สีหน้าของแม่บ้านจ้าวก็เปลี่ยนไปเช่นกัน นางพูดว่า “หรือว่าเด็กจะเป็นอันตราย จะมัวชักช้าอยู่ทำไมอีกอวี้เยี่ยน รีบไปตามหมอมาเร็ว!”
“อื้อๆ” อวี้เยี่ยนได้สติ นางกระวนกระวายใจมากและรีบวิ่งออกไปทั้งน้ำตา “ข้าจะไปตามหมอเดี๋ยวนี้ละ!”
แววตาของฉินหรูเหลียงหรี่แสงลง สีหน้าแห่งความโกรธแค้นค่อยจางหายไปและแทนที่ด้วยความรู้สึกที่คาดเดาไม่ได้ แม่บ้านจ้าวหันกลับไปมองเขาและเอ่ยอย่างผิดหวัง “แม้ว่าท่านแม่ทัพจะไม่คิดจะดูแลองค์หญิงให้ดี แต่ท่านก็ควรจะคำนึงถึงลูกของท่านด้วยสิเจ้าคะ!”
ฉินหรูเหลียงเม้มปาก เขามองร่างที่ไร้แรงกำลังของเฉินเสียนซึ่งนอนอยู่บนโต๊ะแล้วพูดว่า “อย่าไปกังวลกับไอ้เชื้อชั่วๆ นั่นเลย คราวนี้ข้าแค่สั่งสอนให้นางเท่านั้น ถ้ามีคราวหน้าอีกข้าจะไม่ยกโทษให้นางแน่”
เฉินเสียนเจ็บปวดรวดร้าวราวกับว่ามีอาวุธมีคมบิดคว้านอยู่ในนั้นช่องท้อง ใบหน้าของเธอซีดขาว หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ เธอใช้นิ้วบีบที่โต๊ะอย่างแรงจนข้อต่อเริ่มบิดเบี้ยวและปลายนิ้วก็เริ่มขาวซีด
ขณะที่ฉินหรูเหลียงกำลังจะเดินออกไป เธอก็พยายามฝืนและเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “ฉินหรูเหลียง”
ฉินหรูเหลียงชะงักไป เมื่อเขาหันกลับมา ใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเขาก็ฉายแววแห่งความรังเกียจขึ้นมาอีก เขาเอ่ยว่า “ท่านยังคู่ควรที่จะเรียกชื่อของข้าอีกหรือ จงฟังข้าชัดๆ ไม่ว่าท่านจะโง่จริงๆ หรือแกล้งโง่ คนที่ข้าชอบก็ไม่ใช่ท่านและไม่มีวันเป็นท่าน! ท่านฆ่าหัวใจดวงนี้เสียยังจะดีกว่า หากท่านกล้าลงมือกับเหมยอู่อีกครั้ง แม้ท่านจะแตะนางแค่เพียงปลายนิ้ว ข้าก็จะสับมือของท่านทิ้ง!”
ไม่รู้ว่าแรงอาฆาตนี้มาจากไหน บางทีอาจจะเป็นเรื่องเก่าๆ ในอดีตที่พรั่งพรูขึ้นมาในใจ อยู่ๆ เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลึกว่า “อย่าหลงตัวเองนักเลย ท่านคิดว่าตอนนี้มันยังเหมือนเดิมอีกรึ ณ วันนี้เวลานี้เฉินเสียนผู้โง่เขลาคนก่อนได้ตายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ต่อจากนี้ไปเฉินเสียนผู้นี้จะเป็นคนที่ท่านไม่มีทางอาจเอื้อม ต่อให้ท่านคุกเข่าต่อหน้าข้า ข้าก็จะเหยียบย่ำท่านให้จมดิน”
ฉินหรูเหลียงเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นเธอโงศีรษะขึ้นมา ใบหน้าที่ขาวซีดไร้สีเลือดช่างดูตัดกับดวงตาที่เย็นชาและเป็นประกายกล้าคู่นั้น แววตาของเธอฉายให้เห็นรอยยิ้มที่เยือกเย็น ทว่าทันใดนั้นความอาฆาตที่เคยมีก็หายวับไปราวกับว่ามันไม่มีอะไรเลย เหลือแต่เพียงท่าทางที่ไร้หัวใจไร้ความรู้สึก แล้วเธอก็เอ่ยอย่างสงบว่า “ฉินหรูเหลียง วันนั้นจะต้องมาถึงแน่นอน”
ทันทีที่พูดจบเฉินเสียนก็หมดแรง ดวงตาของเธอค่อยๆ ดับมืดและเธอก็หมดสติไป ได้ยินแต่เพียงเสียงตะโกนเรียกของนางจ้าวที่ดังแว่วเข้ามาในภวังค์
วันนี้ที่สวนสระวสันตฤดูค่อนข้างยุ่ง
ทั้งหมอและหญิงสาวผู้มีประสบการณ์หลายคนวิ่งเข้าวิ่งออกกันทั้งวัน อวี้เยี่ยนกับแม่บ้านจ้าวก็ยุ่งมาก เส้นประสาททุกเส้นขึงตึงและไม่อาจผ่อนคลายได้เลย
เฉินเสียนนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของเธอซีดเผือด เธอขบฟันแน่น ไม่ยอมกินยาและไม่ตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น
ฉินหรูเหลียงเอ่ยเพียงว่าให้หมอพยายามรักษาชีวิตของเธอให้ดีที่สุด ส่วนเด็กในครรภ์จะเป็นหรือตายก็ให้แล้วแต่เวรแต่กรรม
ทว่าเมื่อหมอเข้ามาในห้องและนั่งลงเพื่อวัดชีพจรของเฉินเสียน อวี้เยี่ยนก็จับมือของเขาไว้แน่น จ้องมองเขาด้วยดวงตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อและพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ท่านต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิตบุตรขององค์หญิงเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเมื่อองค์หญิงทรงฟื้นขึ้นมา ท่านจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต!”
