คำพูดเหล่านี้ทำให้จ้าวเทียนฉีขุ่นเคือง จ้าวเทียนฉีกัดฟันกรอดและโต้ไปว่า “หากฉินหรูเหลียงยังถือว่าตนเองเป็นทหาร เขาควรให้ความสำคัญกับบ้านเมืองเป็นอันดับแรก! ถ้าเขารู้ว่าชีวิตของเขาเพียงคนเดียวจะทำให้ต้าฉู่ต้องสูญเสียอะไรๆ มากมายเพื่อแลกเปลี่ยน เขาควรจะจบชีวิตตัวเองซะ เย่เหลียงจะได้ใช้เขาเป็นเครื่องต่อรองไม่ได้อีก!”
“ถุย!” จ้าวเทียนฉีถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างหยาบคาย “ก็แค่แม่ทัพคนเดียวไม่ใช่รึ ต้าฉู่ใช่ว่าจะไม่เหลือแม่ทัพเสียหน่อย!”
เฉินเสียนเลิกคิ้วและเอ่ยเรียบๆ ว่า “แน่นอนว่าต้าฉู่ไม่ได้ขาดแม่ทัพ ถ้าเปลี่ยนเป็นแม่ทัพจ้าวถูกจับไปเป็นเชลย แม่ทัพจ้าวจะต้องนึกถึงต้าฉู่ก่อนสิ่งอื่นใด ยอมสละชื่อเสียง สละอำนาจและยศถา ยอมสละทรัพย์สินเงินทองและตัดสินใจปลิดชีพตัวเอง เช่นนี้ใช่หรือไม่?”
จ้าวเทียนฉีนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างเยาะเย้ย “แม่ทัพอย่างข้าไม่ได้ไร้ฝีมือเช่นฉินหรูเหลียง ไม่มีทางกลายเป็นเชลยของเย่เหลียงเช่นเขาแน่นอน มีเพียงแค่สิ่งนี้ที่ข้าทำไม่ได้!”
“อ้อ งั้นหรือ” เฉินเสียนเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม เธอกล่าวต่อว่า “แต่เหตุใดข้าจึงได้ยินมาว่า ถ้าแม่ทัพจ้าวไม่เคลื่อนทัพช้าจนผิดเวลาไปครึ่งชั่วยาม แม่ทัพฉินก็จะไม่ถูกศัตรูปิดล้อม ถ้าแม่ทัพจ้าวสั่งให้เหล่าทหารถอยทัพอย่างทันท่วงที ผู้คนมากมายก็จะไม่ต้องมาล้มตายและเสียเลือดเสียเนื้อมากมายขนาดนี้”
สีหน้าของจ้าวเทียนฉีเปลี่ยนไป เขามองไปทางแม่ทัพโฮ้วซึ่งอยู่ข้างหลังเฉินเสียนด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยจิตสังหาร
แม่ทัพโฮ้วไม่คิดเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป จึงไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดใดๆ
เฉินเสียนกล่าวอีกว่า “ท่านเอาแต่พูดไม่ขาดปากว่าเหล่าทหารหาญปกป้องแผ่นดินต้าฉู่ด้วยเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อ แต่แม่ทัพจ้าวกลับไม่แม้แต่จะกะพริบตา ส่งเหล่าทหารไปตายอย่างเปล่าประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่ต้องสูญเสีย ท่านเอาพวกเขาไปไว้ที่ไหนหรือ?”
จ้าวเทียนฉีหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสานและกล่าวว่า “ท่านคิดว่าแค่ฟังคำพูดของท่านกับคำพูดของผู้เฒ่าแก่ๆ คนนี้เพียงฝ่ายเดียว องค์จักรพรรดิก็จะเชื่อแล้วหรือ! หลังจากท่านพูดจบ จักรพรรดิจะเชื่อใครระหว่างแม่ทัพอย่างข้ากับท่าน”
เฉินเสียนยิ้มน้อยๆ พลางพูดว่า “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจักรพรรดิจะต้องเชื่อแม่ทัพจ้าว หากแม่ทัพจ้าวยืนกรานที่จะไม่ปฏิบัติตามหน้าที่และต้องการทำลายการเจรจาสันติภาพครั้งนี้ งั้นท่านก็ทำให้เต็มที่เถิด เมื่อเกิดสงครามระหว่างทั้งสองอาณาจักรขึ้นมาอีกครั้ง ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าท่านแม่ทัพจ้าวจะเป็นฝ่ายชนะหรือพ่ายแพ้กันแน่”
เฉินเสียนเหลือบมองเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมาบนหลังมือที่ถือดาบของจ้าวเทียนฉี
จ้าวเทียนฉีมีแต่ความโกรธทว่าไม่มีจิตสังหาร ด้วยเหตุนี้เฉินเสียนจึงยังคงสงบนิ่ง
จ้าวเทียนฉียกดาบขึ้นมาจ่อที่คอของเฉินเสียน มือของซูเจ๋อจับอยู่ที่ดาบของแม่ทัพโฮ้วอย่างอดกลั้น เขาใช้นิ้วที่เรียวยาวออกแรงบิดที่ด้ามดาบเล็กน้อย
ลมหายใจของเขาราบเรียบ สีหน้าไม่แสดงออกซึ่งอารมณ์ใดๆ ทว่าจิตสังหารทั้งหมดของเขามากระจุกรวมกันอยู่ที่มือซึ่งพร้อมจะชักดาบออกจากฝักทุกเมื่อ
แม้ว่าทุกๆ คนจะทนได้ แต่เฮ่อโยวทนไม่ได้ เขาลุกขึ้นยืนทันทีและพูดว่า “แม่ทัพเจิ้นหนาน ท่านช่างสามหาว นี่มันคือการละเมิดกฎบ้านกฎเมืองชัดๆ!”
เฉินเสียนรั้งเขาไว้ทันทีที่สิ้นเสียง
เธอเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ถ้าแม่ทัพจ้าวอยากจะฆ่าข้าเขาคงทำไปนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงตอนนี้”
จากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า “หากแม่ทัพจ้าวยืนกรานกับข้าว่าเอาชนะเย่เหลียงได้ ถ้าเช่นนั้นข้อพิพาทระหว่างต้าฉู่กับเย่เหลียงเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน เหตุใดจึงไม่เห็นแม่ทัพจ้าวเป็นผู้นำชัยมาให้เสียที
หากสงครามนี้ยังดำเนินต่อไป มันจะกลายเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ ทางเหนือมีภัยพิบัติในช่วงคิมหันตฤดู เป็นไปไม่ได้ที่ต้าฉู่จะมีกำลังทหารมากพอที่จะมาสนับสนุน แม่ทัพจ้าวเคยนับบ้างไหมว่าปีนี้ฝนไม่ตกมานานแค่ไหนแล้ว”
“ฝนไม่ตกนานแค่ไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า”
เฉินเสียนกระตุกยิ้มและกล่าวว่า “ตั้งแต่เปลี่ยนผ่านจากวสันตฤดูมาเป็นคิมหันตฤดู ฝนยังไม่เคยตกลงมาเลยแม้แต่หยดเดียว ลำน้ำแห้งขอด พืชผลแห้งเหี่ยว กำลังจะเกิดภัยแล้งที่ยาวนาน เมื่อถึงเวลาที่ต้องเก็บเกี่ยวอีกครั้ง หากเก็บเกี่ยวได้ไม่ดี เสบียงของทหารและอาหารของม้าก็จะมีไม่พอ แม่ทัพจ้าวมุ่งแต่จะเปิดฉากสงครามกับเย่เหลียง หากไม่มีเสบียง ท่านจะทำสงครามได้อย่างไร ท่านต้องการให้ทุกคนหิวตายในสนามรบงั้นรึ”
จ้าวเทียนฉีไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้เลย เขาคิดแค่ว่าขอเพียงพวกเขาออกมาสู้รบที่แนวเขตชายแดน ทางราชสำนักก็จะคอยสนับสนุนอย่างเต็มที่
ฉับพลันนั้นซูเจ๋อก็คลายมือจากด้ามดาบของแม่ทัพโฮ้วและมองเฉินเสียนด้วยสีหน้าที่ลุ่มลึก
ความสงบและความใจเย็น ความไม่เกรงกลัวอันตรายและการแสดงความคิดเห็นของเธอ ทำให้หลายต่อหลายคนประหลาดใจ
นายทหารในกระโจมต่างพากันเงียบ
ซูเจ๋อยกมุมปากขึ้นอย่างมีความหมาย เขาเชื่อว่าเธอจัดการทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวได้
ในอนาคตอันใกล้ เธอจะทำได้ดียิ่งกว่านี้
เฉินเสียนใช้นิ้วคีบดาบของจ้าวเทียนฉีและขยับมันไปด้านข้าง “ดังนั้น ท่านแม่ทัพจ้าว ตอนนี้มีทางเลือกอยู่สองทาง ถ้าไม่ร่วมมือกันอย่างเต็มที่เพื่อเจรจาสันติภาพ ก็ใช้เวลาที่สั้นที่สุดหาแต้มต่อมาต่อรองเพื่อเอาชนะเย่เหลียงให้ได้”
ในเวลานี้รองแม่ทัพของจ้าวเทียนฉีคนหนึ่งดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และอยากจะพูด ทว่าจ้าวเทียนฉียกมือขึ้นห้ามเสียก่อน
เขาค่อยๆ ถอนดาบออกมา แววตาคมประหนึ่งอินทรี เขากล่าวว่า “แม่นางช่างกล้าหาญมิใช่น้อย ในเมื่อมาถึงเมืองเสวียน แม่ทัพอย่างข้ายังไม่ทันได้เลี้ยงต้อนรับพวกท่าน ถ้าเช่นนั้นคืนนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับ”
เฉินเสียนกล่าวว่า “จิ้งเสียนขอบใจสำหรับความมีน้ำใจของแม่ทัพจ้าว”
จากนั้นจ้าวเทียนฉีจึงปล่อยทูตผู้ส่งสารไป
เมื่อออกมาจากกระโจม เฉินเสียนจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เหมือนจะได้ยินนายทหารบางคนพูดแว่วๆ ว่า “จักรพรรดิเย่เหลียงเสด็จมาถึงชายแดนแล้ว” “เป็นโอกาสดีมากที่จะจับกษัตริย์เอาไว้” อะไรทำนองนี้
จนเมื่อเดินออกมาไกลแล้ว ซูเจ๋อจึงเบี่ยงเบนความสนใจของเฮ่อโยวด้วยการสั่งให้เขาตามแม่ทัพโฮ้วไปยังสถานที่อื่นๆ ในค่ายทหาร
ซูเจ๋อออกมาจากค่ายทหารพร้อมกับเฉินเสียนและเดินไปเรื่อยๆ บนถนนที่ว่างเปล่าในเมืองเสวียน
ซูเจ๋อยิ้ม ดวงตาเรียวยาวของเขาหรุบลงเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “อาเสียน ท่านทำได้ดีมาก”
เฉินเสียนชำเลืองมองเขาและกล่าวว่า “ถ้าไม่เช่นนั้นจะทำอย่างไรได้อีกล่ะ อย่างที่ท่านว่า เมื่อยืนอยู่ในค่ายก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว นี่ไม่ใช่ทางที่ท่านชี้แนะหรอกหรือ ท่านจะชมข้าหรือชมตัวเองกันแน่”
“ข้ามิบังอาจ แน่นอนว่าต้องชมท่านอยู่แล้ว”
เฉินเสียนเบ้ปาก จากนั้นจึงเอ่ยอย่างเป็นกังวลเล็กน้อยว่า “วันนี้ข้าพูดมากเกินไปหรือเปล่า”
“ไม่มากหรอก กำลังดี”
“ดูจากปฏิกิริยา พวกเขาคงคาดไม่ถึงว่าข้าจะวิพากษ์วิจารณ์ออกมาได้ขนาดนี้ เพราะถึงอย่างไรเมื่อก่อนข้าก็เป็นแค่องค์หญิงที่ไร้ประโยชน์ หากคำพูดวันนี้รู้ไปถึงพระกรรณของจักรพรรดิละก็ คงกลายเป็นหายนะแน่ๆ”
ซูเจ๋อเอ่ยอย่างแจ่มใสว่า “อย่ากลัวไปเลย ถึงอย่างไรบางคนก็กำลังจะตายอยู่แล้ว ตอนนี้เรื่องยังไม่มีโอกาสไปถึงพระกรรณของจักรพรรดิหรอก”
ในเมืองเสวียนแห่งนี้ยังพอมีผู้คนหลงเหลืออยู่บ้าง พวกเขาไม่ออกมาในเวลากลางคืน ตอนกลางวันจึงพอจะได้เห็นพวกเขาเดินผ่านอยู่บนถนนหนทาง ต่างคนก็ต่างเร่งรีบ
นอกจากนี้ยังมีโรงเหล้าและโรงน้ำชาเปิดอยู่ประปราย แม้แต่หอศิลป์สตรีก็ยังคงเปิดอยู่ในขณะนี้ แต่ทั้งหมดเปิดเพื่อให้บริการทหารของที่นี่
ซูเจ๋อพาเฉินเสียนไปที่โรงเหล้าที่ดูไม่เตะตาแห่งหนึ่ง ในนั้นไม่มีทหารอยู่แม้แต่คนเดียว ทางเข้าด้านหน้ามีเพียงบานประตูพังๆ สองบานกับม่านประตูที่ทั้งสกปรกและขาดวิ่นอีกหนึ่งผืน
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ท่านชอบดื่มเหล้าหมักสับปะรดที่เหลียนชิงโจวนำกลับไปไม่ใช่หรือ รสชาติของที่นี่เป็นต้นตำรับเชียวนะ”
“ท่านรู้ได้อย่างไร”
“เหลียนชิงโจวบอกมา”
เมื่อเถ้าแก่เห็นทั้งสองคนเข้ามาก็กุลีกุจอมาทักทาย เขาพูดภาษาถิ่นต้าฉู่ได้อย่างคล่องแคล่ว จากนั้นจึงออกไปเตรียมอาหารท้องถิ่นมาให้สองสามอย่าง
เมื่อเหล้าและอาหารมาวางอยู่บนโต๊ะ ซูเจ๋อก็คีบอาหารใส่ชามให้เฉินเสียนและเอ่ยว่า “กินเถอะ ถึงร้านจะดูหยาบๆ แต่อาหารก็สะอาด”