ท้ายที่สุดแล้วเด็กหนุ่มกลับจูงมือเด็กสาวที่หน้าตาสวยสดงดงามเดินจากไป ในความทรงจำนั่นเธอเคยร้องไห้งอแงฟูมฟาย
และยังมีฉากที่เลือดไหลนองดุจสายน้ำในพระราชวัง เขาที่ร่างสูงใหญ่และทรงพลัง สายตาที่เขาก้มลงมองเธอนั้น นำมาซึ่งความอดไม่ได้ที่จะเห็นอกเห็นใจ
เดิมทีนั่นคงเป็นความทรงจำที่ผ่านมาของเฉินเสียน เมื่อก่อนเฉินเสียนเคยหลงรักฉินหรูเหลียงอย่างจริงใจ
เฉินเสียนในวันนี้ยังคงได้รับผลกระทบจากวัยหนุ่มสาวในอดีต จึงมีความรู้สึกอ้อยอิ่งบางอย่างที่ยังคงค้างคาในใจ
ซูเจ๋อหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ เฉินเสียนช้าๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านเป็นห่วงเขามากเกินไป ข้าจะหึงเอาได้”
เฉินเสียนเท้าคาง ยิ้มเจือจางพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ตอนนี้ก็เริ่มหึงแล้วหรือ งั้นวันข้างหน้ากลับอาณาจักรต้าฉู่ไปแล้วจะทำยังไง? ข้ากับเขาเป็นสามีภรรยากัน และข้าต้องดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของเขาอยู่แล้ว ต่อหน้าจะต้องแสดงความรักใคร่ที่ไร้ซึ่งความกังขา เมื่อถึงยามค่ำคืน บางทีข้าและเขาอาจจะร่วมห้อง……”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบ จู่ๆ ซูเจ๋อก็ดึงเฉินเสียนเข้ามากอดแนบแน่น
เฉินเสียนอิงแนบอยู่ในอ้อมกอดของ ซูเจ๋อ เธอกำคอเสื้อของเขาไว้ ขมวดคิ้วแน่น แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ข้าไม่สามารถมาชมวิวทิวทัศน์แบบนี้กับท่าน และไม่สามารถให้ท่านกอดข้าได้ตามใจชอบแบบนี้อีก เมื่อก่อนข้าไม่เคยจะคิดถึงเรื่องนี้เลย ที่แท้แล้วมันก็คือการทรมานอย่างหนึ่งนี่เอง”
“อาเสียน ไม่ใช่แค่ท่านคนเดียวที่รู้สึกทรมาน”
เฉินเสียนพูดขึ้นน้ำเสียงเบาบาง : “เฉินเสียนคนเดิมนางรักฉินหรูเหลียงอย่างสุดซึ้ง แต่นางกลับไม่เคยรู้เลย ว่ามีคนคนหนึ่งคอยอยู่เคียงข้างนาง คุ้มครองนางอยู่เสมอ ความสุขอยู่รอบกายแท้ๆ แต่นางกลับไม่รู้ว่านั้นคือความสุข”
หลายวันผ่านไป ถึงแม้ว่าบาดแผลของฉินหรูเหลียงจะยังไม่ได้หายสนิท แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับการเดินทาง
พวกเขาเสียเวลาอยู่ในราชนิเวศน์บนเขานี้นานเกินไป และควรจะเดินทางกลับไปที่อาณาจักรต้าฉู่ตั้งนานแล้ว
ยังดีที่เขตชายแดนของทั้งสองอาณาจักรสงบลงได้ ข่าวคราวการลงนามสนธิสัญญาสันติภาพของทั้งสองอาณาจักรถูกแพร่กระจายออกไป ราษฎรของอาณาจักรเย่เหลียงต่างพากันยินดีปรีดาที่สามารถนำคูเมืองของเมื่อก่อนกลับมาได้
และถึงแม้อาณาจักรต้าฉู่จะสูญเสียคูเมืองไป แต่ก็ดีตรงที่สามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานและความลำบากของสงครามได้ เพราะเหตุนี้จึงหายใจได้อย่างโล่งอก
