพร”
ซูเจ๋อถาม “ต้องให้ข้าไปกับท่านไหม ข้ากลัวว่าท่านจะหาผิด”
เฉินเสียนหันกลับมามองเขา “ข้ารู้ว่าควรหายาอะไร รอข้าอยู่นี่ ก็พอ”
ซูเจ๋อเชื่อฟัง “ได้”
เฉินเสียนกำลังหาสมุนไพรห้ามเลือดธรรมดา ดังนั้นนางถึงไม่ได้ไปไกลมากนัก เพียงมองหาในรอบบริเวณการมองเห็นของซูเจ๋อ
ในไม่ช้าเธอก็กลับมาพร้อมกับสมุนไพรจำนวนหนึ่ง และวางกระจายออกต่อหน้าซูเจ๋อ
ซูเจ๋อพยักหน้า และพูดว่า “ใช่ พวกนี้แหละ”
เฉินเสียนหยิบสมุนไพรมาล้างในลำธารให้สะอาด พับไว้ที่มุมกระโปรงแล้วกลับมา นั่งลงบนเข่าต่อหน้าซูเจ๋อ
ซูเจ๋อมองดูเธอหยิบสมุนไพรมาเข้าปากเคี้ยว หลังจากเคี้ยวโคลนยาก็ปลดเสื้อผ้าที่เสียหายของซูเจ๋อออก แล้วเอาสมุนไพรเข้าไปแปะไว้
ซูเจ๋อไม่ได้พูดอะไร เฉินเสียนยังก็ยังถามขึ้น “เจ็บไหม?”
“ไม่ค่อยเจ็บ”
สีหน้าของเขาดูไม่ดีนัก หรือบอกไม่ค่อยเจ็บเพื่อปลอบใจเธอ
เฉินเสียนเห็นความเหนื่อยล้าบนใบหน้าและความอ่อนแอหลังจากการสูญเสียเลือด
เพียงคนคนเดียวกับการรับมือกับนักฆ่าจำนวนมาก และมีรอยแผลมากเช่นนี้ ทั้งยังกลิ้งลงมาจากเนินเขาลาดยาวนั้น พลังของเขาถูกระบายออกไปนานแล้ว
เฉินเสียนปวดใจมาก
เธอไม่ถามมาก ทั้งหมดที่เธอทำได้คือจัดการกับอาการบาดเจ็บให้เร็วที่สุดและปล่อยให้เขาได้พักผ่อน
ซูเจ๋อถามเธออีกครั้ง “ยาสมุนไพรนี้ ขมหรือไม่?”
เฉินเสียนพูด “ไม่ขม”
ทันใดนั้น เขาก็สะบัดมือขึ้นมา ใช้ปลายนิ้วเช็ดจากปากของเธอ และน้ำสมุนไพรติดไปที่มุมปากของเธอ
เขาเอาเข้าในปากลิ้มรส คิ้วของเขาขยับเล็กน้อย “มันขมมาก”
เฉินเสียนตกตะลึง พูดว่า “ซูเจ๋อ ถึงเวลานี้แล้ว ท่านยังไม่ลืมที่จะกวนประสาทข้า?”
“เป็นข้าที่ไม่ควร”
เธอหยิบเอาสมุนไพรมาหนึ่งกำแล้วยัดเข้าไปในปาก
ไม่นานหลังจากที่ใช้โคลนยากับบาดแผลทั้งหมดของซูเจ๋อ เฉินเสียนก็รู้สึกถึงความขมขื่นในต่อมรับรสซึ่งคงอยู่เป็นเวลานาน
เธอไปที่ข้างลำธารเพื่อบ้วนปาก
เมื่อเลิกคิ้วก็ฉีกมุมกระโปรงของตัวเองออกอีกครั้ง โคลนและทรายได้ลอยอยู่ในน้ำ จุ่มลงในน้ำแล้วไปคุกเข่านั่งลงต่อหน้าซูเจ๋ออีกครั้ง
เฉินเสียนใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดใบหน้าของซูเจ๋อเบาๆ และทำความสะอาดผมของเขา
ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก จนลมหายใจรดกัน
ดวงตาของซูเจ๋อราวกับกุญแจมือที่อ่อนโยน ค่อยๆ พันรอบตัวเธอ เมื่อเธอลืมตาขึ้นก็สบตากับเขา จึงทำให้ไม่มีทางให้หนี
เมื่อเฉินเสียนยื่นมือไปรวบผมไว้ด้านหลังศีรษะของซูเจ๋อ ก็ถูกซูเจ๋อจับมือเธอทันที
ซูเจ๋อหลับตาลงครึ่งหนึ่งแล้วพูดว่า “หยุดเถอะ ทำเท่าไหร่ก็ไม่สะอาดหรอก ข้าเหนื่อยและกระหายน้ำแล้ว ช่วยหาน้ำให้ข้าหน่อยได้ไหม”
เฉินเสียนมองไปรอบๆ ตอนนี้ไม่มีภาชนะใส่น้ำ จึงพูดว่า “ข้าเอาผ้าจุ่มน้ำแล้วมาให้ท่านดื่มได้หรือไม่?”
ซูเจ๋อมองที่มือของเฉินเสียนและพูดว่า “อยากดื่มน้ำจากมือท่าน”
เฉินเสียนเห็นแก่เขาที่บาดเจ็บ จึงตามใจเขา เกรงว่าครั้งนี้คำขอของซูเจ๋อจะเกินไปเล็กน้อย แต่เฉินเสียนก็ทำตามเขาเช่นเคย
เธอเดินหันกลับไปตักน้ำที่ลำธาร แล้วกลับมาโดยเร็ว ถึงริมฝีปากของซูเจ๋อ และพูดว่า “ดื่มเร็ว สักพักจะไหลออกไปหมด”
ซูเจ๋อใช้มือเธอดื่ม แต่ทุกครั้งในตอนท้าย บางครั้งเขาได้ทั้งจูบและไม่จูบลงไปบนฝ่ามือของเฉินเสียน
ด้วยอุณหภูมิร่างกายจางๆ บนริมฝีปากของเขา ได้กวาดไปในฝ่ามือของเธอ และเธอก็สั่นมากขึ้นทุกที
ในท้ายที่สุด เฉินเสียนก็ทนไม่ไหว “ดื่มเยอะขนาดนี้แล้ว ไม่รู้สึกว่ามันเกินไปหรือ?”
ซูเจ๋อถึงยอมแพ้ และพูดเรื่องไร้สาระอย่างจริงจัง “น้ำนี้ทั้งหวานและใสมาก ข้าลืมจนดื่มไม่บันยะบันยัง”
ต่อมาซูเจ๋อเอนตัวบนก้อนหินจนหลับไป เขาหลับลึกราวกับง่วงนอน เฉินเสียนไม่กล้าที่เดินออกไปแม้แค่ชั่วขณะ ก็ไม่กล้าหลับตา และนานๆ ทีจำเป็นต้องมาดูลมหายใจเป็นครั้งคราวเพื่อให้รู้สึกโล่งใจ
เพราะเมื่อครู่นี้เธอตกใจกลัวมากจริงๆ