เฉินเสียนที่สีหน้าเต็มไปด้วยความห้าวหาญ ไม่นานก็ลดลง กล่าวขึ้นว่า“นั่นคือข้าโต้เถียงกับผู้อื่น นี่ท่านก็ยังจะคิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือ?ถึงอย่างไรก็ตามข้าไม่สามารถให้พวกเขาคิดว่าข้ากับท่านง่ายต่อการกลั่นแกล้งหรอกนะ”
ซูเจ๋อเดินเข้ามาสองก้าว ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
หลังของเธอพิงอยู่กับเสาตรงระเบียงทางเดิน
ซูเจ๋อยกมือขึ้น นิ้วมือของเขาแผ่การจายออกสบายๆ ขลุ่ยไม้ไผ่นอนหงายอยู่ในอุ้งมือของเขา ทำให้เฉินเสียนชะงักงัน
นึกถึงครั้งก่อนตอนที่คืนขลุ่ยไม้ไผ่นี้ให้ เธอเจ็บปวดใจไม่น้อย ราวกับว่าเธอได้กลับไปในค่ำคืนนั้น เธอจำทุกฉากได้อย่างชัดเจน
ซูเจ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า“แรกเริ่มที่ทำขลุ่ยไม้นี่ ข้าวางแผนไว้ว่าจะมอบมันให้กับท่าน หากว่ามีเรื่องอันใด ก็สามารถเป่ามันได้ ข้าสามารถที่จะจัดคนให้มาดูแลปกป้องท่านได้ แต่ต่อมาคิดๆดูแล้ว แม้ว่าพบเจอเรื่องอันใด จากนิสัยของท่านแล้ว ก็สามารถที่จะหาวิธีแก้ไขได้ และไม่ใช่ผู้ที่ไม่มีหลักการเป็นของตัวเองที่จะขอร้องให้ผู้อื่นช่วยเหลือ ข้าเพียงแค่หวังว่า หากสามารถได้ยินท่านเป่ามันบ่อยๆ เช่นนี้ข้าก็จะได้มาอยู่ข้างกายท่านบ่อยครั้งเช่นกัน”
เฉินเสียนฟังแล้วชะงักงัน คิดไม่ถึงเลยว่าเริ่มแรกซูเจ๋อจะมีเจตนาเช่นนี้
น่าเสียดายเพราะน้อยมากที่เฉินเสียนจะเป่ามัน แต่เธอเอามันพกติดตัวไปด้วยตลอด แม้ก้าวสั้นๆยังไม่ห่างเลย
เธอชอบขลุ่ยไม้ไผ่นี้ตลอดมา
ไม่เพียงแต่เพราะว่ามันเป็นศิลปะที่ประณีตสวยงาม แต่มันยังเพราะว่ามันเป็นหนึ่งเดียวที่ซูเจ๋อทำมันมาเพื่อมอบให้กับเธอ
มูลเหตุจากการดื่มเหล้าเป็นแน่ เฉินเสียนถึงได้ง่ายต่อการถูกกระตุ้นอารมณ์ เธอรู้สึกแสบจมูกขึ้นมาทันที
ซูเจ๋อกล่าวว่า“ขลุ่ยไม้ไผ่นี้หากว่าท่านไม่ชอบมันแล้วจริงๆ เช่นนั้นครั้งหน้าข้าจะทำอันใหม่มอบให้กับท่านนะ”
เฉินเสียนกลัวว่าเขาจะเอาขลุ่ยเก่าด้ามนี้ทิ้ง อดไม่ได้ที่จะคว้ามันมา กล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า“ข้าชอบหวนนึกถึงอดีต ไม่ชอบของใหม่”
ซูเจ๋อหัวเราะ แล้วกล่าวขึ้นว่า“เช่นนั้นต่อไปไม่ต้องคืนมันให้ข้าอีกแล้วนะ”
“ไม่คืนก็ไม่คืน”ต่อให้อนาคตซูเจ๋อต้องการให้เธอคืนให้ เธอก็ไม่มีทางคืนให้หรอกนะ
คล้ายกับว่าเธอเข้าใจอย่างลึกซึ้งและซาบซึ้งถึงคุณค่ากับความหมายการใส่ใจคนคนหนึ่งเลย
แม้ว่าอนาคตเขาไม่อยู่ข้างกาย เธอยังสามารถเก็บสิ่งของของเขาไว้ สามารถคิดถึงได้
ซูเจ๋อกล่าวว่า“กลับไปนอนเถิด หากมีเรื่องอันใด ก็เป่ามันได้นะ ข้าอยู่ไม่ไกล สามารถที่จะได้ยินเสียงของมัน”
ซูเจ๋อยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน มองเธอเดินห่างไกลออกไป
เธอไม่ได้หันกลับมา แต่ทว่ายกริมฝีปากขึ้น มีความหวานละมุนนุ่มนวลอย่างไม่สามารถอธิบายได้
เธออาจจะคล้ายกับคนโง่เขลาที่ตกในวังวนของความรัก นั่นเพราะว่าเธอยินยอมที่จะหยุดฝีเท้าไว้ สัมผัสกับความรู้สึกที่สวยงามนี้
ความรู้สึกนี้ เดิมก็ควรจะสามารถพบเจอได้ แต่ไม่สามารถเรียกร้องมันมาได้ ขึ้นอยู่กับพรหมลิขิต เพราะฉะนั้นลองลักลอบมีความสุขสักหน่อยจะเป็นอะไรล่ะ
แต่รอหลังจากกลับไปแล้วเธอนอนอยู่บนเตียง นำปิ่นปักผมกับขลุ่ยไม้ไผ่ที่ซูเจ๋อมอบให้วางเก็บไว้ที่ใต้หมอน ตอนที่เฉินเสียนนอนไม่หลับพลิกตัวไปมา ทันใดนั้นเธอได้ดิ้นรนกระวนกระวายอยู่ในวังวนแห่งรักและปีนขึ้นมาที่ฝั่งอีกครั้ง
ซูเจ๋อยังไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่าต้องการคบหากับเธอ ต้องการจีบอะไรเธอ และยิ่งไม่เคยพูดกับเธอว่าเคยมีความรู้สึกอะไรกับเธอ ถึงแม้ว่าเคยมีการกระทำที่สนิทชิดเชื้อกับเธอบ้าง แต่เขาไม่เคยแสดงออกมาอย่างเป็นทางการเลย เธอเป็นคนเดียวที่ลักลอบมีความสุขละมุนอยู่เพียงลำพัง!
สัมผัสความรู้สึกที่สวยงามอะไรกัน เชาว์ปัญญาความคิดลดลงก็คือเชาว์ปัญญาความคิดลดลง ยังจะหาข้ออ้างมากมายให้ตัวเองเช่นนี้!
เฉินเสียนอุตลุดวุ่นวายใจนอนไม่หลับอยู่บนเตียงครึ่งค่อนคืน แต่ทันใดหลังจากนั้นแรงบันดาลใจก็ได้สงบลง
เธอกับซูเจ๋ออนาคตล้วนไม่แน่นอนเลย ตอนนี้คิดๆดูเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ ยังเร็วไปจริงๆ รอหลังจากกลับไปราชสำนักสถานการณ์จะเป็นอย่างไรยังไม่รู้เลย อีกทั้งในตอนนี้ยังวุ่นวายเรื่องเจรจาสันติภาพของทั้งสองเมืองอยู่ด้วย
ยังไงก็จัดการความลำบากที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ก่อนแล้วค่อยไปคิดเรื่องอื่นเถิด
ด้วยเหตุนี้เธอจึงหลับตาลง แล้วนอนหลับลงได้สักที
วันต่อมาช่วงเช้า เฉินเสียนตื่นมาก็สอบถามสถานที่ที่จะเจรจา
เดิมทีเรื่องราวของทั้งสองเมืองไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอเลย แต่ตอนที่กองกำลังทหารของสองเมืองเย่เหลียงกับต้าฉู่ตั้งค่ายสู้กันมีเธออยู่ในที่เกิดเหตุด้วย เช่นนั้นการสู้รบอย่างดุเดือดก็เป็นเพราะฐานะของเธอเลยไม่สามารถสู้รบกันได้
หากว่าไม่มีเธอ เช่นนั้นต้าฉู่มีเพียงแค่ซูเจ๋อเพียงผู้เดียว รออนาคตหลังจากนั้นจะถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ ยากที่จะหลีกเลี่ยงคนรุ่นหลังหัวเราะเยาะพวกเขาว่าถูกกลั่นแกล้งเท่าไหร่กัน
ถึงแม้ว่าเมื่อวานตอนเย็นเฉินเสียนแสดงออกไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง องค์จักรพรรดิเย่เหลียงก็ไม่ได้กลัวเธอมากมาย ไม่นานหลังจากนั้นได้สั่งให้เธอเข้าร่วมการเจรจาสันติภาพด้วย
บนโต๊ะหนึ่ง บนโต๊ะนั้นมีองค์จักรพรรดิเย่เหลียงนั่งอยู่ ฝั่งตรงข้ามหนึ่งแถวคือขุนนางชั้นผู้ใหญ่เย่เหลียง ตอนที่เฉินเสียนไป ซูเจ๋อนั่งอยู่ลำพังอีกแถวหนึ่ง คนคนเดียวนั่งเผชิญหน้ากับผู้คนมากมาย เขาก็รักษาอาการได้ปกติและสงบจิตใจ
ทางด้านเย่เหลียงนั้นเปิดเงื่อนไขมา เดิมทีต้องการให้ต้าฉู่เอาห้าคูเมืองมาเป็นเงื่อนไขการเจรจาสันติภาพ และยังแลกกับชีวิตท่านแม่ทัพฉินหรูเหลียงของต้าฉู่กลับไปได้ด้วย
แต่เวลาต่อมา ต้าฉู่แอบโจมตีก่อน ไม่เอื้อผลต่อเย่เหลียง โชคดีที่ว่าเย่เหลียงจับเชลยศึกแม่ทัพเจิ้นหนานของต้าฉู่ได้ ตอนนี้ได้แม่ทัพเจิ้นหนานเป็นแต้มต่ออีก จากที่ต้องการห้าคูเมืองบวกเพิ่มเป็นเจ็ดคูเมืองแล้ว
เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของเย่เหลียงกล่าวด้วยท่าทีวางมาด พร้อมเปิดศึกมาก“เจรจาได้ก็เจรจา เจรจาไม่ได้ก็เปิดศึกเลย ”
หากว่าการเจรจาล้มเหลวจริง ต้าฉู่กับเย่เหลียงเกิดการสงครามสู้รบอย่างฉับพลัน อย่างนั้นก็ประมาณว่าซูเจ๋อกับเฉินเสียนก็ไม่มีชีวิตรอดกลับไปแล้ว
เย่เหลียงท่าทางแข็งกร้าว ซูเจ๋อไม่ปริปากพูดว่าได้หรือไม่ได้ เพียงแค่กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า“องค์หญิงจิ้งเสียนได้รับคำสั่งให้มารับท่านแม่ทัพใหญ่กลับเมืองหลวง ตอนนี้สามารถให้พวกข้าพบเจอท่านแม่ทัพใหญ่ได้หรือไม่ ท่านแม่ทัพใหญ่สบายดีหรือไม่”
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของเย่เหลียงกล่าวว่า“เพียงแค่ท่านลงลายลักษณ์อักษรในหนังสือสัญญา ทางเราก็จะให้ท่านเจอ”
ซูเจ๋อกล่าวว่า“ทำการค้าขายยังต้องมือหนึ่งจ่ายเงินอีกมือหนึ่งให้สินค้า ไม่ตรวจสอบสินค้าก่อนจะให้เงินได้อย่างไรกันเล่า?”
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่เย่เหลียงไม่ถอยแม้แต่น้อย จ่ายเงินก่อนหรือว่าให้สินค้าก่อนเป็นเรื่องเดียวกันที่พวกเขาถกเถียงกันเป็นเวลานาน และต้องอภิปรายถกกันให้เข้าใจ
เฉินเสียนไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก เรื่องหนึ่งที่เข้าใจง่ายเช่นนี้ จำเป็นจะต้องทำให้เข้าใจยากซับซ้อนเช่นนี้หรือ?
ถกกันเช่นนี้ต่อไป สามวันสามคืนก็โต้เถียงไม่เสร็จสิ้นหรอก
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่กลุ่มนี้สรุปแล้วมาเจรจาสันติภาพหรือว่ามาก่อความวุ่นวาย?
ซูเจ๋อแนวคิดชัดเจน เงื่อนไขเด่นชัด ต้องการพบเจอเชลยก่อน ค่อยคุยเรื่องอื่นกัน
ตอนนี้มีเชลยศึกสองคน ในเมื่อชีวิตของจ้าวเทียนฉีก็ถูกจับเป็นเชลย ควรจะตรวจสอบดูสักหน่อยว่าจ้าวเทียนฉีนั้นมีชีวิตอยู่หรือไม่
เฉินเสียนกล่าวขึ้นว่า “เพียงแค่พบเจอหน้าเชลยศึก ข้อเรียกร้องนี้น่าจะไม่เกินไปไหม เดิมทีเชลยศึกก็เป็นเงื่อนไขหนึ่งในการเจรจาสงบศึก แต่ทว่าตอนนี้เย่เหลียงไม่ยินยอมให้ข้าพบเจอ ไม่ใช่ว่าพวกข้าไม่มีความจริงใจ แต่กลับเป็นเย่เหลียงเองที่ไม่มีความจริงใจ”
“พวกข้าพูดว่าพวกเขามีชีวิตอยู่ก็คือมีชีวิตอยู่”
“เช่นนั้นข้าไม่เห็นกับตาตัวเอง หากลงลายลักษณ์อักษรในหนังสือสัญญาแล้ว เพิ่งจะพบว่าพวกเขาอาการร่อแร่ใกล้จะหมดลมหายใจเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายไม่สามารถช่วยชีวิตกลับมาได้แล้ว จะทำอย่างไร?”
องค์จักรพรรดิเย่เหลียงนวดคลึงหว่างคิ้ว ชัดเจนว่าถูกการถกกันเป็นเวลานานของพวกเขาทำให้หงุดหงิดเล็กน้อย กล่าวถามขึ้นว่า“องค์หญิงจิ้งเสียนอยากจะเจอที่นี่ หรืออยากจะไปเจอในคุก?”
เฉินเสียนกล่าวอย่างเย็นชาว่า“หิ้วคนมาที่นี่ยุ่งยากแค่ไหนกันล่ะ ไม่ดีเท่าหม่อมฉันไปดูที่คุกเองหรอกเพคะ”
สถานการณ์ในคุกเป็นอย่างไร หากเธอไม่เห็นกับตา ก็จะยังไม่รู้เลยว่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่กลุ่มนี้ปิดปังความจริงอย่างไรกัน
หากสถานการณ์ย่ำแย่ ก็ยังเอามาเป็นข้อแก้ต่างต่อรองได้
ต้าฉู่ยินยอมคืนสามคูเมืองที่สมัยนั้นเอาของเย่เหลียงมา ตอนนี้ยังไง ไม่เพียงแต่ห้าคูเมืองที่เย่เหลียงไม่ยินยอมเอา ยังมีเงื่อนไขที่มากขึ้นคือต้องการเจ็ดคูเมือง
ตอนนี้เฉินเสียนคิดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือรออีกสักพักหนึ่งเธอจะต่อรองอย่างไร
เธอเพียงอยากให้ซูเจ๋อสะบัดหลุดพ้นสภาพการณ์สองอย่างที่ลำบากนี้ได้ และที่ดีที่สุดสามารถใช้สามคูเมืองนั้นคุยต่อได้ด้วย
แม้ว่าความหวังจะไม่สามารถคาดเดาได้เป็นอย่างมาก แต่ต้องพยายามลองดูกันหน่อย
องค์จักรพรรดิเย่เหลียงกล่าวว่า“เช่นนั้นก็ถึงตรงนี้ก่อน ทหาร! พาองค์หญิงจิ้งเสียนกับทูตไปในคุกหน่อย”
เฉินเสียนกล่าวอย่างมีมารยาทว่า“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท”