วันรุ่งขึ้นเฉินเสียนออกจากห้อง ฉินหรูเหลียงก็ออกจากห้องนอนของเขาด้วยเช่นกัน
ขนาดพื้นที่ลานบ้านก็มีกันอยู่เท่านี้ หลีกเลี่ยงการพบปะกันไม่ได้เลย เฉินเสียนจำต้องทนเห็นฉินหรูเหลียงเดินวนเวียนอยู่ในสายตาเธอ
หากเธอต้มยาหรือเปลี่ยนยาสมานแผลเมื่อไหร่ เป็นอันต้องเห็นแววตาเย็นยะเยือกคู่หนึ่ง
ฉินหรูเหลียงกำชับอย่างหนักหน่วงว่าห้ามปิดประตูในยามที่เธอดูแลซูเจ๋อ ไม่ได้ทำอะไรเสียหายในกลางวันแสกๆสักหน่อย ทำไมต้องปิดประตูด้วย
เฉินเสียนหัวเราะไปสองที พลางยกคิ้วเอ่ยว่า “หากข้าจะทำอะไรเช่นนั้นกับเขา คงไม่ให้ท่านรู้หรอก”
ฉินหรูเหลียงโมโหไม่เบาเลย
พอดีกับสุ้มเสียงที่สบายๆของซูเจ๋อส่งออกมา “เปิดประตูก็ไม่เป็นกระไร ท่านแม่ทัพฉินอยากมองก็มองเถอะ อย่างไรเสียข้ากับท่านแม่ทัพก็เป็นบุรุษเช่นกัน”
ดังนั้นฉินหรูเหลียงจึงมาดูเฉินเสียนเปลี่ยนยาให้ซูเจ๋อ
ซึ่งเฉินเสียนเผยความอ่อนโยนเช่นนี้กับเฉพาะซูเจ๋อเท่านั้น
พอถึงเวลาดื่มยา เฉินเสียนก็ป้อนซูเจ๋อทีละคำ พลางถามอย่างเอาใจใส่ ทางซูเจ๋อก็แสดงท่าทางได้มีประโยชน์มาก
หากไม่ใช่ฉินหรูเหลียงอยู่ด้วย เฉินเสียนก็จะไม่แสดงท่าทีเกินจริงเป็นพิเศษหรอก
ทำให้ฉินหรูเหลียงพลอยรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งอยู่ในจวนแม่ทัพของตน ซึ่งยามนั้นเขาพึ่งฟื้นจากการบาดเจ็บก็มีองค์จักรพรรดิมาเยี่ยมเยียน
ครั้งนั้นเฉินเสียนก็ทำท่าทางรักใคร่ ดูดดื่มกับเขาประหนึ่งปาท่องโก๋ที่แยกกันไม่ขาดต่อหน้าพระพักตร์องค์จักรพรรดิ
เพียงแต่ยามนั้นเธอแค่แสดงละครฉากหนึ่งเท่านั้น ส่วนการกระทำครั้งนี้กลับเป็นความตั้งใจอย่างแท้จริง
พอป้อนยาเสร็จ เฉินเสียนหันหน้ากลับไปมองก็ไม่เห็นฉินหรูเหลียงเสียแล้ว
ซูเจ๋อเอ่ยลากเสียงยาว “ยามที่ท่านถามข้าว่ายาขมหรือไม่ เขาก็ออกไปแล้ว”
ต่อมาฉินหรูเหลียงก็ยื่นขอเรียกร้องให้จักรพรรดิเย่เหลียงย้ายซูเจ๋อไปรักษากายที่เรือนอื่น
มีผู้ชายเพิ่มขึ้นมาในเรือนอีกคน มันส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเขากับเฉินเสียนแบบสถานะสามีภรรยายิ่งนัก
ซึ่งเดิมทีก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไร เพราะในราชนิเวศน์มีเรือนมากมายอยู่แล้ว ทว่าประเด็นสำคัญคือเฉินเสียนจะยินยอมปลูกต้นรักกับเขาให้งอกเงยหรือไม่
จักรพรรดิเย่เหลียงก็ดูออกว่าเฉินเสียนมีใจต่อซูเจ๋อ ซึ่งไม่ใช่สามีอย่างฉินหรูเหลียง
ดังนั้นจักรพรรดิเย่เหลียงจึงส่งคนมาซักถามความคิดเห็นของเฉินเสียน
เฉินเสียนตอบอย่างสุขุมว่า “ท่านทูตไปเรือนไหน ข้าก็จะตามไปด้วย สำหรับเรื่องใครอยากมาปลูกต้นรักกับแม่ทัพฉิน ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง”
เห็นทีรักสามเศร้าจะชุลมุนซับซ้อนน่าดู
ฉินหรูเหลียงเห็นเฉินเสียนยืนกรานเช่นนั้น เขาไม่อยากให้เธอกับซูเจ๋อไปอยู่เรือนอื่นโดยลำพัง และทิ้งตนอยู่ต่อคนเดียว ดังนั้นจึงได้ล้มเลิกความตั้งใจในที่สุด
คนในราชวังกลับกันหมดแล้ว ภายในเรือนจึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
เฉินเสียนมองฉินหรูเหลียนแวบหนึ่ง พลางกล่าวอย่างเยือกเย็นสุขุม “ข้าไม่ชอบท่าน พวกเราเลิกกันแต่โดยดีเถอะ?ท่านจะรังควานข้าไปถึงไหน?”
ฉินหรูเหลียงขยับลูกคอเอ่ยเสียงต่ำว่า “เฉินเสียน ท่านคือภรรยาของข้า ข้าไม่หย่า ท่านก็ไม่ได้รับเสรีภาพ”
เฉินเสียนกล่าวอย่างเรียบเฉย “งั้นข้าจะหย่ากับท่าน”
เธอเอียงหน้าประชันเขา พลางเอ่ยว่า “ช่วงนี้ข้าได้ยินท่านค่อยพูดคำว่า ‘ภรรยา’ติดปาก แต่ก่อนหน้านี้ข้าจำได้ว่าท่านหลงใหลอนุจนลืมภรรยา”
“วันหลังไม่ทำแล้ว”
เฉินเสียนหัวเราะ เอ่ยว่า “หากข้าเป็นภรรยาของท่าน ท่านจะจัดการหลิ่วเหมยอู่เยี่ยงไร?ข้าทนมองมารหัวใจไม่ได้ ภายภาคหน้าบุรุษของข้าต้องมีเพียงสตรีเพียงคนเดียวตลอดชีวิต ซึ่งก็คือข้า ท่านล่ะ ท่านทำได้หรือไม่?”
เขาทำไม่ได้ ทั้งชีวิตก็ทำไม่ได้
เฉินเสียนไม่รอเขาตอบก็ค่อยๆหันหลังกลับ “ข้าชอบบุรุษรักเดียว ไม่หลายใจ นอกจากข้า เขาต้องไม่ชอบสตรีอื่นอีก กระทั่งความเห็นอกเห็นใจและความสงสารก็มีให้สตรีอื่นไม่ได้”
“หรือท่านเพ้อฝันว่าจะพาข้ากลับไปร่วมแบ่งปันผู้ชายคนเดียวกับหลิ่วเหมยอู่ บุรุษที่นางอยากได้ ที่นางเคยแตะ ข้ารู้สึกโสโครก ยอมมอบให้นางโดยไม่คิดราคา”
“ฉินหรูเหลียงตื่นเสียทีเถอะ นับจากนาทีที่ท่านจูงมือหลิ่วเหมยอู่จากไป ท่านกับเฉินเสียนก็กลับไปเป็นดังเดิมไม่ได้แล้ว”
เฉินเสียนกลับเข้าห้อง ส่วนฉินหรูเหลียงยืนอยู่ลานบ้านคนเดียว
เบื้องบนศีรษะเกิดเสียงฟ้าร้องโครมคราม
ท้องฟ้ามืดครึ้ม พาความหนาวเย็นมาฝาก หากแต่ฉินหรูเหลียงกลับยืนคิดเสียนาน
ฉินหรูเหลียงเอ่ยว่า “เฉินเสียน ข้าอยากชดเชยกับเรื่องที่ผ่านมา”
เฉินเสียนที่ปิดประตูห้องนอนอย่างสนิท ไม่ได้ตอบอะไรสักคำ
ต่อมาเขาก็ไม่ได้ตอแยต่อ
คิมหันตฤดูนี้ไม่มีน้ำหยดลงมาสักเม็ด ทว่าฟ้ากลับมืดครึ้มอีกหลายวัน ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีแววฝนตกหรือไม่
ตลอดหลายวันที่ผ่านมาท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยสีเทา คล้ายกับสามารถร่วงโรยมาครอบใบหน้าได้ทุกเมื่อ
ร่างกายซูเจ๋อค่อยๆดีขึ้นทุกวัน ถึงแม้ต้องพักผ่อนติดเตียงตลอดเวลา แต่เขาก็สามารถพิงหัวเตียงแล้วอ่านตำราได้แล้ว
ซึ่งถือว่าเป็นวันที่เขาได้พักผ่อนหย่อนใจ จากที่ต้องวางเล่ห์กลจนเคยชิน
โดยมีเฉินเสียนเป็นผู้ยืมตำราจากองค์จักรพรรดิเย่เหลียงมาให้เขาอ่าน
เธอไม่รู้ว่าซูเจ๋อสนใจอ่านด้านไหน ทว่าหอตำราในราชนิเวศน์ที่มีอยู่ทั้งหมด เธอก็สับเปลี่ยนมาให้ซูเจ๋ออ่านจบแล้วคืนกลับทั้งหมด
ยามว่างเฉินเสียนก็จะนั่งอ่านตำรากับซูเจ๋อด้วยกัน
ซูเจ๋อพลิกแผ่นกระดาษที่สีซีดจาง พลางถามว่า “สถานการณ์ทางต้าฉู่เป็นอย่างไรบ้าง?”
เฉินเสียนขานตอบ “รู้เรื่องที่พวกเราถูกลอบสังหารและรู้ว่าปลอดภัยดี ดังนั้นจึงไม่ได้ทำอะไร”
ซูเจ๋อดีดนิ้วบนตำรา คิดดูแล้วก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เขตชายแดนอยู่ห่างไกล ได้รับข่าวสารไม่ทั่วถึง หากต้าฉู่ส่งข่าวปลอมว่าท่านสิ้นชีพให้แก่เป่ยเซี่ยและร่วมเป็นพันธมิตรกับเป่ยเซี่ยเพื่อโจมตีเย่เหลียงคงจะยุ่งยากมากขึ้น”
เฉินเสียนเงยหน้ามองเขา “ท่านมั่นใจมากเลยหรือว่าต้าฉู่เป็นผู้ลงมือ?”
ซูเจ๋อเอ่ยเสียงเรียบ “เย่เหลียงพึ่งเป็นพันธมิตรกับพวกเรา ไม่มีทางลงมือในถิ่นฐานตนเด็ดขาด มีเพียงต้าฉู่ที่ทำให้จะกลายเป็นยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว ซึ่งสามารถกำกัดท่านกับข้า เพื่อความสบายใจ แล้วยังเป็นโอกาสดีที่สามารถแอบอ้างท่านร่วมเป็นพันธมิตรกับเป่ยเซี่ย”
เขาสวมอาภรณ์สีขาว นั่งพิงอยู่หัวเตียง เส้นผมดกดำอยู่บนบ่า ชวนให้รู้สึกอ่อนโยนและสงบสุข
สุ้มเสียงที่ซูเจ๋อเปล่งออกมาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับท่าทางของเขา อ่อนโยน เสียงทุ้มต่ำสามารถปัดเป่าเมฆหมอกจางหาย เห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน โดยกล่าวเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป
เฉินเสียนถาม “ยามนี้ท่านหวาดกลัวต้าฉู่จะส่งข่าวปลอมเรื่องข้าตายให้เป่ยเซี่ย?”
ซูเจ๋อใคร่ครวญชั่วครู่ก็เงยหน้ามองเธอ กล่าวอย่างขี้คร้านผ่อนคลาย “อาเสียน ถึงเวลาส่งจดหมายรายงานความปลอดภัยให้ท่านตาบุญธรรมของท่านแล้วละ”
ก่อนซูเจ๋อฟื้นเฉินเสียนไม่มีกะจิตกะใจเขียนจดหมาย
ทว่าตอนนี้ซูเจ๋อฟื้นแล้ว เฉินเสียนก็ยังไม่มีอารมณ์เขียนเช่นเดิม
เธอเตรียมกระดาษ เตรียมหมึกและพู่กันพร้อมแล้วนั่งอยู่หน้าโต๊ะ สายตามองกระดาษเปล่า ซึ่งสมองก็โล่งพอๆกับกระดาษ ไม่รู้ควรเริ่มเขียนเช่นไร
เฉินเสียนไม่รู้จักท่านตาบุญธรรมเสียหน่อย ไม่เคยไปมาหาสู่กันมาก่อน จะให้เขียนทักทายแจ้งความปลอดภัยของตนเฉกเช่นเครือญาติ อีกฝ่ายไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ แต่เธอรู้สึก
กำลังปวดหัวกับเนื้อหาเขียนจดหมาย ด้านหลังก็มีเงาจางๆมาบดบังศีรษะเฉินเสียน
เฉินเสียนชะงัก ซูเจ๋อยื่นมือมาจากด้านหลังเธอ แล้วจับมือข้างที่เธอถือพู่กัน ก่อนจะจุ่มน้ำหมึกเบาๆ
เขาสวมเสื้อคลุมสีดำยืนอยู่ด้านหลังเฉินเสียน โค้งกายสูงโปร่งลงเล็กน้อย เข้าชิดเฉินเสียนไว้ในอกแกร่งของเขาอย่างคล้ายมีคล้ายไม่มี