เฉินเสียนกล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่าสาเหตุของการพ่ายแพ้ครั้งนี้ ส่วนใหญ่มาจากแม่ทัพจ้าวผิดเวลาจนเสียแผนและไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง”
คิดๆ ดูแล้ว ก่อนที่ฉินหรูเหลียงจะมาที่นี่ จ้าวเทียนฉีก็เป็นใหญ่ที่สุด ณ ที่แห่งนี้ คนผู้นี้เป็นคนหัวแข็งที่ถือความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ เขาจะยอมปฏิบัติตามคำสั่งของฉินหรูเหลียงด้วยความเต็มใจได้อย่างไร
จากนั้นแม่ทัพโฮ้วจึงเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “นอกจากนี้เรายังสืบหาข่าวจนพบว่าที่เย่เหลียงมีแม่ทัพหนุ่มผู้หนึ่งวางกลยุทธ์ก่อนทำสงคราม คนผู้นี้ทั้งกล้าหาญและช่างวางแผน ทั้งยังชำนาญการในการจัดกระบวนทัพที่ยากจะคาดเดา ทำให้ฝ่ายเราเสียหายมิใช่น้อย”
ขณะที่พูดอยู่นั้น ทุกคนก็เดินลึกเข้าไปในอุโมงค์ซึ่งมีโลงน้ำแข็งวางอยู่
เมื่อมองทะลุชั้นน้ำแข็งเข้าไปจะเห็นชุดเกราะชุดหนึ่งซึ่งมีรอยเลือดกระดำกระด่างติดอยู่วางไว้ในนั้น
เฉินเสียนจำได้ทันทีว่านั่นคือชุดเกราะของฉินหรูเหลียง เธอจำได้รางๆ เพราะว่าวันที่ทัพใหญ่ออกศึก เธอไปส่งฉินหรูเหลียงและผูกเสื้อคลุมเข้ากับชุดเกราะของเขาด้วยมือของเธอเอง
ตอนนี้เสื้อคลุมยังอยู่ที่นี่ ทว่าได้รับความเสียหายอย่างหนัก คราบเลือดที่อยู่ด้านบนย้อมน้ำแข็งสีขาวที่อยู่ด้านล่างจนเป็นสีแดง
ฉินหรูเหลียงสวมเสื้อคลุมที่เธอผูกให้กับมือตลอดเวลาเลยหรือ?
แม่ทัพโฮ้วกล่าวว่า “นี่คือซากศพที่ว่านั่น เราพบมันอยู่ใกล้ๆ กับชุดเกราะของท่านแม่ทัพฉิน”
แขนทั้งสองข้างของซากศพนั้นยังคงอยู่ เฉินเสียนบอกความแตกต่างได้ทันทีเมื่อเห็นข้อมือที่ถูกจัดวางไว้อย่างสะอาดเรียบร้อย เธอกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่ท่านแม่ทัพ”
ที่ข้อมือข้างซ้ายของฉินหรูเหลียงมีรอยแผลเป็นที่เธอทิ้งเอาไว้ แต่ที่ข้อมือนี้กลับไม่มี
แม่ทัพโฮ้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะอยู่ในมือของเย่เหลียง”
ในเวลาเดียวกันนั้น ฝ่ายเย่เหลียงได้ยินว่าทูตของต้าฉู่มาถึงชายแดนแล้วและจะส่งคนมาเจรจา สามวันต่อมาจึงเชิญทูตไปยังเมืองชายแดนของเย่เหลียงเพื่อเจรจาสันติภาพ
เพื่อแสดงความจริงใจ กษัตริย์แห่งเย่เหลียงจึงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง กองทัพและประชาชนของเย่เหลียงต่างมารวมตัวกันอย่างพร้อมใจอย่างที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อน
จ้าวเทียนฉีมาต้อนรับทูตส่งสารของเย่เหลียงด้วยตนเองและด่าทออย่างหยาบคายเมื่ออยู่ต่อหน้าทูต
ในฐานะแม่ทัพ เขาย่อมต้องหวังที่จะเอาชนะเย่เหลียงผ่านการทำสงคราม เมื่อทำสำเร็จชื่อเสียงของเขาจะเลื่องลือไปทั่ว ดังนั้นในสายตาของเขา การที่ต้าฉู่เลือกที่จะเจรจาชดใช้ด้วยเมืองจึงถือเป็นเรื่องที่อัปยศอดสูเป็นอย่างยิ่ง
เขาไม่สนใจว่าในค่ายทหารจะมีนายทหารคนอื่นๆ อยู่ด้วย ในเวลานั้นเขาปาจดหมายเกี่ยวกับการเจรจาสันติภาพในอีกสามวันข้างหน้าที่เย่เหลียงส่งมาให้ลงกับพื้น จากนั้นก็ชักดาบออกมาแล้วตัดออกเป็นชิ้นๆ และสั่งให้คนกุมตัวทูตส่งสารจากเย่เหลียงเอาไว้
จ้าวเทียนฉีเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ไปเจรจาสันติกับโคตรของเจ้าสิ! คิดว่าจับแม่ทัพได้แค่คนเดียวแล้วจะขู่ต้าฉู่ให้ยกเมืองห้าคูเมืองให้รึ ช่างเพ้อฝันยิ่งนัก!”
เมื่อออกมาจากอุโมงค์ใต้ดิน แม่ทัพโฮ้วจึงพาซูเจ๋อและคนอื่นๆ ตรงไปที่ค่ายทหาร อย่างไรเสียหากจะไปเจรจาสันติภาพกับเย่เหลียงก็ต้องมีแม่ทัพติดตามไปด้วยเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของพวกเขา ดังนั้นการไปทำความคุ้นเคยไว้ก่อนจึงเป็นเรื่องที่ควร
เพียงแต่ไม่คิดว่าทันทีที่มาถึงด้านนอกกระโจมแม่ทัพ จะได้ยินเสียงอันโกรธเกรี้ยวของจ้าวเทียนฉีดังลอดออกมา
พอเปิดกระโจมเข้าไปจึงเห็นว่าทูตส่งสารของเย่เหลียงกำลังนั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น เขาพูดจาสะเปะสะปะขณะที่ชีวิตของเขากำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย จ้าวเทียนฉีไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขาถือดาบจ่อไว้ที่คอของทูตผู้นั้นและตั้งใจจะบั่นคอของเขาทันที พร้อมกันนั้นก็เอ่ยว่า “ข้าอยากจะเห็นนักว่าเย่เหลียงจะทำอะไรแม่ทัพอย่างข้าได้ ต่อให้ไม่มีฉินหรูเหลียง ข้าก็ทำลายเย่เหลียงของพวกเจ้าได้”
ขณะที่กำลังจะลงมือ เฉินเสียนก็ตวาดขึ้นมาทันทีว่า “หยุดนะ!”
จ้าวเทียนฉีหยุดชะงัก คมดาบนั้นสำรวจเข้าที่ผิวหนังบริเวณคอของทูตส่งสารจนมีรอยเลือดซึมออกมา
เกิดความเงียบขึ้นในกระโจม
ดวงตาคมคู่หนึ่งพุ่งตรงมาทันที
แม่ทัพหลายคนที่อยู่ที่นี่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่จงรักภักดีต่อจ้าวเทียนฉี ที่เหลือเพียงไม่กี่คนนอกจากนั้นก็เหมือนกับแม่ทัพโฮ้วที่ไม่มีอำนาจมากพอจะไปตักเตือน ทำได้เพียงแค่โกรธแต่พูดออกไปไม่ได้
ในสายตาของแม่ทัพเหล่านั้น เฉินเสียนเป็นแค่เพียงอดีตองค์หญิง ซูเจ๋อเป็นเพียงขุนนางฝ่ายพลเรือนที่มีฝีปากในการพูด ส่วนเฮ่อโยวก็เป็นเพียงคุณชายที่เคยแต่ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ต่อให้รวมแม่ทัพโฮ้วที่มักจะถือตัวว่าตนเองอาวุโสกว่าซึ่งมาได้ทันเวลาพอดี ก็ไม่ได้ถือว่ามีผลกระทบใดๆ เลย
แม่ทัพเหล่านี้วางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในกองทัพนานเกินไป ดูถูกคนพวกนี้และคิดไปเองว่าคนจากเมืองหลวงรู้จักแต่เพียงช่วงเวลาที่สุขสงบ
จ้าวเทียนฉีหันไปมองเฉินเสียนและเอ่ยอย่างเหยียดหยามว่า “อ้อ ที่แท้ก็องค์หญิงนี่เอง นี่คือสถานที่สำคัญของกองทัพ องค์หญิงเป็นแค่ผู้หญิง เกรงว่าคงไม่เหมาะสมนักที่จะมาที่นี่” สีหน้าของเขาเย็นชาขึ้นและเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “และยิ่งไม่ควรจะมาชี้นิ้ววิจารณ์การจัดการกิจทางทหารของข้า”
ในเมื่อแม่ทัพโฮ้วอยู่ในสถานะที่ต่ำกว่า ซูเจ๋อเองก็ไม่คิดจะเอ่ยปาก เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเล่นไปตามบทบาทขององค์หญิง
เฉินเสียนก้าวไปในกระโจมด้วยความสุขุม เธอยิ้มและเอ่ยว่า “ถ้าไม่มาก็คงไม่รู้ พอได้มาเห็นแม่ทัพจ้าวจัดการกิจทางทหารเช่นนี้ ข้าไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดต้าฉู่จึงได้ประสบกับความปราชัย”
“ท่านว่าอย่างไรนะ” จ้าวเทียนฉีถลึงตามองอย่างโกรธเกรี้ยว “ท่านกล้าตั้งคำถามเกี่ยวกับการสู้รบกับแม่ทัพอย่างข้ารึ”
เฉินเสียนเดินไปอย่างสุขุมและกล่าวว่า “แม้ว่าข้าจะเป็นสตรี แต่คราวนี้ข้าก็แบกรับพระบรมราชโองการขององค์จักรพรรดิมาด้วย หลังกลับไปเมืองหลวง ข้าจะกราบทูลสิ่งที่ข้าเห็นและรับรู้กับองค์จักรพรรดิตามความเป็นจริง”
เธอมองจ้าวเทียนฉีและกล่าวขึ้นมาอีกว่า “ในช่วงเวลาสงครามเช่นนี้มิให้สังหารทูต ตอนนี้การเจรจาสันติภาพระหว่างเย่เหลียงกับต้าฉู่ใกล้เข้ามาแล้ว ที่แม่ทัพจ้าวจะฆ่าทูตผู้นี้ ท่านต้องการจะทำอะไรกันแน่? อยากให้ทั้งสองอาณาจักรเกิดความวุ่นวายใหญ่หลวงอีกครั้งหนึ่ง อยากให้เหล่าทหารจำนวนนับไม่ถ้วนบาดเจ็บล้มตาย ให้ประชาชนตกอยู่ในความทุกข์ทรมานอย่างนั้นรึ!”
