ในเวลานั้นแม่ทัพใหญ่เจิ้นซีป้องกันพรมแดนทางด้านตะวันตก ทั้งเคร่งครัดและน่าเกรงขามจนพวกหมานอี๋ซึ่งเป็นชนเผ่าป่าเถื่อนไม่กล้าสร้างปัญหา ทว่าเวลานี้อำนาจของเขากลับมีน้อยยิ่งกว่ารองแม่ทัพที่อยู่ข้างกายจ้าวเทียนฉีเสียอีก
ซูเจ๋อลดเสียงต่ำลงและมีเพียงเฉินเสียนเท่านั้นที่ได้ยิน เหมือนกำลังบอกเล่าความรู้สึกที่เก็บไว้ลึกๆ ในใจที่ข้างหู
ทว่าเขากำลังช่วยเฉินเสียนวิเคราะห์สถานการณ์
เขาเอ่ยว่า “การเผชิญหน้ากับเย่เหลียงในครั้งนี้ แม้ว่ากองกำลังทหารในแดนใต้จะเผชิญกับความสูญเสียอย่างหนัก แต่ก็นับว่าเป็นกำลังที่ไม่ควรมองข้าม ในปีนั้นจักรพรรดิองค์ก่อนมีกำลังทหารไม่เพียงพอ ความพ่ายแพ้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่สั่งให้กษัตริย์ไหวหนานนำกองทัพมาที่พรมแดนทางใต้ ทว่าก็ไม่มีทางเลือกอื่น พรมแดนด้านตะวันตกมีพวกหมานอี๋คอยถ่วงดุล ถ้าทางเหนือไม่มีภัยพิบัติและเย่เหลียงยุติสงคราม กองกำลังทหารในเขตใต้ก็คงจะเคลื่อนทัพไปทางเหนือเช่นปีก่อน”
เฉินเสียนตกใจเป็นอย่างมากและมองไปที่ซูเจ๋อ
สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉย ลำแสงในดวงตาเรียวยาวซึ่งหรุบต่ำอยู่นั้นเปล่งประกาย ทว่าสิ่งที่พูดเป็นเหมือนดั่งคมมีดที่อ่อนโยนซึ่งเป็นอันตรายมาก
แต่น้ำเสียงของเขาสม่ำเสมอราวกับกำลังพูดเรื่องอาหารการกินทั่วๆ ไปกับเธออย่างไรอย่างนั้น
ทันใดนั้นเฉินเสียนก็รู้สึกราวกับว่าเธอกำลังตกอยู่ในกระดานหมากขนาดยักษ์
เกมหมากที่เขาสร้างขึ้นเองกับมือ
“ซูเจ๋อ ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่” เฉินเสียนได้ยินเสียงของตัวเองดังออกมาจากลำคอ
เป็นเขาที่ทำให้ฉินหรูเหลียงต้องมาออกศึกที่เย่เหลียง และอาจจะเป็นเขาที่ทำให้ฉินหรูเหลียงต้องมาพ่ายแพ้ที่นี่ แม้ว่าเฉินเสียนจะไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีไหนก็ตาม
เย่เหลียงจับตัวฉินหรูเหลียงไว้ หลังจากนั้นเธอก็ถูกส่งตัวมายังชายแดนทางใต้และพบเขาระหว่างทาง ราวกับว่าทุกอย่างนี้เป็นหมากที่เขาวางไว้อย่างเป็นระบบระเบียบ
เพียงเพื่ออำนาจทางการทหารของกองกำลังในเขตใต้
เฉินเสียนจงใจถามทั้งที่รู้อยู่แล้ว กระนั้นเธอก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี
เธอเคยเห็นการใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ จากการทำงานในวงการบันเทิงในชาติที่แล้วมามากจนชิน ดังนั้นสมองของเธอจึงปรับตัวได้ดีและเข้าใจอะไรๆ ได้มากมาย
