ในสายตาของเขา ทั้งสามคนดูเหมือนพวกที่อ่อนต่อโลกและไม่เคยต้องทนต่อความยากลำบากมาก่อน ด้วยเหตุนี้แววแห่งความดูถูกเหยียดหยามจึงปรากฏชัดเจนบนใบหน้าของเขา
เขาคือแม่ทัพจ้าวเทียนฉี แม่ทัพใหญ่แห่งชายแดนเมืองเสวียน
จ้าวเทียนฉีตรวจสอบทั้งสามคนอย่างละเอียด
แค่มองปราดเดียวก็ดูออกว่าเฉินเสียนเป็นผู้หญิง เขาหยุดมองเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะละสายตาไปมองเฮ่อโยว จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ทำไม เจ้ากำลังตำหนิที่แม่ทัพอย่างข้าฆ่าคนมั่วๆ หรือ”
เฮ่อโยวเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “หากพวกเขาเป็นคนของต้าฉู่จริงๆ นั่นไม่ได้หมายความว่าท่านฆ่าคนมั่วหรอกรึ เมื่อครู่นี้ถ้าข้าไม่บอกว่าเราถูกส่งมาจากราชสำนัก ไม่ใช่ว่าคงถูกฆ่าตายที่นี่เพราะถูกคิดว่าเป็นสายลับไปแล้วหรืออย่างไร!”
จ้าวเทียนฉีมองเฮ่อโยวอย่างพินิจพิเคราะห์และกล่าวว่า “เจ้าเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กับเรื่องทางการทหารระดับนี้ยังกล้าอวดดี! หากข้าไม่ฆ่าพวกมัน ปล่อยให้สายลับเข้าไปในเมืองได้สักคนและสืบความลับเรื่องการจัดวางกำลังป้องกันของต้าฉู่ส่งไปให้อาณาจักรศัตรู เมื่อถึงเวลานั้นเหล่าทหารและชาวเมืองจะถูกฝังไว้ด้วยกันที่นี่ ใครเล่าจะรับผิดชอบผลที่จะตามมา? เด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าจะรับผิดชอบได้หรือ”
เฮ่อโยวอยากจะโต้เถียงเขา แต่เฉินเสียนห้ามไว้ก่อน “เฉยไว้”
จ้าวเทียนฉีกล่าวอีกว่า “เจ้าบอกว่าพวกเจ้าถูกส่งมาจากราชสำนัก ไหนล่ะหลักฐาน”
เฮ่อโยวชูตราประทับขึ้นมาแสดงต่อหน้าเขา เขากล่าวว่า “นี่เป็นตราประทับที่องค์จักรพรรดิพระราชทานให้ โปรดดูให้ชัดๆ!”
ทว่าจ้าวเทียนฉีกลับไม่ให้เกียรติและกล่าวว่า “แม่ทัพอย่างข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าตราประทับนี้ไม่ใช่ของที่พวกเจ้าปลอมขึ้นมา เป็นไปได้ไหมว่าพวกเจ้าปลอมตัวเป็นทูตมาเจรจาสันติภาพ เพื่อจะเข้าไปขโมยความลับทางการทหารในเมืองเสวียน”
เฮ่อโยวถามว่า “ในสายตาของท่าน นอกจากตัวท่านแล้ว ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ดูเหมือนสายลับหมดเลยงั้นรึ”
“อวดดี!” รองแม่ทัพซึ่งอยู่ข้างๆ จ้าวเทียนฉีชักดาบออกมาและจ่อไปที่คอของเฮ่อโยว “หากเจ้ากล้าดูหมิ่นท่านแม่ทัพอีกละก็ ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ข้าจะบั่นคอเจ้าซะ!”
จ้าวเทียนฉียกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้รองแม่ทัพลดดาบลง จากนั้นจึงกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าทางราชสำนักจะส่งคนมาเจรจาสันติภาพ เพียงแต่ในเมื่อเป็นราชทูตก็ควรมีกองกำลังคุ้มกันไม่ใช่หรือ เหตุใดกลับมีพวกเจ้าเพียงแค่สามคน อีกทั้งยังดูจนตรอกเช่นนี้ มันยากจริงๆ ที่จะทำให้แม่ทัพอย่างข้าเชื่อว่าพวกเจ้าไม่ได้แอบอ้าง”
เขาเหลือบมองคนทั้งสาม “นอกจากตราประทับนี้ ตอนนี้พวกเจ้ายังมีหลักฐานอื่นใดที่พิสูจน์ได้ว่าพวกเจ้าถูกส่งมาจากราชสำนักอีกหรือไม่ ถ้าไม่ ก็ไม่ควรมาโทษที่ข้าจะถือว่าพวกเจ้าเป็นสายลับ!”