อาจจะเป็นเพราะท่าทีและแววตาที่น่ากลัวของอวี้เยี่ยนที่ใช้ข่มขู่หมอ หมอจึงตระหนักได้ว่าเขาควรพยายามทำให้ดีที่สุด
ในสวนดอกพุดตาน ฉินหรูเหลียงกำชับให้เซียงซั่นดูแลหลิ่วเหมยอู่ให้ดี หลังจากนั้นเขาจึงกลับไปที่ห้องตำราในเรือนหลักของเขา
เมื่อเขาออกมาจากสวนพุดตาน คำพูดสุดท้ายของเฉินเสียนที่ยังคงติดอยู่ในใจและสายตาที่ไร้เยื่อใยของเธอก็ทำให้ฉินหรูเหลียงตระหนักได้ด้วยตนเองว่า ตอนนี้เขาดูเหมือนจะสูญเสียความรักที่เฉินเสียนมีให้ไปจนหมดสิ้นแล้ว ทั้งยังกลายเป็นน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
ฉินหรูเหลียงเคยเหยียดหยามความรักที่คนโง่เขลาผู้นั้นมีต่อเขา แต่อยู่ๆ คนโง่ผู้นั้นกลับกลายเป็นผู้ที่มีสติกระจ่างแจ้ง ทั้งยังทำตัวประหลาดไปอย่างสิ้นเชิงจนทำให้ยากที่จะเพิกเฉย คนโง่เขลาที่เคยรักเขาหัวปักหัวปำอยู่ๆ กลับทอดทิ้งเขาราวกับว่าเขาเป็นเพียงรองเท้าที่ผุพัง!
หากจะทิ้งก็ควรเป็นเขาที่ทิ้งนาง เมื่อใดกันที่นางกลายมาเป็นผู้คุมเกม!
เนิ่นนานมาแล้วที่ฉินหรูเหลียงเห็นความรักของเฉินเสียนเป็นของตาย เขามีแต่จะรังเกียจและทำให้นางอับอายขายหน้า มีแต่จะเสพสุขจากความเป็นสุขที่ไม่เท่าเทียมกัน ดังนั้นการพลิกบทบาทในครั้งนี้จึงทำให้เขาขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก
แม้จะกลับมาถึงห้องตำราแล้วความโกรธของฉินหรูเหลียงก็ยังไม่จางหาย เขาทุบโต๊ะหนังสือจนโต๊ะหักเป็นสองท่อนด้วยฝ่ามือ
ไม่บ่อยนักที่ฉินหรูเหลียงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้
ในตอนที่ข่าวคราวแว่วมาถึงสวนดอกพุดตาน เซียงซั่นกำลังปรนนิบัติดูแลหลิ่วเหมยอู่ด้วยรังนก
ตอนนี้ไม่มีรังนกเลือดแบบคราวที่แล้วให้กินอีกแล้ว มีเพียงแต่รังนกธรรมดาเท่านั้น
หลิ่วเหมยอู่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วและนำชุดกระโปรงที่นางใช้กรรไกรตัดจนเสียหายไปทิ้งขยะ
นางเอนหลังลงบนหมอนอิงอย่างเกียจคร้าน เมื่อกินรังนกหมดแล้วเซียงซั่นก็นำยาขี้ผึ้งมาทาตามรอยฟกช้ำที่อยู่ใต้ร่มผ้าของนาง
เมื่อรู้สึกเจ็บ หลิ่วเหมยอู่ก็ขมวดคิ้วและร้องออกมา