เฉินเสียนจับมือแม่ทัพโฮ้วและขอให้เขาลุกขึ้น โดยกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพคอยปกปักรักษาดินแดนต้าฉู่ไว้ ช่างน่ายกย่องยิ่งนัก โปรดลุกขึ้นเถิด จิ้งเสียนรับความเคารพเช่นนี้ไว้ไม่ได้”
น้ำตาไหลอาบแก้มของแม่ทัพโฮ้วขณะที่เขาลุกขึ้น เขากล่าวว่า “ก่อนหน้านี้กระหม่อมได้ยินมาว่าองค์หญิงทรงเลอะเลือนและอ่อนต่อโลก การที่ตอนนี้ได้เห็นว่าองค์หญิงทรงฟื้นสติและตระหนักถึงพระองค์เอง ช่างนับเป็นโชคดีของต้าฉู่ยิ่งนัก!”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องในอดีต”
“องค์หญิง โปรดเสด็จเข้าเมืองกับกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนยังคงปรับตัวไม่ได้ที่แม่ทัพผู้กรำศึกอยู่ที่ชายแดนปฏิบัติต่อเธออย่างนอบน้อมเช่นนี้
ในบรรดาพวกเขาสามคน ซูเจ๋อเป็นคนที่ตัดสินใจได้ดีที่สุด เมื่อเห็นซูเจ๋อพยักหน้า เฉินเสียนจึงตกลงที่จะเข้าเมือง
แม่ทัพโฮ้วรีบเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “เชิญใต้เท้าซูกับคุณชายเฮ่อ”
เฉินเสียนเดินไปข้างหน้า ทันใดนั้นก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าซูเจ๋อคงจงใจปฏิเสธที่จะเข้าไปในเมืองและอยู่ที่ชานเมืองนี่เพื่อชักนำให้แม่ทัพโฮ้วมาพบที่นี่ก่อน
หากเข้าไปในเมืองก่อน แม่ทัพโฮ้วผู้นี้อาจจะคุกเข่าให้เธอต่อหน้าผู้คนและเรียกแทนตนเองว่ากระหม่อมไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคที่แม่ทัพโฮ้วพูดกับเธอเมื่อครู่นี้ว่า “เติบใหญ่จนขนาดนี้แล้วหรือ” จนทำให้เฉินเสียนรู้สึกสะเทือนใจ
แน่นอนว่าหลังจากนี้ต่อหน้าผู้คน แม่ทัพโฮ้วจะเรียกเธอได้แค่ “องค์หญิงจิ้งเสียน” เท่านั้น
เฮ่อโยวเองตกใจและงงงวยไม่ต่างกัน แม้ว่าเฉินเสียนจะเป็นองค์หญิง แต่แม่ทัพโฮ้วก็ไม่จำเป็นต้องมีการตอบสนองที่กระตือรือร้นและนอบน้อมถึงเพียงนี้ ทว่าเขาได้แต่นึกสงสัยอยู่ในใจและไม่ได้พูดอะไรออกมา
ตอนนี้ประตูเมืองอยู่ตรงหน้าและแสงไฟก็สว่างขึ้นเล็กน้อย
แม่ทัพโฮ้วถามว่า “เหตุใดองค์หญิง ใต้เท้าซู และคุณชายเฮ่อจึงอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทำไมจึงมีกันเพียงแค่สามคนเท่านั้น”
เฉินเสียนตอบว่า “เราถูกโจมตีระหว่างทาง เหลือแค่พวกสามคนที่รอดมาได้ ข้ากับใต้เท้าซูไม่ได้ออกเดินทางมาพร้อมกัน กองทหารคุ้มกันของเขากับท่านรองทูตเฮ่อถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง อาจจะต้องใช้เวลาประมาณสองสามวันจึงจะเดินทางมาถึง”
แม่ทัพโฮ้วถามต่อโดยอัตโนมัติว่า “พวกที่ซุ่มโจมตีมีใครรอดชีวิตหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนชายตาขึ้นมองซูเจ๋อ เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ใส่ใจของเขา เธอจึงตอบไปว่า “ไม่มี”
แม่ทัพโฮ้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
เฉินเสียนเลิกคิ้ว เธอเข้าใจแจ่มแจ้ง
หลังจากเข้าไปในเมืองจึงเห็นว่าทุกครัวเรือนต่างปิดประตูมิดชิด พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะจุดตะเกียงเพราะเกรงว่าจะนำภัยมา มีทหารคอยลาดตระเวนอยู่บนถนนเป็นระยะๆ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรนอกจากถนนที่ว่างเปล่าเงียบเหงาและกลิ่นคาวคลุ้งที่โชยมาตามลม
ทั่วทั้งเมืองเสวียนถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศที่กดดันและน่าอึดอัด
มีหลุมศพของผู้ที่เพิ่งเสียชีวิตอยู่นับไม่ถ้วน ทหารและประชาชนในเมืองนี้ต่างตกอยู่ในอันตราย ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทุกหนทุกแห่งจะเต็มไปด้วยบรรยากาศที่น่าหดหู่