ตอนนี้เอง ซูเจ๋อจึงค่อยนำพระราชกฤษฎีกาออกมาจากแขนเสื้อและส่งมอบให้จ้าวเทียนฉีกับมือ จากนั้นจึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “หากท่านแม่ทัพยังคิดว่านี่เป็นของปลอม เราก็ไม่มีอะไรจะพูด”
สีหน้าของจ้าวเทียนฉีเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองพระราชกฤษฎีกานั้นแค่ผ่านๆ และเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ไม่คิดว่าราชสำนักจะส่งคนที่ไร้ประโยชน์มาแค่ไม่กี่คน อย่างพวกเจ้านี่นะหรือคิดจะมาเจรจาสันติภาพ ช่างน่าขันยิ่งนัก!”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร เราเองก็ไม่ได้รีบ อาจต้องรออยู่นอกเมืองอีกสักสองสามวัน รอจนกองกำลังที่ตามมาสมทบมาถึง แล้วค่อยเข้าไปในเมืองพร้อมกัน”
จ้าวเทียนฉีสั่งให้ทหารที่อยู่รอบๆ ถอนตัวออกไป จากนั้นจึงหันกลับไปมองซูเจ๋อด้วยสายตาที่เย็นชาและกล่าวว่า “ทำไม แค่พูดแค่นี้เจ้าก็ไม่พอใจแล้วหรือ แค่พวกขุนนางฝ่ายพลเรือนไร้ประโยชน์ ถ้าอาศัยแค่ฝีปากของพวกเจ้าแล้วทำให้โลกสงบได้ เหตุใดยังต้องให้ทหารอย่างเราไปฆ่าฟันศัตรูในสนามรบ? เราปกป้องบ้านเมือง วางรากฐานให้อาณาจักรและพิชิตโลก ก็เพื่อให้พวกเจ้าได้ดื่มด่ำกับความสงบสุขและใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลใดๆ”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพกล่าวถูกต้องที่สุด ในเมื่อเรายังไม่มีประโยชน์สำหรับที่นี่ตอนนี้ ฉะนั้นเราจะรออยู่ที่นอกเมืองก่อน”
จ้าวเทียนฉีเอ่ยอย่างดูหมิ่นว่า “ตามใจเจ้า เป็นเจ้าเองที่ไม่ยอมเข้าเมือง อย่าโทษว่าเป็นข้าที่ไม่ปล่อยให้เจ้าเข้าไป”
หลังจากนั้นทหารทั้งหมดจึงล่าถอยกลับไปปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยทั้งสามคนเข้าไป
พวกเขาหันหลังกลับและเดินออกไปจากกำแพงเมือง ดูเหมือนว่าคืนนี้ยังคงต้องค้างคืนในท้องทุ่งที่ทุรกันดารอีกครั้ง
เฮ่อโยวถามอย่างโกรธๆ ว่า “มาก็มาถึงแล้ว ทำไมเราถึงยังไม่เข้าไปอีก”
ซูเจ๋อหรี่ตาและกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อน”
เฉินเสียนกล่าวว่า “แม่ทัพผู้นั้นประจำการอยู่ที่เขตชายแดนตลอดทั้งปีจนคุ้นชิน เขาชอบการสงคราม ในช่วงเวลานี้ไม่ว่าใครเขาก็ไม่ต้อนรับ ต่อให้เข้าไปในเมืองตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เธอก็เอ่ยอย่างไตร่ตรองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่า “การเจรจาสันติภาพใกล้เข้ามาแล้ว ทั้งสองอาณาจักรต่างไม่ต้องการให้มีสงครามยืดเยื้อต่อไปอีก สันติภาพเป็นสิ่งที่ผู้คนและทหารส่วนมากของทั้งสองอาณาจักรคาดหวังมากที่สุด ตอนนี้ทูตมาถึงแล้วแต่กลับเข้าเมืองไม่ได้ ถ้าข่าวถูกแพร่กระจายออกไป ผู้ที่จะถูกประณามไม่ใช่เรา แต่เป็นเขา”
ซูเจ๋อยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ที่อาเสียนพูดถูกต้องทุกอย่าง คืนนี้จะมีคนมาช่วยเหลือเรา”
ด้วยเหตุนี้ทั้งสามคนจึงก่อกองไฟอย่างสบายใจอยู่ที่ชานเมืองและย่างเสบียงอาหาร หลังจากนั้นจึงเตรียมค้างคืน
หลังจากฟ้ามืดได้ไม่นานนักก็ปรากฏให้เห็นแสงไฟลุกลามออกมาจากประตูเมือง และมันก็แผ่ขยายออกมารอบนอกชานเมืองอย่างต่อเนื่อง
เสียงเกือกม้าดังขึ้นมาในค่ำคืนที่ว่างเปล่า ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ไม่นานนักเหล่าทหารม้าก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า