ตอนนี้แม่ทัพโฮ้วรับผิดชอบกองทัพเมืองเสวียนอยู่ และกำลังรอเฉินเสียนกับซูเจ๋อพาฉินหรูเหลียงกลับมา
เมื่อเสร็จภารกิจใหญ่โตแล้ว องค์จักรพรรดิเย่เหลียงรู้ว่าพวกเขายังมีเรื่องที่จะต้องทำ จึงไม่ได้คะยั้นคะยอให้อยู่ต่อ
องค์จักรพรรดิทรงรับสั่งให้ทหารอีกหลายนายเตรียมพร้อมสำหรับการลงเขา แล้วทรงรับสั่งให้นางกำนัลส่งมอบของดีของอาณาจักรเย่เหลียงเยอะพอควร
และหนึ่งในนั้นก็คือเหล้าสับปะรดจำนวนหลายใบไห
เฉินเสียนชอบเหล้าสับปะรดท้องถิ่นของอาณาจักรเย่เหลียงเป็นอย่างมาก จึงรีบรับด้วยความยินดี
นอกจากนี้ องค์จักรพรรดิเย่เหลียงยังทรงรับสั่งให้ทหารย้ายตัวหลิ่วเฉียนเฮ้อออกจากกรงขังเดิม ไปยังกรงเหล็กที่แข็งแรงและแน่นหนากว่าเดิม
ด้านนอกกรงขังเหล็กมีกุญแจเหล็กขนาดใหญ่ที่ทั้งหนาและหนักมาก ซูเจ๋อเป็นคนลงกลอนเองกับมือ
แล้วจึงส่งมอบลูกกุญแจไว้บนมือของเฉินเสียน ภายใต้แววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังของหลิ่วเฉียนเฮ้อ
เฉินเสียนใช้นิ้วเกี่ยวกับพวงกุญแจไว้ แล้วจึงฉีกยิ้มที่มุมปากให้กับหลิ่วเฉียนเฮ้อ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไม่พอใจรึ? ระหว่างทางก็ทนไปก่อน แล้วกัน รอกลับเมืองหลวงแล้ว จะค่อยๆ ให้เจ้าได้พอใจ”
ฉินหรูเหลียงที่เดินออกมาด้วยความอ่อนล้า เมื่อเห็นหลิ่วเฉียนเฮ้อในกรงเหล็กนั่น แววตาของเขาก็ชะงักไปทันที
เฉินเสียนเลิกคิ้วให้ฉินหรูเหลียงพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “พี่ชายของหลิ่วเชียนเสวี่ย คงไม่ต้องให้ข้าแนะนำแล้วกระมัง พวกท่านคงจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เอาล่ะ นี่ก็ไม่เช้าแล้ว ออกเดินทางกันเถอะ”
กรงเหล็กที่ใช้ขังหลิ่วเฉียนเฮ้ออยู่ ถูกยกไปไว้บนรถลาก มีทหารหลายนายคอยคุ้มกันเขาลงจากเขา
เฉินเสียน ซูเจ๋อและฉินหรูเหลียงก็ได้เดินตามหลังมาติดๆ ด้านหลังยังมีทหารคุ้มกันอีกนับหลายนายตามหลังมาด้วย
เมื่อเริ่มลงเขาไปแล้ว แม่ทัพใหญ่เย่เหลียงจะรับหน้าที่ดูแลต่อ เพื่อส่งพวกเขากลับไปยังอาณาเขตต้าฉู่ด้วยตัวเอง
บนเขานี้บรรยากาศเงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าและเสียงเสียดสีของใบไม่ในป่าที่สั่นไหวเป็นบางครั้งบางคราว
มีหมอกเบาบางลอยตัวอยู่ในอากาศ เห็นเพียงภาพที่มัวหมองและไม่ชัดเจนอยู่ตรงหน้า ที่ปรากฏและหายไปสลับกันไปมา
เพียงแต่ว่าในขณะที่ยังเดินทางไม่ถึงตีนเขา และพึ่งเดินทางได้แค่ประมาณครึ่งทางเท่านั้น ก็ได้เจอเข้ากับเหล่าทหารของอาณาจักรเย่เหลียงหนึ่งกองที่กำลังเดินขึ้นเขามา
เหล่าทหารของอาณาจักรเย่เหลียงเดินมาถึงข้างหน้า พร้อมกับรายงานว่าได้รับคำสั่งจากท่านแม่ทัพใหญ่ ให้ขึ้นเขามาเพื่อรับองค์หญิงแห่งต้าฉู่และท่านทูตลงเขาโดยเฉพาะ
จู่ๆ เฉินเสียนก็เกิดความสงสัยขึ้นในใจ ให้รออยู่ที่ตีนเขาไม่ใช่หรือ?