อาการของเฮ่อโยวไม่ค่อยดีนัก ตอนอยู่ที่ประตูเมืองเขาอาเจียนไปแล้วครั้งหนึ่ง ใบหน้าที่อึดอัดของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาไม่อาจเพิกเฉยต่อกลิ่นที่ทั้งคาวทั้งเน่าเสีย รวมถึงกลิ่นไหม้เกรียมซึ่งโชยมาในอากาศได้เลย
ยิ่งเมื่อรู้ว่าเป็นกลิ่นที่เกิดจากศพของทหารแนวหน้าซึ่งตายในสนามรบ กลิ่นพวกนี้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกคลื่นเหียน แม้ว่าจะฝังศพผู้เสียชีวิตไปแล้วเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังกลบกลิ่นเหล่านี้ให้หมดไปไม่ได้
ยิ่งเฮ่อโยวทำเป็นไม่สนใจมากเท่าไหร่ ประสาทสัมผัสของเขาก็ยิ่งอ่อนไหวขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว แม่ทัพโฮ้วพาทั้งสามคนไปยังจวนที่จัดเตรียมไว้ พร้อมกันนั้นอาหารก็ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย
กิจธุระอื่นใดไว้ค่อยพูดคุยกันพรุ่งนี้หลังจากได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
ภายในจวนนี้ปลอดภัยและมีทหารคอยเฝ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วแม่ทัพโฮ้วจึงจากไป จากนั้นทั้งสามคนจึงไปที่ห้องในลานด้านในเพื่อล้างหน้าล้างตา
เมื่อมาถึงลานด้านในเฉินเสียนก็ทนไม่ไหว ทั้งเธอและเฮ่อโยวต่างก็ก้มลงไปที่แปลงปลูกดอกไม้และอาเจียนออกมาอย่างหนัก
เฮ่อโยวเอื้อมมือไปลูบหลังให้เฉินเสียนในขณะที่ตนเองก็อาเจียนไปด้วย จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างยากลำบากว่า “ท่านก็ช่างทนได้จริงๆ…”
เฉินเสียนก็เอ่ยอย่างลำบากพอกันว่า “ตลก ข้าคือองค์หญิง ที่นี่คือแนวหน้าของสมรภูมิรบ ที่เป็นพวกเดียวกันคือแม่ทัพและทหารที่สู้รบในสงคราม เจ้าจะไร้ประโยชน์ก็ช่าง แต่จะทำให้พวกเขาคิดว่าข้าไร้ประโยชน์ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพวกนั้นจะยิ่งดูถูกพวกเรามากไปกว่านี้”
ภายในลานแห่งนี้มีพืชพรรณอุดมสมบูรณ์ ที่ลานเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและอากาศก็ดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
การที่แม่ทัพโฮ้วจัดการให้พวกเขาได้พักอยู่ที่ลานแห่งนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก
หลังจากอาเจียนจนหมด ทั้งสองก็ยืดตัวขึ้นมาและหันไปมองซูเจ๋อ
แสงจากโคมไฟทำให้ช่วงเวลายามค่ำคืนภายในลานกลายเป็นสีเทาสลัว และเขาก็ยืนอยู่ใต้โคมไฟราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เฉินเสียนชื่นชมในความอดทนอันน่าทึ่งของเขาและเอ่ยอย่างไม่รู้จะพูดอะไรว่า “ซูเจ๋อ กลิ่นอันไม่พึงประสงค์นี้ไม่ได้ทำให้ท่านรู้สึกพะอืดพะอมสักนิดเลยหรือ”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าค่อนข้างปรับตัวได้”
แม้จะไม่ทันเห็นด้วยตาของตัวเอง แต่เขาก็จินตนาการได้ถึงกลิ่นคาวเลือดและการเข่นฆ่าในสนามรบ ไม่ว่าจะสูญเสียไปกี่ชีวิต ไม่ว่าจะต้องหลั่งเลือดไปมากแค่ไหน สำหรับเขามันก็ไม่ต่างอะไรกับเมื่อวาน
เขาคุ้นเคยกับมันแล้ว
ทั้งสามคนกลับไปที่ห้องเพื่อล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็มีคนนำอาหารมาให้กิน
หลังจากล้างเนื้อล้างตัวจนสะอาดก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาอีกครั้ง แม้แต่กับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ก็ยังรู้สึกว่าอดทนได้มากกว่าเดิม
เพียงแค่ปิดประตูก็แทบจะไม่มีกลิ่นหลงเหลือ
