ทั้งสองฝ่ายยิ่งเดินยิ่งเข้าใกล้กันมากขึ้น จนถึงตอนที่ต่างฝ่ายต่างสามารถมองเห็นหน้าที่เคร่งขรึมของฝ่ายตรงข้ามได้
แม่ทัพใหญ่เย่เหลียงหยุดอยู่บริเวณด้านนอกกว่าสามสิบสามจุดสามเมตร คารวะกล่าวทักทายกับแม่ทัพโฮ้วของต้าฉู่อยู่สักหนึ่งถึงสองประโยค
ทั้งสองแม่ทัพล้วนองอาจห้าวหาญการทำสงคราม คุ้นชินกับการพบเจอคนที่ทำสงครามอย่างเด็ดขาดไม่ลังเล พูดอย่างเปิดเผย ไร้การอ้อมค้อม
หลังจากทักทายเสร็จ รถม้าเปิดม่านขึ้น ทำให้แม่ทัพโฮ้วเห็นกับตาว่าเฉินเสียนพวกเขาทั้งสามคนนั้นได้กลับมาอย่างปลอดภัย และได้ส่งมอบหลิ่วเฉียนเฮ้อให้กับมือแม่ทัพโฮ้วอีกด้วย
และอีกอย่างทั้งสองเมืองได้ลงนามในหนังสือสัญญาเจราจาสันติภาพ ทำตามหลักในหนังสือสัญญาแล้ว ต้าฉู่สัญญาว่าจะมอบดินแดนสามคูเมืองให้กับเย่เหลียง
แม่ทัพโฮ้วจัดการภารกิจก็เป็นระเบียบและตรงไปตรงมา ช่วงวันที่ผ่านมานี้ได้ปลดถอนกองทัพและประชาชนออกจากในสามคูเมืองนั้นแล้ว
เวลานี้ประชาชนของต้าฉู่ได้ออกจากตรงนั้นมาพอประมาณแล้ว และกองกำลังทหารต้าฉู่ได้ถอนกลับกว่าครึ่งหนึ่ง แม่ทัพโฮ้วรอหลังจากเฉินเสียนพวกเขากลับมาแล้วนั้น ก็จะถอนกำลังเดินทางกลับพร้อมกันทั้งหมด
แม่ทัพใหญ่เย่เหลียงหัวเราะอย่างสดใสแล้วกล่าวว่า“กับแม่ทัพโฮ้วบุคคลซึ่งตรงไปตรงมา คบค้าสมาคมด้วยไม่ได้ลำบากยุ่งยาก เทียบกับจ้าวเทียนฉีที่อ้อมค้อม โจรชั่วที่เจ้าเล่ห์เพทุบายนั่นยังสุขกายสบายใจกว่าเลย!”
พูดถึงจ้าวเทียนฉี หลังจากก่อนที่ทั้งสองเมืองจะลงนามสัญญาในหนังสือเจรจาสันติภาพ เย่เหลียงได้นำศพของจ้าวเทียนฉีส่งกลับต้าฉู่เรียบร้อยแล้ว และก็ประกอบด้วยศีรษะของเหล่านายทหารที่ห้อยแขวนอยู่บนกำแพงด้วย
ต้าฉู่สูญเสียนายทหารและแม่ทัพมากเช่นนี้ ถึงแม้จะทำให้เหล่าทหารของต้าฉู่เกลียดชัง เสียใจ แต่การสงครามการสู้รบได้จบสิ้นไปแล้ว ระหว่างการสู้รบสูญเสียทหารนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่ดีทั้งหมด มันก็มีเรื่องดีอยู่บ้าง ใครก็ไม่สามารถโทษใครได้
เพราะว่าต้องการเปลี่ยนแปลงย้ายคูเมือง เงื่อนไขมีขีดจำกัด ตอนนี้ไม่สามารถเตรียมโลงศพเย็นได้มากมาย ต่อมาแม่ทัพโฮ้วได้นำทหารเหล่านั้นฝังกลบลงไป
หลังจากส่งมอบเสร็จ แม่ทัพใหญ่เย่เหลียงก็ได้นำคนออกไป
ไม่ใช่แม่ทัพโฮ้วคนเดียวที่ขี่ม้าตากฝนแน่นอนว่ายังมีเฮ่อโยวด้วย
เพียงแต่ว่าช่วงนี้ไม่ได้พบเจอ ราวกับว่าเขาตกตะกอนแล้วไม่น้อย ไม่ได้พูดตามอำเภอใจ แม้ว่าเห็นเฉินเสียนพวกเขาปลอดภัยกลับมา ภายในใจมีความสุขก็ยังสามารถระงับอดกลั้นไว้ได้
แม่ทัพโฮ้วกับฉินหรูเหลียงและซูเจ๋อทักทายกัน และทำความเคารพเฉินเสียน หลังจากนั้นคนกลุ่มหนึ่งได้หันหัวกลับเดินทางไปที่เมืองเสวียน
ฝนตกชุ่มฉ่ำเหนียวเหนอะหนะ
เฉินเสียนม้วนผ้าม่านรถม้าขึ้น ใต้เนินเขานี้เทียบกับบนภูเขาเย่นั้นอบอุ่นกว่ามาก บรรยากาศอุ่นชื้นทำให้คนรู้สึกราวกับถูกใยแมงมุมชักใยลงมา อบอ้าวบ้างเล็กน้อย
เฮ่อโยวขี่ม้ามาด้านข้างรถม้าของเฉินเสียน
เฉินเสียนมองเขา แล้วรู้สึกว่าช่วงเวลาสั้นๆไม่เจอเฮ่อโยวนี้เปลี่ยนแปลงเยอะมาก
เขาไม่เหมือนเมื่อก่อนที่โฉมหน้าดูดีเป็นคุณชายที่ถูกโอ๋จนเปราะบางอีกแล้ว โฉมหน้าขอบและมุมแบ่งแยกชัดเจนบ้าง คำพูดก็ไม่ได้เอะอะโวยวายเหมือนเมื่อก่อน
สหายพบปะกันอีกครั้ง แน่นอนว่าภายในใจของเฉินเสียนดีใจมาก ราวกับจะยิ้มก็ไม่ยิ้มกล่าวขึ้นว่า“ล่ำสันแล้วนะ?คนก็ยิ่งมีบุคลิกดีขึ้นเรื่อยๆแล้ว”
บนใบหน้าของเฮ่อโยวมีรอยยิ้มแสดงออกมา แล้วกล่าวขึ้นว่า “นั่นก็แน่นอนอยู่แล้ว พวกท่านไปเดือนกว่าแล้ว ช่วงเดือนกว่านี้ทุกวันฟ้ายังไม่สางข้าไปที่จุดรวมพลฝึกทหารกับปรมาจารย์ ปรมาจารย์สอนข้าต่อยด้วยตนเองนะ”
“ปรมาจารย์ของเจ้า?”
เฮ่อโยวกล่าวอย่างมีความสุขว่า“ก็คือแม่ทัพโฮ้ว หลังจากที่พวกท่านไปข้าได้เคารพแม่ทัพเป็นปรมาจารย์ ตอนนี้อย่าพูดว่าทหารสองคนเลย มามากกว่านี้จำนวนหนึ่งข้าก็ชนะได้”
เฉินเสียนหัวเราะแล้วกล่าวขึ้นว่า“ดีเช่นนี้”
เฮ่อโยวรู้สึกแสลงใจมาโดยตลอด ตอนที่เฉินเสียนกับซูเจ๋อไปที่ค่ายเย่เหลียงวันนั้น เขาถูกเย่เหลียงเมินเฉย จากนั้นทหารของเย่เหลียงสองคนบังคับให้กลับมา
เวลานั้นจิตใจของเฮ่อโยวรีบร้อนและจนปัญญาเป็นอย่างมาก ต่อมาเขาได้สาบานว่าจะเรียนฝีมือ ไม่สามารถให้คนดูถูกได้
เพียงเขาเรียนฝึกฝีมือแล้ว ถึงได้ไม่มีคนดูถูกเขา คนอื่นรู้จักกับเขาก็ไม่ได้รู้จักเขาในฐานะคุณชายตระกูลเฮ่อแล้ว ตอนที่พบเจออันตรายเขาปกป้องตัวเองได้ ไม่เป็นตัวถ่วงของทุกคน
เส้นทางที่เดินทางมานี้ ได้รับประสบการณ์ทุกข์ทรมานอยู่มาก ก็นับว่ามีสหายร่วมเป็นร่วมตายแล้ว เฮ่อโยวก็อยากจะพยายามออกแรงทำอะไรบ้าง
หากว่าเขาต้องการปกป้องเฉินเสียน เขาก็จะรับผิดชอบไม่ท้อถอยอย่างแน่นอน
ช่วงที่ผ่านมาล่าช้ารอไม่ถึงจนเฉินเสียนกลับมา ก็ได้ยินว่าระหว่างเดินทางพวกเขาได้พบการลอบสังหาร วันเดียวเฮ่อโยวก็วางใจไม่ลงเลย
โชคดีที่ทุกคนปลอดภัยกลับมา ใจที่เป็นห่วงแขวนไว้ของเฮ่อโยวก็นับว่าล่วงกลับมาในท้องแล้ว
เฮ่อโยวถามว่า“เฉินเสียนท่านล่ะ?พวกท่านยังสบายดีอยู่หรือไม่?”
เฉินเสียนกล่าวว่า“ข้าสบายดี เพียงแต่รถม้าคันนั้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่ด้านในสองคน”
เฮ่อโยวกล่าวว่า“บาดเจ็บรุนแรงหรือไม่?”
“ช่วงที่ผ่านมารักษาบาดแผลในราชนิเวศน์ของเย่เหลียง ยังไม่ได้หายดีหรอก ยังต้องดูแลฟื้นฟูอีกในช่วงเวลานี้”
เฮ่อโยวหันมองรถม้าอีกคัน มองเห็นซูเจ๋อที่นั่งสีหน้าเรียบเฉยอยู่ที่บริเวณหน้าต่าง กล่าวขึ้นว่า“เดิมข้านึกว่า ต้าฉู่นำสามคูเมืองไปเจรจาสันติภาพกับเย่เหลียง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สำเร็จอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายเขาจะสามารถทำมันได้จริง”
เฉินเสียนยิ้มอย่างอ่อนเพลีย กล่าวขึ้นว่า“ใช่ บนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดที่ยุ่งยากสำหรับเขาแล้ว”
เฮ่อโยวกล่าวถามเสียงทุ้มต่ำว่า“เขาทำมันได้อย่างไร?”
เฉินเสียนกล่าวอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ว่า“อืม ความสามารถในการพูดเขาดี โต้เถียงแย้งกับฝั่งตรงข้ามหลายคน ขุนนางเย่เหลียงตั้งมากมายไม่มีผู้ใดเลยเป็นคู่ต่อสู้ของเขา สุดท้ายล้วนถูกเขาพูดจนเงียบใบ้ไร้คำพูด จำใจต้องชื่นชมด้วยความจริงใจ ด้วยเหตุนี้เลยใช้สามคูเมืองเจรจาได้”
ชัดเจนว่าเฮ่อโยวไม่อยากจะเชื่อ กล่าวขึ้นว่า“เฉินเสียน เหตุใดข้าได้ยินมาว่าเขาไม่น่าเชื่อถือเล่า ? อย่าพูดว่าข้าไม่ค่อยเชื่อ รอกลับไปกราบทูลองค์จักรพรรดิ องค์จักรพรรดิก็ไม่เชื่ออย่างแน่นอน”
เฉินเสียนสีหน้าเรียบเฉย กล่าวขึ้นว่า“องค์จักรพรรดิจะเชื่อหรือไม่ รอหลังจากนี้ค่อยว่ากันเถอะ”
ทุกคนกลับถึงเมืองเสวียน การเดินทางเหน็ดเหนื่อยทั้งวัน เลยหยุดพักที่เมืองเสวียนก่อน รอพรุ่งนี้แล้วค่อยเร่งเดินทาง
หลังจากเข้ามาในเมือง ในเมืองเสวียนว่างเปล่า เวลาค่ำคืนนอกจากคบเพลิงของกองกำลังทหาร แสงไฟของครัวเรือนประชาชนยังไม่มีเลย
ประชาชนที่หลงเหลือในเมืองได้ย้ายถิ่นฐานแล้ว ตอนนี้นอกจากพวกเขาเหล่าทหาร ที่นี่ก็เหลือเป็นเพียงเมืองร้างว่างเปล่าแล้ว
คนจำนวนหนึ่งยังคงจัดหาที่พักในเรือนเดิม
ในเรือนมีห้องพักอยู่จำนวนหนึ่ง มีฉินหรูเหลียงเข้ามาเพิ่มอีกหนึ่งคนก็ไม่ได้เบียดเสียดหรอกนะ
ภายในห้องครัวเหลืออาหารไม่มาก คนทำอาหารทำมาแบบง่ายๆ ให้คนจำนวนหนึ่งกิน
ทุกคนล้วนบากบั่นลำบากอยู่ด้านนอกจนคุ้นชิน ไม่ได้เลือกมาก ขนาดเฮ่อโยวที่ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติ ก็ยังสามารถใช้ชีวิตให้คุ้นชินกับความบากบั่นลำบากนี้ได้
ร่างกายเฮ่อโยวล่ำสัน ปริมาณอาหารเลยกินมากกว่าเมื่อก่อน
เฉินเสียนนึกถึงเหล้าสับปะรดสองไหที่ตัวเองได้นำมาจากเย่เหลียง เวลานี้้เลยได้เข้าไปหยิบออกมาเพิ่มความสนุกสนาน
เฮ่อโยวเห็นเหล้านั้นตาเป็นประกายแวววาว ดื่มไปสองถ้วย จุ๊ปากชมเปาะกล่าวขึ้นว่า“เมื่อก่อนอยู่ในเมืองหลวงไม่เคยดื่มเหล้าดีๆอะไรเลย แต่พอหลังจากมาถึงทางนี้เลยได้รู้สึกว่าเหล้าสับปะรดดีที่สุด”
เฉินเสียนหัวเราะแล้วกล่าวว่า“เจ้ากับข้ารสนิยมพอๆกันเลย”
ซูเจ๋อไม่ดื่มเหล้า มีฉินหรูเหลียงที่ชิมบ้าง กล่าวขึ้นว่า “เหล้านี้ปริมาณไม่รุนแรงมาก มาชายแดนต้องดื่มเหล้าอย่างดุเดือดถึงจะสบายอารมณ์”
จุดนี้ แม่ทัพโฮ้วก็มีอุดมการณ์เดียวกัน
ด้านนอกห้องฝนตกฟ้าร้องวังเวงเป็นอย่างมาก สารทฤดูลมพัดชุ่มฉ่ำ
เมืองเสวียนยามค่ำคืนดูเหมือนจะกว้างโล่งกับอ้างว้างอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้
ที่นี่เป็นแนวหน้าของสนามรบ ไม่รู้ว่าฝังศพไปเท่าไหร่ และวันนี้ฝนตกนำความโหดร้ายกับคราบเลือดชำละล้างจนสะอาดหมดสิ้น
นอกจากสุสานหลุมศพแต่ละที่กับสภาพความเสื่อมโทรมหลงเหลืออยู่ ก็ไม่มีอะไรเหลือเลย
บรรยากาศภายในไม่ได้มีกลิ่นเน่าเปื่อยที่ทำให้รู้สึกคลื่นไส้น่าขยะแขยงอีก