ใบหน้าของจ้าวเทียนฉียังคงเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด เขาหัวเราะอย่างเย้ยหยันและออกคำสั่งว่า “ให้คนมาเอาตัวทูตออกไปก่อน”
หลังจากนั้นเขาจึงถือดาบเดินเข้าไปหาเฉินเสียนทีละก้าวๆ
เฉินเสียนไม่ถอยหนีแม้แต่ก้าวเดียว เธอหรี่ตามองเขา
แม่ทัพโฮ้วเอ่ยขึ้นมาอย่างทันท่วงทีว่า “ที่องค์หญิงตรัสนั้นมีเหตุผล แม่ทัพจ้าวจะหยาบคายกับองค์หญิงไม่ได้”
“ข้าจะเคารพหรือไม่เคารพนาง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะเข้ามาสอด”
แม่ทัพโฮ้วยืดตัวขึ้นและขยับนิ้วแอบกุมดาบเอาไว้ เขาสามารถชักดาบออกจากปลอกได้อย่างทันท่วงทีหากถึงเวลาต้องทำ
จ้าวเทียนฉีเป็นคนกล้าบ้าบิ่นและทำได้ทุกอย่าง
หากเข้ากล้าลงมือกับเฉินเสียนจริงๆ แม่ทัพโฮ้วก็พร้อมจะชักดาบของเขาทันที
ทว่าซูเจ๋อกลับเอื้อมมือมากดด้ามดาบของเขาลงด้วยความใจเย็น
เฉินเสียนไม่ได้กังวลว่าจ้าวเทียนฉีจะฆ่าเธอในตอนนี้ ในกระโจมไม่ได้มีแค่เธอกับจ้าวเทียนฉีแค่สองคน แต่ยังมีสายตาหลายคู่ที่กำลังเฝ้าดูอยู่
จ้าวเทียนฉีกล่าวว่า “ท่านบอกว่าแม่ทัพอย่างข้าจะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นระหว่างสองอาณาจักรหรือ ข้าจะบอกให้ว่าทุกตารางนิ้วของอาณาจักรต้าฉู่ เดิมทีต้องแลกมาด้วยกระดูกและเลือดเนื้อของผู้คนนับไม่ถ้วน! ตอนนี้นึกไม่ถึงเลยว่าราชสำนักจะยอมเสียคูเมืองทั้งห้าให้กับเย่เหลียงเพื่อฉินหรูเหลียงผู้นั้นเพียงคนเดียว! ราชสำนักเอาเลือดเนื้อ หยาดเหงื่อ และชีวิตของทหารเหล่านี้ไปไว้ที่ไหน! ท่านก็แค่ผู้หญิง จะไปรู้อะไร หากพูดจาไร้สาระอีกทีข้าจะใช้ดาบนี่ฟันเจ้าซะ!”
ทันใดนั้นจ้าวเทียนฉีก็มองเฉินเสียนอีกครั้งด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจคาดเดา น้ำเสียงที่เอ่ยเต็มไปด้วยความเยาะหยัน “ดูเหมือนฉินหรูเหลียงผู้นั้นจะฝังตัวอยู่ในดินแดนที่นุ่มละมุนนานเกินไป จึงได้อ่อนแอขนาดนี้เมื่ออยู่ในสนามรบ เป็นเขาที่ไม่ดีเองจึงถูกเย่เหลียงจับตัวไป แล้วเหตุใดต้าฉู่จึงต้องชดใช้เพื่อและกับชีวิตของเขาด้วย”
เฉินเสียนยักไหล่อย่างไม่แยแสและเอ่ยเรียบๆ ว่า “นี่คือพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ เราจะทำอย่างไรได้นอกจากทำตามพระบัญชาของพระองค์ บางทีองค์จักรพรรดิอาจจะวางใจในตัวท่านแม่ทัพใหญ่มากก็ได้ พระองค์จะยอมสูญเสียแม่ทัพคนโปรดไปได้อย่างไร”