อาหารบนโต๊ะเป็นชาธรรมดาและอาหารง่ายๆ ซึ่งถือว่าเป็นอาหารที่ดีแล้วเมื่อมาอยู่ในกองทัพ แต่เห็นได้ชัดว่าเฉินเสียนกับเฮ่อโยวที่เพิ่งอาเจียนไปเมื่อครู่ไม่ได้มีความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย
เฮ่อโยวกินข้าวไปเพียงสองสามคำก็กลับไปนอนที่ห้องด้วยความง่วงงุน ตลอดสองสามวันที่ผ่านมาพวกเขาต้องเร่งเดินทางจนไม่ได้นอนหลับสบายเลยสักวัน
ซูเจ๋อรินชาและส่งถ้วยให้เฉินเสียน จากนั้นจึงกล่าวว่า “ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง”
เฉินเสียนประคองถ้วยชาขึ้นมาจิบ มันเป็นชารสชาติอ่อนๆ จากนั้นเธอจึงพยักหน้า
“ท่านอยากถามอะไรหรือ”
เฉินเสียนเงยหน้ามองเขา “ดูเหมือนท่านจะรู้ว่าข้ามีบางอย่างจะถามท่าน ถ้าเช่นนั้นท่านจะต้องรู้แน่ๆ ว่าข้าอยากถามเรื่องอะไร”
“เกี่ยวกับแม่ทัพโฮ้ว?” ซูเจ๋อเอ่ยเบาๆ
เฉินเสียนถามว่า “แม่ทัพโฮ้ว… เป็นข้าราชบริพารเก่าของราชวงศ์ก่อนใช่ไหม วันนี้ข้าเห็นว่าท่านกับเขาไม่เหมือนคนเพิ่งรู้จักกันครั้งแรก ท่าทีที่เขามีต่อท่านก็แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด”
“แม่ทัพโฮ้วเคยเป็นข้าราชบริพารของจักรพรรดิองค์ก่อน แม้จะรักษาการณ์อยู่ในยามที่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองและถูกส่งมาป้องกันอยู่ที่ชายแดน ทว่าเขาก็ไม่ได้มีอำนาจอย่างแท้จริง”
“อำนาจที่แท้จริงตกอยู่ในมือของแม่ทัพใหญ่เจิ้นหนาน ที่เจอในวันนี้”
“จ้าวเทียนฉีเป็นนายทหารที่ได้รับการแต่งตั้งจากจักรพรรดิ เขากุมอำนาจของกองกำลังทหารที่ชายแดนไว้ในมือเพื่อปราบปรามนายทหารผู้เป็นขุนนางแห่งราชวงศ์ก่อน” ซูเจ๋อกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หลังจากความวุ่นวายทางการเมืองในปีนั้น จักรพรรดิก็ทรงดำเนินนโยบายอภัยโทษให้แก่นายทหารเหล่านี้ ทว่าจนถึงปัจจุบันพวกเขากลับถูกทำให้กลายเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น”
เฉินเสียนกล่าวว่า “สถานการณ์ในเมืองเสวียนยังคงเป็นเช่นนี้ ดังนั้นในการเฝ้าระวังในที่อื่นๆ แม่ทัพใหญ่ก็คือคนที่อยู่เคียงข้างจักรพรรดิและกุมอำนาจทหารไว้ในมือ กองทหารซึ่งเป็นข้าราชบริพารเก่าอย่างแม่ทัพโฮ้วมีเพียงแต่บารมีแต่ไม่มีอำนาจที่แท้จริง จักรพรรดิจำเป็นต้องใช้พวกเขาเพื่อรวบรวมขวัญกำลังใจของทหารให้มั่นคง แต่เมื่อสงครามปะทุขึ้น พวกเขากลับต้องเป็นกลุ่มแรกที่ถูกส่งออกไปสู้รบใช่หรือไม่”
ซูเจ๋อเหลือบมองเธอและกล่าวว่า “อาเสียนฉลาด”
ให้ข้าราชบริพารเก่าดังเช่นแม่ทัพโฮ้วออกไปเผชิญหน้าก่อน และมีคนเช่นจ้าวเทียนฉีควบคุมอำนาจเบ็ดเสร็จทำลายชีวิตผู้คนอยู่เบื้องหลัง คิดแล้วเฉินเสียนก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ
การที่แม่ทัพโฮ้วผ่านสงครามครั้งนี้มาได้อย่างปลอดภัย น่าจะไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขาผ่านประสบการณ์มามากมาย แต่ความสามารถในการบัญชาการกองทัพระหว่างการสู้รบก็คงจะยอดเยี่ยมมาก
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ในปีนั้นแม่ทัพโฮ้วได้รับคำสั่งให้ไปเฝ้าระวังอยู่ที่ชายแดน พรมแดนทางทิศตะวันตกของต้าฉู่เป็นดินแดนแห่งความป่าเถื่อน ในฐานะแม่ทัพเจิ้นซี เขาจึงไม่สามารถละทิ้งหน้าที่ระหว่างช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองในต้าฉู่และปล่อยให้พวกป่าเถื่อนบุกเข้ามาในอาณาจักรได้ ต้าฉู่ประสบปัญหาจากทั้งภายในและภายนอก ตกอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤต”
###########
แม่ทัพใหญ่เจิ้นหนาน (ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งทิศทักษิณ)
แม่ทัพเจิ้นซี (ตำแหน่งแม่ทัพแห่งทิศประจิม)