แต่ตอนนี้มันต่างออกไป ที่วางแผนกันอยู่ตอนนี้คือเรื่องใหญ่ระดับชาติ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในอดีตกลายเป็นเพียงเรื่องเด็กๆ ไปเลยเมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
ซูเจ๋อตอบมาว่า “ข้าไม่อยากให้ท่านกับเจ้าน่องน้อยถูกรังแกอีก”
หัวใจของเฉินเสียนสั่นไหว เธอกล่าวว่า “เหตุผลนี้ฟังดูสูงส่งเกินไปหน่อย”
ซูเจ๋อยิ้มและกล่าวว่า “ท่านบอกว่าสูงส่ง เช่นนั้นก็สูงส่ง”
เฉินเสียนสบตาเขาตรงๆ และถามว่า “ข้าขอถามท่านแค่คำถามเดียว ในเมื่อท่านวางแผนสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไว้ตั้งแต่แรก จงใจทำให้ข้ามาที่นี่เพื่อให้ข้ากับแม่ทัพโฮ้วได้พบกัน เหตุใดตอนอยู่ที่เมืองหลวงคืนนั้นท่านยังต้องพยายามรั้งข้าไว้ ซูเจ๋อ ท่านกำลังแสดงละครให้ข้าดูหรือ”
ดวงตาของซูเจ๋อสงบและเปิดเผย เขากล่าวว่า “อาเสียน ไม่ใช่ว่าข้าจะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ได้ สิ่งที่ควบคุมได้ยากที่สุดสำหรับข้าคือจิตใจของมนุษย์ ข้าควบคุมให้ท่านชอบหรือเกลียดข้าไม่ได้ และข้าก็ควบคุมให้จักรพรรดิส่งท่านมาทางใต้ไม่ได้”
“สิ่งเดียวที่ข้าพอจะประเมินได้ก็คือ เมื่อพระองค์เลือกทำสิ่งเหล่านี้ พระองค์จะมีความกังวลมากขึ้น หนทางนั้นยาวไกลและอันตราย เดิมทีข้าไม่ได้คิดว่าพระองค์จะส่งท่านมา ตอนนี้มาถึงนี่แล้ว การทำให้ท่านได้พบกับแม่ทัพโฮ้วก็เป็นเพียงแค่การฉวยประโยชน์เท่านั้น”
แววตาของเฉินเสียนผ่อนคลายลง
ซูเจ๋อเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ข้าจำที่ท่านเคยบอกได้ ว่าท่านไม่ต้องการเข้ามาพัวพันอยู่ตรงกลางระหว่างเรื่องเหล่านี้ ข้าแค่อยากจะถามท่านว่า ในเมื่อท่านได้เห็นแม่ทัพโฮ้วกับแม่ทัพเจิ้นหนานแล้ว ท่านจะเลือกยืนอยู่ข้างไหน”
เฉินเสียนชำเลืองมองเขาและกล่าวว่า “ข้าไม่อยากเข้าไปยุ่ง แต่ถ้าข้าตอบท่านจะไม่เท่ากับว่าเป็นการแสดงจุดยืนที่ชัดเจน ถูกท่านลากไปมีเอี่ยวหรอกหรือ”
ซูเจ๋อเอ่ยด้วยสีหน้าที่ไม่มีพิษมีภัยว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ความคิดเห็นของท่านนั้น ข้าเพียงแต่นำมาเพื่อใช้พิจารณาเท่านั้น”
เมื่อเห็นว่าเฉินเสียนไม่ตอบ ซูเจ๋อจึงกล่าวว่า “แม่ทัพโฮ้วหรือแม่ทัพจ้าว? หากท่านไม่บอก ข้าคิดว่าคงเป็นแม่ทัพจ้าว”
คนผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง
เฉินเสียนจ้องมองเขาอย่างขุ่นเคืองและพูดว่า “คนมีสติปัญญาย่อมต้องมองออก เพื่อคำนึงความปลอดภัยของชายแดนต้าฉู่ แม่ทัพโฮ้วแบกรับหน้าที่ในตำแหน่งใหญ่ได้ แล้วท่านยังจะถามข้าอีกรึ”
ซูเจ๋อยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ใช่ ท่านพูดถูก ทุกอย่างก็เพื่อความปลอดภัยของชายแดนต้าฉู่” ว่าแล้วเขาก็เลิกคิ้วเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้นตามที่ท่านเห็น ยังต้องจัดการแม่ทัพจ้าวอยู่หรือเปล่า”
“นี่” เฉินเสียนกัดฟันกรอด “ซูเจ๋อ ท่านจะทำเรื่องเลวร้ายก็เรื่องของท่าน เหตุใดต้องดึงข้าเข้าไปร่วมทำผิดกับท่านด้วย”
ซูเจ๋อกระซิบที่ข้างหูของเธอว่า “วันนี้ข้าเห็นแม่ทัพจ้าวมองท่านอยู่หลายครั้ง ข้าไม่สบายใจเอาเสียเลย”
หูของเฉินเสียนเริ่มร้อน ความโกรธใดๆ ไม่มีหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
หลังจากมาถึงชายแดนและอาศัยอยู่ในจวนที่แม่ทัพโฮ้วจัดไว้ให้ ทั้งสามคนก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป
คนหนึ่งเป็นราชทูตผู้มาร่วมเจรจาสันติภาพ คนหนึ่งเป็นรองทูตผู้ติดตาม นอกจากนี้ยังมีองค์หญิงจิ้งเสียนซึ่งเดิมทีตั้งใจมายังชายแดนเพื่อรับสามีที่ถึงแก่กรรมกลับไปที่เมืองหลวง
เพียงแต่ตอนนี้ฉินหรูเหลียงอยู่ในกำมือของเย่เหลียง และต้าฉู่ก็ยังไม่เคยเห็นว่าเขายังอยู่จริงๆ ดังนั้นจึงยังยืนยันแน่นอนไม่ได้ เฉินเสียนยังจำเป็นต้องไปดูซากศพที่เก็บไว้ในโลงน้ำแข็ง
ต้องยืนยันให้แน่ใจก่อนว่าซากศพนี้ใช่ฉินหรูเหลียงจริงหรือไม่ หลังจากนั้นจึงจะวางแผนต่อไปได้
หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นแม่ทัพโฮ้วจึงพากลุ่มของเฉินเสียนไปที่ที่เก็บโลงน้ำแข็งเอาไว้
มันคืออุโมงค์น้ำแข็งขนาดใหญ่พอสมควร ภายในมีโลงน้ำแข็งซึ่งเป็นประกายแวววาวจัดวางไว้ ทันทีที่เดินลงไป ความเย็นเยือกก็ปะทะเข้ามาที่ใบหน้า เยียบเย็นเข้าไปถึงขั้วกระดูก
ปัจจัยที่นี่มีจำกัด ไม่มีเสื้อคลุมเตรียมไว้ให้องค์หญิง มีเพียงแต่ผ้าสักหลาดผืนใหญ่ โชคดีที่ซูเจ๋อเตรียมผ้าสักหลาดผืนใหญ่พาดแขนติดมาด้วย เขาจึงพาดลงบนไหล่ของเฉินเสียนเมื่ออยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง
ไม่ทันไรเฮ่อโยวก็หนาวจนตัวสั่น เขาเหลือบมองผ้าสักหลาดที่ซูเจ๋อคลุมให้เฉินเสียนและเอ่ยอย่างอิจฉาว่า “หากรู้ตั้งแต่แรกว่าที่นี่หนาว เหตุใดท่านจึงไม่หยิบมาอีกสักสองสามผืนเล่า”
ซูเจ๋อหยิบผ้ามาเพียงผืนเดียว และเขาก็ไม่ได้เอามาใช้เอง