ผู้ที่ขี่ม้าอยู่ตรงหน้าก็เป็นแม่ทัพผู้หนึ่งเช่นกัน แต่เขาอายุมากกว่าจ้าวเทียนฉี คางของเขาเต็มไปด้วยหนวดเครา ดูสุขุมน่าเกรงขามดั่งผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก
ซูเจ๋อปฏิบัติต่อแม่ทัพซึ่งมีอายุราวห้าสิบปีผู้นี้ด้วยท่าทีที่แตกต่างจากที่ปฏิบัติต่อจ้าวเทียนฉีเมื่อช่วงบ่ายอย่างเห็นได้ชัด
แม่ทัพผู้นั้นตรงมาหาซูเจ๋อทันทีที่ลงจากหลังม้า ซูเจ๋อเองก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม เมื่อแม่ทัพประสานมือโค้งคำนับเขา เขาก็เอื้อมมือไปประคองและกล่าวอย่างสุภาพว่า “ท่านแม่ทัพโฮ้วไม่ต้องมีพิธีรีตองนัก”
เฉินเสียนและเฮ่อโยวไม่ทราบความเป็นมา ดังนั้นพวกเขาจึงยืนขึ้นเช่นกัน
ดูเหมือนซูเจ๋อจะรู้จักแม่ทัพผู้นี้
แม่ทัพโฮ้วกล่าวว่า “ใต้เท้าซูได้รับความเดือดร้อน ข้าเองก็เพิ่งทราบว่าใต้เท้าซูมาถึงแล้ว ดังนั้นข้าจึงมาพาพวกท่านเข้าไปในเมือง”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อน แม่ทัพจ้าวไม่ค่อยไว้ใจข้า รอให้กองกำลังที่ตามมาสมทบมาถึงก่อนและค่อยเข้าเมืองไปพร้อมกันก็ยังไม่สาย”
แม่ทัพโฮ้วกล่าวว่า “ข่าวการมาถึงของทูตได้แพร่กระจายไปทั่วกองทัพ การเจรจาสันติภาพกับเย่เหลียงยังต้องพึ่งพาใต้เท้าซูในการออกหน้า ทหารและประชาชนต่างตั้งตารอ เข้าเมืองแล้วค่อยคุยกันเถิดใต้เท้าซู แม่ทัพจ้าวไม่กล้าสู้หน้า ข้าจึงต้องออกมารับหน้าและเชิญใต้เท้าซูไปเพื่อเป็นเกียรติแก่ข้า”
แม่ทัพโฮ้วมองไปที่เฉินเสียนกับเฮ่อโยวซึ่งอยู่ด้านหลังซูเจ๋อและเอ่ยว่า “สองคนนี้คือ…”
ซูเจ๋อจึงแนะนำว่า “ผู้นี้คือเฮ่อโยว บุตรชายของเฮ่อเซียง”
แม่ทัพโฮ้วถามว่า “เจ้าคือบุตรของขุนนางเฮ่อรึ”
เฮ่อโยวตอบว่า “ขอรับ ข้าเคยพบท่านแม่ทัพมาก่อน” แม้ว่าแม่ทัพโฮ้วผู้นี้จะเป็นขุนพลที่เต็มไปด้วยพลังดุจเสือ แต่เขาก็ไม่ได้ยโสโอหังเหมือนเจ้าคนเมื่อตอนกลางวัน ทว่ากลับทำให้ผู้คนรู้สึกนับถือ
แม่ทัพโฮ้วหันไปมองเฉินเสียนอีกครั้ง และซูเจ๋อก็กล่าวว่า “อาเสียน มานี่สิ”
เฉินเสียนก้าวออกมาข้างหน้าสองก้าว เมื่อแม่ทัพโฮ้วได้ยินที่ซูเจ๋อเรียกเธอ แววตาของเขาก็เปลี่ยนไป
ซูเจ๋อเอ่ยกับแม่ทัพโฮ้วว่า “นี่คือจิ้งเสียน”
เฉินเสียนถอดหมวกที่คลุมออก เป็นครั้งแรกที่เห็นแม่ทัพซึ่งประจำการอยู่ที่ชายแดนเผยให้เห็นอารมณ์เดิมๆ หลังจากที่มองเธอ
ดวงตาของเขาเป็นประกาย เขาอ้าปากค้างอยู่นานโดยไม่พูดอะไรเลย แต่จากท่าทางนั้นดูเหมือนเขาจะมีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดออกมา ทว่าไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน
นัยน์ตาของเขารื้นขึ้นเล็กน้อยขณะที่พึมพำว่า “เติบใหญ่จนขนาดนี้แล้วหรือ…”
เฉินเสียนรู้สึกตื้นตันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ซูเจ๋อเอ่ยเบาๆ ว่า “พระองค์จดจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้แล้ว”
แม่ทัพโฮ้วกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เขารีบทำใจให้สงบและคุกเข่าลงประสานมือคารวะเฉินเสียน “กระหม่อมคารวะองค์หญิง”
เฉินเสียนตกใจ ไม่คิดว่าแม่ทัพอาวุโสจะให้ความเคารพเธอเช่นนี้
ขณะที่เธอกำลังตะลึงอยู่นั้น ซูเจ๋อก็กระซิบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “อาเสียน รีบพยุงแม่ทัพโฮ้วขึ้นมาสิ”