และยิ่งไปกว่านั้นเฉินเสียนเองก็เคยได้เห็นการทำงานของท่านแม่ทัพใหญ่เย่เหลียง เขาทั้งละเอียดและรอบคอบเป็นอย่างมาก หลายวันก่อนนั้น ยังเป็นเขาเองที่เป็นคนส่งเฉินเสียนและซูเจ๋อขึ้นเขาไปที่
ราชนิเวศน์กับมือ
และถึงแม้ว่าแม่ทัพใหญ่จะไม่ว่าง อย่างน้อยก็ควรจะมีหัวหน้าทหารที่พอรู้เรื่องหน่อยมานำกองถึงจะถูก
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ในใจของเฉินเสียนจู่ๆ ก็เกิดความระแวดระวังขึ้นมา
เทือกเขากว้างใหญ่ขนาดนี้ ถึงแม้จะมีทหารคุ้มกันจะแน่นหนาและเก่งกาจ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงข้อบกพร่องได้ อาจจะมีกาฝากแฝงตัวเข้ามาในนี้ก็เป็นได้
ถึงแม้ความเป็นไปได้อาจจะน้อยมาก แต่ก็ไม่ควรปล่อยปละละเลย
ประสาทสัมผัสและไหวพริบของซูเจ๋อนั้นไวกว่าเฉินเสียนมาก จู่ๆ เขาก็ดึงตัวเฉินเสียนให้มาหลบอยู่ด้านหลังของเขา
ส่วนฉินหรูเหลียงถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะบาดเจ็บ แต่ประสาทสัมผัสและไหวพริบของเขาก็เตือนขึ้นเงียบๆ
เหล่าทหารกองนี้ขวางทางของพวกเขาเข้าพอดี
แต่ทหารคุ้มกันไม่ได้ส่งมอบให้แต่โดยง่าย และได้ตอบกลับตามหน้าที่ว่า : “องค์จักรพรรดิทรงรับสั่ง ให้ข้าส่งมอบองค์หญิงต้าฉู่ ท่านทูตและ
ท่านแม่ทัพฉินให้กับท่านแม่ทัพใหญ่ด้วยตัวเอง พวกเจ้าลงเขาไปพร้อมกับเรา ไปเจอท่านแม่ทัพใหญ่ด้วยกันเถอะ”
ทหารกลุ่มนั้นเมื่อได้ยินแล้ว ก็
ส่งสายตาให้กันเพื่อแสดงสัญญาณ แล้วจึงค่อยๆ หลบทางให้
จากนั้น ในขณะที่ทหารคุ้มกันส่วนหน้ากำลังจะเดินผ่าน จู่ๆ ก็มีแสงสะท้อนวาบขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงชักดาบดังขึ้นอย่างรวดเร็ว ดาบถูกแทงเข้ากลางลำตัวของทหารคุ้มกัน ทหารคุ้มกันจึงเสียชีวิตลงในทันที
เมื่อทหารคุ้มกันส่วนหลังเห็นสถานการณ์เข้า ก็รีบพุ่งตรงมาข้างหน้า ชักดาบออกมาอย่างรวดเร็ว ตะโกนสั่งขึ้นว่า : “อารักขาองค์หญิง!”
ทหารกลุ่มนี้เผยแววตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร ลงมือด้วยความรวดเร็วว่องไว และเริ่มทำการต่อสู้กับเหล่าทหารคุ้มกันทันที
เวลานี้ เฉินเสียนจึงกลายเป็นบุคคลที่สำคัญและต้องปกป้องมากที่สุด
เธอเป็นองค์หญิงแห่งอาณาจักรต้าฉู่ และยังมีที่มาที่มีความข้องเกี่ยวองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ย จะให้เกิดเรื่องขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด โดยเฉพาะในอาณาเขตของเย่เหลียง
ทหารคุ้มกันศัตรูไม่ใช่ทหารคุ้มกันธรรมดาทั่วไป แต่เป็นถึงทหารคุ้มกันส่วนพระองค์ในราชนิเวศน์ขององค์จักรพรรดิเย่เหลียง ฝีมือศิลปะการต่อสู้ของแต่ละคนไม่ธรรมดาเลย
แต่ทว่ากลับยังไม่ใช่คู่ปรับของเหล่าทหารค่าพวกนี้
พวกเขาแต่ละคนฝีมือร้ายกาจ ระดับฝีมือการต่อสู้ค่อนข้างสูง ทำให้เฉินเสียนนึกถึงนักฆ่าที่เจอระหว่างทางเมื่อคราวก่อนเป็นอันดับแรก
ถ้าหากทหารเหล่านี้เป็นทหารของอาณาจักรเย่เหลียงจริงๆ ทำไมถึงมีทักษะการต่อสู้แบบนี้ได้ เกรงว่าพวกเขาคงเป็นนักฆ่ากาฝากที่ปลอมตัวแฝงเข้ามาเป็นทหารของอาณาจักรเย่เหลียงนานแรมปีแล้วกระมัง
ฉินหรูเหลียงยืนบังอยู่ข้างหน้าเฉินเสียนและซูเจ๋อ เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม : “ใต้เท้าซู รีบพาจิ้งเสียนออกไปจากที่นี่เร็ว!”
เมื่อพูดจบ นักฆ่าเหล่านั้นก็ฝ่าวงล้อมของเหล่าทหารคุ้มกันเข้ามาได้ และมุ่งหน้าพุ่งตรงเข้ามาทางนี้ทันที
ไม่รอให้ฉินหรูเหลียงได้พูดอะไรต่อ ซูเจ๋อก็รีบพาเฉินเสียนหมุนตัววิ่งออกไปจากตรงนั้นในทันที
เฉินเสียนตามหลังซูเจ๋อที่วิ่งเร็วจนตัวแทบปลิว รู้สึกถึงเพียงแต่ลมที่ตีหน้าไม่หยุด
เมื่อเธอหันหน้ากลับไปดู กลับไม่เห็น ฉินหรูเหลียงตามหลังเธอและซูเจ๋อมา เขายังอยู่ที่เดิมเพื่อต่อต้านเหล่านักฆ่ากลุ่มนั้น
มือทั้งสองข้างของฉินหรูเหลียงใช้การไม่ได้ เขาเหวี่ยงดาบไม่ได้ด้วยซ้ำไป สภาพของเขาในตอนนี้ ไม่สามารถจะต่อสู้กับนักฆ่าเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน
เขาเตะกรงเหล็กที่ขังหลิ่วเฉียนเฮ้อไปทางเหล่านักฆ่าเหล่านั้นอย่างเต็มแรง จึงพอจะเป็นที่กำบังได้นิดหน่อย จากนั้นก็มีนักฆ่าพุ่งเข้ามาหาเขา ทั้งคู่จึงได้เริ่มต่อสู้ขึ้น
ฉินหรูเหลียงมือเปล่าไร้ซึ่งอาวุธ และไม่ใช่คู่ปรับของนักฆ่าเหล่านั้น มือทั้งสองข้างของเขาไม่สามารถโต้ตอบหมัดกลับได้อย่างคล่องตัวและอิสระเหมือนเมื่อก่อน สิ่งที่เขาพอจะสามารถใช้ได้ในตอนนี้ มีเพียงแค่ไหวพริบและความว่องไวที่เคยฝึกฝนมานาน