เมื่อเห็นดังนั้น แม่ทัพโฮ้วจึงปลดผ้าสักหลาดจากชุดเกราะให้เฮ่อโยวพร้อมกล่าวว่า “คุณชายรับของข้าไปใช้เถิด ข้าอยู่กับความรุนแรงป่าเถื่อนตลอดทั้งปีจนเคยชิน จึงไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เพื่อรับมือกับความหนาวเหน็บ”
เฮ่อโยวรีบรับมาห่อตัวไว้และเอ่ยว่า “ขอบใจแม่ทัพโฮ้วยิ่งนัก”
มีโลงน้ำแข็งมากกว่าสิบโลงถูกเก็บไว้ที่นี่ แต่ละโลงมีศพอยู่ในนั้น บางศพใบหน้าไม่เหลือเค้าเดิม แต่บางศพยังพอระบุใบหน้าได้
แม่ทัพโฮ้วกล่าวอย่างหดหู่ว่าศพเหล่านี้ล้วนเป็นนายทหารที่ตายในสนามรบ รอจนพ้นช่วงแห่งสงคราม พวกเขาจะถูกส่งกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อประกอบพิธีฝังศพ
มีนายทหารสองสามคนในนี้ที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา แม่ทัพโฮ้วยกมือขึ้นลูบโลงน้ำแข็งอย่างสลดใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
แม่ทัพโฮ้วเอ่ยอย่างเคียดแค้นและสิ้นหวังว่า “ถ้าแม่ทัพจ้าวไม่ออกคำสั่งให้ทหารบุกเข้าไปโจมตีเมืองเช่นนั้น ก็คงจะไม่ต้องสูญเสียพวกพ้องไปมากมายภายในคราวเดียวเช่นนี้ เขาไม่ได้เห็นค่าชีวิตของพวกพ้องเลย”
เฉินเสียนกล่าวว่า “แม่ทัพฉินเป็นแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่ เขาน่าจะวางกลยุทธ์และเชี่ยวชาญในการใช้ตำราพิชัยสงคราม เหตุใดจึงกลายเป็นโศกนาฏกรรมเช่นนี้”
เฉินเสียนมาคิดได้ในภายหลัง ฉินหรูเหลียงเป็นแม่ทัพที่เคยเอาชนะเย่เหลียงมาแล้วครั้งหนึ่ง แม้ว่ามือของเขาจะถูกทำลายไปข้างหนึ่ง แต่เขาก็ยังคุมทหารในแนวรบและสั่งให้ทหารเหล่านั้นออกไปสู้ได้ จึงไม่น่าจะถึงกับพ่ายแพ้อย่างหมดรูปเช่นนี้
เธออยากรู้มากๆ ว่าฉินหรูเหลียงพ่ายแพ้ได้อย่างไร
แม่ทัพโฮ้วเอ่ยอย่างเศร้าใจว่า “ในการต่อสู้ที่ต้าฉู่พ่ายแพ้ครั้งใหญ่นั้น แม่ทัพฉินกำหนดเวลาให้แม่ทัพจ้าวพากองกำลังมาสมทบและช่วยโอบล้อมศัตรู แต่แม่ทัพจ้าวมาถึงช้าไปครึ่งชั่วยาม ทำให้แม่ทัพฉินถูกกองทัพของเย่เหลียงตีโอบเข้ามา
ในเวลานั้นฝ่ายเย่เหลียงยังคงส่งกำลังทหารมาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง กองกำลังของเราเผชิญกับความสูญเสียอย่างหนักและควรถอยทัพอย่างสุดกำลัง ทว่าแม่ทัพจ้าวไม่เพียงแต่ไม่ฟังคำสั่งของแม่ทัพฉิน แต่ยังสั่งให้ทหารทั้งหมดบุกโจมตีเข้าไป พยายามทุกวิถีทางเพื่อบุกยึดเมืองของเย่เหลียง สุดท้ายก็หมดหวังที่จะตีฝ่าวงล้อม ทหารจำนวนนับไม่ถ้วนต้องพลีชีพ และจบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน”